พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 6 กรกฎาคม 2567
มีชายคนหนึ่งไถโทรศัพท์ แล้วแกก็ดู Facebook ไถไปเรื่อย ๆ สักพักก็ไปเจอร้านหนึ่งร้านใหญ่ เขาขายโทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์มือถือที่เขาเสนอขายเป็นยี่ห้อ Samsung รุ่นปีที่แล้ว ราคาเดิมมันประมาณ 35,000 แต่ว่าเขาเสนอขาย 20,000 แล้วก็มีขายไม่กี่เครื่อง ราว 10 เครื่องได้
ชายคนนั้นกำลังจะเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือพอดี ก็รีบซื้อทันทีเลยเพราะเขาบอกว่ามันมีน้อย มีจำนวนจำกัด ปรากฏว่าซื้อได้ เขาดีใจมาก รู้สึกว่าโชคดีที่มาเห็นก่อน ถ้าเห็นช้ากว่านี้สักชั่วโมงนึงก็คงจะอด อดได้โทรศัพท์มือถือคุณภาพดีแต่ว่าราคาถูก แล้วที่เขาซื้อไปก็ไม่ได้ถูกหลอก โทรศัพท์มาถึงวันรุ่งขึ้นหรือ 1-2 วันต่อมา แล้วใช้ได้ดีเลยทีเดียว ยังรู้สึกว่าโชคดีที่เราไม่ไปซื้อเครื่องอื่นก่อน ถ้าไปซื้อเครื่องอื่นก่อนก็อาจจะแพงกว่านี้ นี่เราได้ของถูก คุณภาพดี
แต่วันเดียวกับที่ได้โทรศัพท์มือถือ ปรากฏว่าพอไถ Facebook ไปเจออีกร้านหนึ่งเสนอขาย Samsung รุ่นเดียวกันเลย แต่แทนที่จะขาย 35,000 เขาเสนอขาย 15,000 ถูกกว่าที่ตัวเองซื้อตั้ง 5,000 พอเห็นเท่านั้นนี่รู้สึกเสียใจเลย โทษตัวเองว่า แหม ไม่น่าเลย รีบซื้อก่อน ถ้าหากว่ารออีกสักนิด ก็จะได้ของดีเหมือนกันแต่ราคาถูกกว่า 35,000 ราคาเต็ม แต่จ่ายแค่ 15,000
จากเดิมที่รู้สึกว่าโชคดี มันกลายเป็นโชคร้ายไปเลย โชคร้ายตรงที่ว่าถ้าไม่เห็นร้านที่เขาเสนอขายครั้งแรก ป่านนี้เราก็ได้ของดีราคาถูกไปแล้ว ถูกกว่าด้วย ไม่ใช่ 20,000 แต่ 15,000 ที่ดีใจเพราะได้ของถูก กลายเป็นเสียใจไปเลยเพราะรู้สึกว่าจ่ายแพงไป ที่คิดว่าเป็นโชคมันกลายเป็นเคราะห์ไปเลย
แล้วคนที่เจอเหตุการณ์แบบนี้เยอะ ทีแรกรู้สึกโชคดีแหมที่เห็นก่อน รีบซื้อทันที ปรากฏว่าพอมาเจออีกร้านหนึ่งเขาขายถูกกว่า โชคมันกลายเป็นเคราะห์ไปเลย เพราะว่าถ้าไม่เห็นก่อนหรือไม่เห็นเสียเลย ก็คงจะได้เห็นของดีที่ราคาถูกกว่า
ฉะนั้นคงคล้าย ๆ กับหลายคนที่ต้องการรถไฟฟ้า มีรถไฟฟ้าของจีนราคาก็ไม่แพง แถมเขามีโปรโมชั่นลดพิเศษอีกตั้ง 50,000 คนที่เห็นนี่ก็รู้สึกโอ้โหโชคดี รีบซื้อเลย ปรากฏว่าไม่นาน ผ่านไป 2 เดือน รถยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกัน ราคามันลดลงไปอีก จากเดิมลดไป 50,000 ก็ลดไป 150,000
พอเจอแบบนี้เข้าทุกข์เลย เสียใจ ที่เคยคิดว่าโชคดีมันกลายเป็นโชคร้ายไปเสียแล้ว เพราะถ้าไม่ซื้อเมื่อ 2 เดือนก่อน ป่านนี้เราก็คงจะได้รถที่ราคาถูกกว่า โชคดีกลายเป็นโชคร้ายไปได้ในเวลาไม่นาน ที่เคยดีใจก็กลายเป็นเสียใจ ชี้ให้เห็นว่าอะไรก็ไม่แน่ โชคดีกลายเป็นโชคร้าย หรือโชคกลายเป็นเคราะห์ได้
ทำให้นึกถึงนิทานเรื่องหนึ่ง ชายผู้หนึ่งมีฟาร์มเลี้ยงม้า ม้าแต่ละตัวก็เรียกว่าคุณภาพดีราคาแพง ๆ ทั้งนั้น วันหนึ่งม้าตัวโปรดมันหลุดจากคอกเข้าไปในป่า ชายคนนั้นไปตามหาก็ไม่เจอ เสียดายมากเลย เสียม้าที่ราคาดีมาก พันธุ์ดีด้วย ปรากฏว่า 2 วันต่อมา ม้าตัวที่หายไปมันกลับมาออกมาจากป่า แถมพาเพื่อนมาด้วย เป็นม้าป่าที่กำยำมากแล้วก็สวย
โชคร้ายกลายเป็นโชคดีไปเลย แทนที่จะเสียม้าไปกลับได้ นอกจากได้คืนแล้ว ยังได้ม้าอีกตัวหนึ่งมา ชายคนนั้นก็เลยให้ลูกชายไปฝึกม้าตัวใหม่ ลองควบขี่ดูเพื่อฝึกให้มันเชื่อง ปรากฏว่ามันไม่ยอม มันไม่ยอมให้ใครมาขึ้นหลังมัน พอลูกชายคนนั้นขึ้นหลังมัน มันก็สะบัดเลย ขณะที่ควบขี่ ลูกชายตกลงมาจากหลังม้า แขนหัก
ชาวบ้านแถวนั้นบอก โห โชคร้าย ม้าตัวใหม่แทนที่จะเป็นโชคดี กลับกลายเป็นตัวทำให้เกิดโชคร้าย ลูกชายเจ้าของฟาร์มแขนหัก ทำงานอะไรไม่ได้เลย ปรากฏว่า 2-3 วันต่อมา ทางการก็ส่งพัศดีมาที่หมู่บ้านเพื่อเกณฑ์ทหาร เกณฑ์เอาชายหนุ่มไปเป็นทหารเพราะมีศึกสงคราม ชายหนุ่มในหมู่บ้านนี้โดนเกณฑ์ทหารหมดทุกคน ยกเว้นลูกชายเจ้าของฟาร์มเพราะว่าแขนหัก ใคร ๆ ก็ว่าโชคดี โชคร้ายกลายเป็นโชคดีไปซะแล้ว
อันนี้มันคือความจริง อะไร ๆ ก็ไม่แน่ หรือเราจะพูดว่าในโชคดีมันก็มีโชคร้าย ในโชคร้ายก็มีโชคดี หรือว่าในโชคมีเคราะห์ ในเคราะห์มีโชคก็ได้ สิ่งที่คิดว่าเป็นโชคดีอาจจะกลายเป็นโชคร้าย สิ่งที่คนมองว่าเป็นโชคร้ายอาจจะกลายเป็นโชคดีไปก็ได้ ก็เหมือนกับจะบอกว่าอะไร ๆ ก็ไม่แน่ หรือจะมองในแง่นี้ก็ได้ว่าสิ่งที่เห็นกับความจริงอาจจะไม่ใช่อันเดียวกัน สิ่งที่เราเห็นอาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้
เวลาเราเห็นอะไรที่ถูกใจ เราเรียกว่าโชคดี แต่ปรากฏว่ามันกลับเป็นโชคร้ายในเวลาต่อมา ความจริงอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นก็ได้ หรือว่าสิ่งที่เราเห็นอาจจะไม่ใช่ความจริงแท้ ๆ ก็ได้ เพราะคนเราก็มักจะมองเห็นแต่ด้านเดียว เวลาเจออะไรที่ถูกใจก็มองว่าเป็นโชคดี แต่ไม่ได้มองว่ามันอาจจะมีโชคร้ายหรือผลกระทบในทางที่ไม่ดีตามมาก็ได้ อันนี้คือสิ่งที่คนมองไม่เห็น
หรือสิ่งที่คนมองว่าเป็นโชคร้ายเพราะว่ามันไม่ถูกใจ มันอาจจะมีผลดีซุกซ่อนอยู่ก็ได้ที่เราเรียกว่าโชคดี เพราะฉะนั้นเวลาเราเจออะไร ก็ให้พึงตระหนักว่าความจริงอาจจะมีอะไรมากกว่าที่เราเห็น หรือว่าสิ่งที่เราเห็นนี้มันอาจจะไม่ใช่ความจริงล้วน ๆ
เวลาซื้อของถูก เออ ก็อย่ามองว่าเป็นโชค เพราะว่าอาจจะเป็นเคราะห์ก็ได้ ไม่ใช่เพราะของไม่ดี แต่เพราะว่าอีกไม่นานก็จะเจอของที่ถูกกว่า และพอเห็นก็จะเสียใจว่าถ้าวันนั้นไม่ซื้อ มาซื้อวันนี้ โอ เราคงจะมีความสุข หรือถ้าวันนั้นเราไม่เห็น แต่เรามาเห็นวันนี้ เราก็จะได้ของดี ราคาถูก หรือถ้าวันนั้นไม่ด่วนตัดสินใจซื้อ ใจเย็นสักหน่อย รออีกสัก 2-3 วัน อาจจะได้ของดี
คนเราบางทีก็คิดว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก ต้องรีบซื้อเพราะว่าไม่งั้นอาจจะอด ครั้นได้มาก็ดีใจว่าโอ้เราโชคดี มาเห็นก่อนใครหรือว่ามาเห็นแต่เนิ่น ๆ แต่กลายเป็นว่าถ้าไม่เห็นเลยอาจจะดีกว่า เพราะว่าอาจจะได้เจอของที่ถูกกว่าในวันหลัง แล้วก็จะดีใจ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เตือนใจ เวลาใครที่ชอบช็อปปิ้ง ซื้อของ ซื้อของถูก ก็เผื่อใจไว้ว่าอาจจะมีของที่ถูกกว่าก็ได้ ถ้าเราใจเย็นสักหน่อย
การที่ด่วนซื้อมันก็มีข้อดี ก็คือว่าถ้าไม่ด่วนซื้อก็อาจจะอดเลยก็ได้ แต่ข้อเสียก็คือว่าเราอาจจะเจอของที่ถูกกว่าในภายหลัง แต่คนไม่ค่อยมองแบบนี้ เพราะเขาไม่ค่อยมองอะไรให้รอบด้าน คนเราถ้ามองอะไรให้รอบด้าน ก็จะได้คิดว่าน้ำขึ้นให้รีบตักก็จริง แต่สุดท้ายนี่อาจจะต้องถือคติว่าช้า ๆ ได้พร้าเล่มงามก็ได้
เวลาเราเจอของถูก เรารีบซื้อ ให้เผื่อใจไว้ว่าอาจจะมีของอย่างเดียวกันราคาถูกกว่าก็ได้ในไม่กี่วันต่อมา ถ้าคิดแบบนี้มันก็ไม่ทุกข์เพราะเผื่อใจไว้แล้ว หรืออย่างน้อยก็อาจจะยับยั้งชั่งใจไม่ด่วนซื้อ แต่ไม่ด่วนซื้อก็ต้องทำใจว่าถ้าไม่ด่วนซื้อ อาจจะไม่ได้มีโอกาสซื้ออีกเลยก็ได้ เพราะว่าของมันหมด แล้วเป็นของที่ราคาถูกด้วย
คนเราเวลามองอะไรมักจะมองด้านเดียวอย่างเช่น คนที่รักสัตว์ เห็นลูกหมาลูกแมวน่ารัก คิดในใจว่า ถ้าฉันซื้อมา ฉันจะมีความสุข จะมีเพื่อนหรือว่าจะมีสัตว์ตัวน้อย ๆ น้องหมาน้องแมวที่คอยทำให้ชีวิตมีคุณค่า ทำให้จิตใจชื่นบาน หลายคนก็ตัดสินใจซื้อเลยเอามาเลี้ยง แต่ไม่ได้คิดว่าในดีมันก็มีเสีย คือว่าจะให้ได้น้องหมาน้องแมวที่น่ารักนี้ เราก็ต้องยอมลงทุนลงแรง หรือว่าให้เวลากับเขา
ต้องมีเวลาให้เขา ต้องมีเงิน เลี้ยงดูเขา เขาป่วยก็ต้องพาเขาไปโรงพยาบาลไปหาหมอ ต้องพาเขาไปเดินเล่น ต้องหาอาหารให้เขากิน ต้องเก็บขี้เก็บเยี่ยวของเขา ไม่ได้มองว่าในดีมีเสีย หรือมองเห็นแต่ได้ ไม่ได้มองเห็นส่วนที่เป็นภาระ พอถึงเวลาก็เบื่อ เลี้ยงไปสักพักก็เบื่อ ยิ่งสัตว์นี่ไม่ใช่ว่ามันอยู่กับที่ ตอนมันเด็กมันก็น่ารัก แต่พอมันโตขึ้นความน่ารักก็ลดน้อยลง อาจจะดื้อ ถึงตอนนี้โชคกลายเป็นเคราะห์ไปซะแล้ว ดีกลายเป็นร้ายไปซะแล้ว
บางทีมันก็ดุกัดคนที่เดินผ่านหน้าบ้าน คราวนี้มันกลายเป็นภาระ กลายเป็นตัวสร้างปัญหาแล้ว ตอนที่คิดจะเลี้ยง มันเห็นแต่ด้านดีว่าจะนำความสุขมาให้ แต่ไม่ได้คิดให้มันตลอดว่าเราจะต้องให้เวลากับเขา หรือจะต้องเจออะไรบ้างที่มันไม่ได้สวยสดงดงาม อันนี้คือความจริงที่คนเลี้ยงสัตว์จำนวนมากนี้มองไม่เห็น เขามองเห็นแต่ด้านเดียว เห็นด้านที่มันน่ารัก ด้านที่มันช่วยทำให้มีความสุข
บางคนไม่ได้เลี้ยงน้องหมาน้องแมว เลี้ยงกระต่าย กระต่ายตอนเด็ก ๆ นี้มันน่ารักมากเลย แต่พอเลี้ยงไป ๆ มันโตขึ้น ๆ ชักจะไม่ค่อยน่ารักซะแล้ว แล้วแถมกินจุด้วย อาตมานี่เคยเลี้ยงกระต่ายตอนยังเป็นเด็ก ๆ โอ้ย ต้องคอยเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้มัน ตอนเลี้ยงมาไม่ได้คิดเลยว่าเราจะต้องมาเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้มัน ขี้เยี่ยวมันก็ส่งกลิ่นซะด้วย
แถมต้องไปหาซื้อผักมาให้มัน แล้วมันกินจุมาก ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งกินจุ ตอนหลังก็ต้องไปเก็บผักที่เขาทิ้งตามตลาดสดนี้มา ผักคะน้า โหระพา ผักกะเพรามาให้ มันกินเยอะมาก แทนที่เราจะมีเวลาไปเล่น อ่านหนังสือ ก็ต้องไปตลาดไปหาผักให้มัน ตรงนี้ไม่เห็นเลย ตอนที่เอาเขามาเลี้ยงไม่เห็นเลยเพราะมองไม่ตลอด
เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีชาวบ้านเอากระต่าย 7-8 ตัว มาปล่อยที่วัด ตัวโต ๆ ทั้งนั้นเลย คงเลี้ยงไม่ไหว แต่ว่าตอนที่มันยังเด็กมันยังเล็กคงวาดหวังหรือมองโลกสวยว่ามันจะทำให้มีความสุข แต่ไป ๆ มา ๆ นี้กลับมันเพิ่มทุกข์หรือเพิ่มภาระให้ อันนี้ก็เหมือนกัน ความจริงมันมักจะไม่เป็นอย่างที่เห็น ที่เราเห็น มันเห็นแต่ภาพสวย ๆ ที่เขาเรียกว่าโลกสวย แต่ความจริงมันมีอะไรมากกว่านั้น
ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเลี้ยงน้องหมา น้องแมว เลี้ยงกระต่าย หรือว่าการที่ไปซื้อหรือได้ของถูกมา แล้วก็ไม่คิดว่าจะต้องเจอของที่ถูกกว่าในวันข้างหน้า มันยังมีอีกหลายอย่าง ความจริงมักจะไม่เป็นไปอย่างที่เห็น
ยิ่งถ้ามองในเรื่องของธรรมะด้วยแล้ว โห มันเห็นชัดเลย ความจริงบางอย่างก็เป็นเรื่องที่เห็นได้ยากแต่ไม่เกินวิสัย เช่น ความจริงว่ามันไม่มีตัวเรา มันไม่มีอะไรที่เป็นของเรา ที่เห็น ๆ นี่ดูเหมือนว่ามีเรามีของเรา แต่ความจริงมันไม่มีตัวเราหรือของเรา สิ่งที่เห็นมันก็คือสมมุติสัจจะ ความจริงที่ยอมรับกัน เช่น นาย ก นาย ข สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
แต่ว่าความจริงระดับที่จริงแท้คือปรมัตถสัจจะ มันไม่มี อย่าว่าแต่อะไรเลยไม่ต้องอื่นไกล ความคิดหรืออารมณ์ความรู้สึก ดูเผิน ๆ มันก็เป็นเราเป็นของเรา เวลามีความคิดก็เราคิด เวลามีความโกรธก็เราโกรธ เวลามีความดีใจก็เราดีใจ แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ความดีใจไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ความทุกข์ก็ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ความโกรธก็ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา แต่เพราะความหลงนี้เข้าไปยึดว่ามันเป็นเราเป็นของเรา เสร็จแล้วก็เลยทุกข์ แล้วก็อยู่ในอาการครอบงำของมัน
ถ้าเราเห็นความจริงว่า รูปและนาม กายและใจ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เวลามีความปวดก็ไม่ใช่เราปวด ถ้าเห็นความจริงแบบนี้ เวลามีความปวดมันทุกข์น้อยกว่า คนที่เห็นว่าที่ปวดนี่คือกายปวด ไม่ใช่เราปวด ที่โกรธนี่มันคือความโกรธ ไม่ใช่เราโกรธ มันช่วยทำให้หลุดจาก หรือเพลา หรือเบาจากความทุกข์ไปได้เยอะเลย คนที่ทุกข์มากเพราะว่าไม่ได้คิดว่ากายปวด แต่ไปคิดว่ากูปวด ไปสำคัญมั่นหมายว่าความโกรธเป็นกู เป็นของกู
นี่ก็เหมือนกัน ความจริงอาจจะไม่เป็นอย่างที่เห็น หรือสิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่ความจริง แล้วเห็นอีกว่ามันมีกูมีของกู เห็นอยู่ว่าเราโกรธ เราดีใจ แต่จริง ๆ ไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่เพราะมันไม่มีเราตั้งแต่แรก จะเห็นความจริงให้ได้นี่ ต้องมีสติเบื้องต้น เห็น ไม่เข้าไปเป็น
เมื่อเห็นไม่เข้าไปเป็น มันก็จะเห็นเลยว่าความโกรธนี้อันหนึ่ง ใจก็อันหนึ่ง ความปวดก็อันหนึ่ง กายก็อันหนึ่ง จะว่ากายปวดก็ไม่เชิง เพราะว่าความปวดก็เพียงแต่อาศัยกายเป็นที่เกิด แล้วยิ่งไปคิดว่ากูปวดฉันปวดด้วยแล้วนี่ มันก็ยิ่งคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงมาก แต่เพราะไม่เห็นความจริงนี่แหละจึงทุกข์กันเยอะ เวลาปวดก็กูปวด กูปวดมันก็เลยยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ เป็นการซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับใจ
ฉะนั้น ที่ว่าความจริงเป็นมากกว่าที่เห็น หรือสิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่ความจริงเสมอไป อันนี้มันเป็นเรื่องที่น่าพิจารณา ทั้งในทางโลกและทางธรรม เวลาจะซื้อของอะไรหรือเวลาเจอโชค ก็ให้รู้ว่ามันอาจจะไม่ใช่โชคดีอย่างเดียวก็ได้ มันอาจจะแฝงโชคร้ายเอาไว้ หรือเวลาเจอโชคร้าย ก็ให้รู้ว่ามันอาจจะเป็นโชคดีที่แฝงอยู่ก็ได้ ความจริงอาจจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เห็น เป็นข้อเตือนใจที่สำคัญมาก.
…