พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 3 กรกฎาคม 2567
มีผู้ชายคนหนึ่ง การงานก็ราบรื่นไปด้วยดี ครอบครัวก็อบอุ่น ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตอนหลังเขาก็มาสนใจการปฏิบัติธรรม บางทีก็เข้าคอร์สปฏิบัติธรรมเป็นอาทิตย์ ตอนหลังก็ทำต่อเนื่อง ระยะหลังพอเข้าพรรษาก็วางงาน วางธุรกิจ มาปฏิบัติธรรมในวัดตลอดพรรษา
ออกพรรษาแล้ว ถ้ามีเวลามีโอกาส ก็มาปฏิบัติธรรม ทำอย่างนี้อยู่หลายปี ตอนหลังก็ทำงานน้อยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งว่าแทบจะวางมือเลย เพื่อนๆ ที่รู้ก็ถามว่ามีความทุกข์อะไรหรือเปล่า ทำไมถึงเข้าวัด เขาก็ปฏิเสธว่าไม่มีอะไร ชีวิตก็ปกติดี แต่หลายคนก็ไม่ค่อยเชื่อ
อันนี้คือสิ่งที่หลายคนประสบได้เวลาหันมาเข้าวัดปฏิบัติธรรม จะมีคนไม่เข้าใจ สงสัยว่ามีปัญหาอะไร พอได้คำตอบว่าไม่มีอะไร เขาก็จะไม่เชื่อ เพราะว่าความเข้าใจคนทั่วไป คนที่เข้าวัดมักจะมีปัญหา อย่างที่เป็นข่าวอยู่เสมอ อกหักผิดหวังในความรัก ก็มาบวช หรือว่าเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็ง ก็มาเข้าวัดปฏิบัติธรรม บางคนก็ติดยา ติดการพนัน ติดเหล้า ถ้าไม่เข้าวัดเองก็ถูกพ่อแม่หรือคนรอบข้างผลักดันให้เข้าวัด ให้มาบวชก็มี
ซึ่งเป็นภาพที่หลายคนรับรู้ แล้วก็เกิดความเข้าใจว่า ต้องมีปัญหาถึงจะมาเข้าวัดปฏิบัติธรรมได้ เพราะฉะนั้นก็มีบางคน ที่จริงก็หลายคนทีเดียว เวลาได้รับการชักชวนว่า น่าจะมาปฏิบัติธรรม น่าจะมาฝึกสติสมาธิภาวนา คำตอบที่ได้รับก็คือว่า ฉันยังไม่มีปัญหาอะไรเลย ชีวิตฉันก็ยังราบรื่น แล้วจะเข้าวัดปฏิบัติธรรมทำไม นี้คือสิ่งที่ได้ยินบ่อยๆ
การตอบเช่นนั้นถือว่าเป็นความประมาทอย่างหนึ่ง เพราะว่าถึงแม้วันนี้ชีวิตจะราบรื่นปกติสุข มันไม่ได้แปลว่าพรุ่งนี้ หรือวันมะรืน หรือวันหน้าชีวิตจะราบรื่นเหมือนอย่างวันนี้ เพราะว่าอะไรๆ ก็ไม่แน่ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ วันนี้สุข พรุ่งนี้ก็ทุกข์ วันนี้ราบรื่น พรุ่งนี้ก็ขลุกขลัก นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสเตือนอยู่แล้ว อย่างที่เราสวดมนต์ทุกเช้า เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว ขณะที่คิดว่าสุข จริงๆ แล้วมันมีความทุกข์อยู่ สมมุติว่าเราไม่มีทุกข์มากเท่าไร เรียกว่าพอทนได้ แต่ว่าวันหน้า มันมีความทุกข์ที่หนักหนารอเราอยู่ อย่างน้อยๆ ก็คือความแก่ ความเจ็บ ยังไม่ต้องพูดถึงความตาย
มีหลายคนที่ชีวิตราบรื่นปกติสุขดี การงานก็ดี มีฐานะ สุขภาพก็ดี แต่แล้ววันหนึ่งเกิดอกหัก ผิดหวังในความรัก ปรากฏว่าเสียศูนย์ไปเลย หรือบางคนมีการงานดี มีครอบครัวดี ลูกก็น่ารัก แต่วันหนึ่งลูกก็เกิดล้มหายตายจากไป ขณะที่ยังเล็กเลย คนที่เป็นพ่อแม่จำนวนมากก็เสียศูนย์ไปเลย
สิ่งที่มี ความรู้ที่มี ทรัพย์สมบัติที่มี ไม่ได้ช่วยเลย บางคนมีทุกอย่าง อาชีพก็ดี ฐานะการเงินก็ดี สามีก็ดี ช่วยกันทำมาหากิน แต่แล้ววันหนึ่ง พอพบว่าสามีไปมีผู้หญิงใหม่ ปรากฏว่าทำใจไม่ได้เลย รู้สึกสูญเสียทุกอย่าง ไม่เหลืออะไรเลย ที่จริงยังมีทุกอย่าง ยกเว้นคนรักที่เขาทิ้งไป แต่ปรากฏว่าเศร้าเสียใจมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ
บางคนชีวิตก็ดี อนาคตกำลังรุ่งเรือง ปรากฏว่าเป็นโรคร้าย รักษาไม่หาย ชีวิตผันแปรไปเลย กลายเป็นโรคซึมเศร้า บางคนก็เกิดอุบัติเหตุ พิการ นอนติดเตียง ต้องนั่งรถเข็น รู้สึกว่าชีวิตนี้หมดไปเลย ไม่อยากจะอยู่แล้ว บางคนนึกถึงการฆ่าตัวตาย
บางคนครอบครัวก็ดี สุขภาพก็ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร แต่ธุรกิจเกิดมีปัญหา เกิดล้มละลายขึ้นมา หรือถึงไม่ล้มละลายก็ขาดทุนมหาศาล ก็ทำใจไม่ได้ ความรู้ที่มี ปริญญาหลายใบที่ได้มา ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เพราะฉะนั้นการที่คนจำนวนไม่น้อยบอกว่า ฉันจะมาปฏิบัติธรรมทำไม ทุกวันนี้ฉันก็มีความสุขดีอยู่แล้ว จึงเรียกว่าเป็นคนประมาท เพราะไปคิดว่าวันพรุ่งนี้จะเหมือนกับวันนี้ ที่จริงพรุ่งนี้กับวันนี้ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เราไม่อาจเอาอดีตหรือประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นตัวชี้วัดอนาคตได้เลย
ชีวิตเราตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ เราไม่เคยหยุดหายใจเลย มันไม่ได้แปลว่าพรุ่งนี้เราจะไม่หยุดหายใจ หรือว่าอีก 2 ปีข้างหน้าเราจะไม่หยุดหายใจ ทั้งๆ ที่เราไม่เคยหยุดหายใจเลยมา 30 ปี 60 ปี ก็ไม่ได้หลักประกันเลยว่า พรุ่งนี้จะยังหายใจต่อไป ตั้งแต่เกิดจนบัดนี้ หลับวันไหน รุ่งขึ้นก็ตื่น ไม่มีวันไหนที่หลับแล้วไม่ตื่น แต่มันบอกไม่ได้ว่าพรุ่งนี้หรือคืนนี้ หลับแล้วเราจะยังตื่นเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา
นี่พูดเฉพาะเรื่องการหยุดหายใจ ยังไม่ได้พูดถึงว่า ตาที่มองเห็น หูที่ได้ยิน ขาที่ยังใช้การได้ มันใช้การได้มาตั้งแต่เกิดจนบัดนี้ ไม่ได้แปลว่าพรุ่งนี้มันยังจะเหมือนเดิม ในเมื่อเราไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรข้างหน้า
และบางอย่างเราก็พอคาดเดาได้ว่า มันมาแน่ เช่นความเจ็บความป่วย ความแก่ความชรา รวมทั้งความพลัดพรากสูญเสีย จะเสียมากเสียน้อยก็แล้วแต่ อย่างไรก็ต้องเจอแน่ ทรัพย์ที่มี ไม่มีที่จะไม่เสื่อมไม่สลายไม่หายไป ยิ่งในยุคนี้ด้วยแล้ว ใครที่มีบัญชีอยู่ในธนาคาร ถึงแม้ที่ผ่านมายังราบรื่น มันไม่ได้แปลว่าพรุ่งนี้จะไม่โดนมิจฉาชีพมากวาดเอาเงินในบัญชีไป แล้วมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้มากทีเดียว อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิตสำหรับผู้คนทั้งหลาย
เคยถามตัวเองบ้างหรือเปล่าว่า ถ้ามันเกิดขึ้น เราจะรับมือไหวไหม เราจะรักษาใจอย่างไรจึงไม่ทุกข์ ทำอย่างไร เสียแต่ทรัพย์แต่ว่าใจไม่เสีย ยังกินได้ ยังนอนหลับ ทำอย่างไรป่วยก็ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วย ทำอย่างไรงานล้มเหลว แต่ว่าชีวิตหรือจิตใจไม่ล้มเหลวไปด้วย นี่เป็นคำถามที่ทุกคนควรจะตอบ
แต่ส่วนใหญ่ประมาท คิดว่าวันนี้เป็นอย่างไร พรุ่งนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น วันนี้ฉันราบรื่นผาสุกดี พรุ่งนี้ก็ย่อมจะราบรื่นผาสุก อันนี้คือความประมาท ยิ่งในยุคนี้เป็นยุคที่อะไรผันผวนแปรปรวนเร็วมาก เดี๋ยวนี้เขาเรียกว่าเป็นยุคดิสรัปชั่น ความยุ่งเหยิงปั่นป่วนเกิดขึ้นเร็วมาก
เมื่อเรารู้อย่างนี้ แม้ว่าวันนี้ยังสุขสบายดี ก็ควรเตรียมตัว เตรียมพร้อมด้วยการฝึกจิตฝึกใจให้ดี เรียกว่าให้เปิดใจเข้าหาธรรมะ บางทีก็เรียกว่าปฏิบัติธรรม และที่จริงสำหรับหลายคนที่คิดว่า วันนี้ฉันราบรื่นปกติสุข เอาเข้าจริงๆ มันจริงหรือเปล่า เพราะถ้าใคร่ครวญ ถามใจตัวเองก็จะพบว่า ก็ไม่ได้สุขเท่าไหร่ มีความเครียด เครียดเรื่องงาน เครียดเรื่องความสัมพันธ์ เครียดเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ยุคนี้ผู้คนเครียดทั้งนั้น ถึงแม้จะยังไม่เจออะไรรุนแรงอย่างที่พูดมา
เดี๋ยวนี้แค่ซื้อของ ทั้งๆ ที่ซื้อราคาลด แต่ปรากฏว่ามีคนซื้อได้ถูกกว่าก็เครียดแล้ว ช่วงนี้มีหลายคนเป็นทุกข์มาก ซื้อรถไฟฟ้าจากจีน ได้ราคาดีด้วย เขาลดหลายหมื่น รีบซื้อเลย แต่พอซื้อไปแล้ว ผ่านไปเดือนสองเดือน รถราคาตกลงมา จริงๆ ไม่ใช่ว่าราคาตก แต่บริษัทเขาลดยิ่งกว่าเดิม จากลด 50,000 บาท เป็นลดราคา 150,000 บาท หลายคนเป็นทุกข์มาก
ไม่ใช่ว่ารถไม่มีคุณภาพ ไม่ใช่ว่าลดราคาเกินเหตุ แต่เป็นเพราะพบว่าคนอื่นซื้อได้ถูกกว่าตัวเอง เครียดมาก นอนไม่หลับ บางทีเป็นโรคซึมเศร้า ไม่สามารถมูฟออนต่อไปได้ ตอนนี้ได้ข่าวว่ามีการรวมตัวกันจะไปฟ้องบริษัทขายรถที่ลดมากเกินไป ลดมากกว่าตอนที่ตัวเองซื้อครั้งแรก แบบนี้ก็มี เพราะอะไร ที่จริงถึงแม้ว่าตัวเองจะจ่ายมากกว่าคนอื่น มันก็ไม่น่าจะทำให้ทุกข์ถ้าวางใจถูก แต่เพราะวางใจไม่ถูก
ใจของเรานี่แหละถ้าหากคิดฟุ้งปรุงแต่งเปรียบเทียบไม่เป็น ก็สามารถฉุดให้เราเป็นทุกข์หรือซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเราได้
ฉะนั้น ที่บอกว่าทุกวันนี้ฉันก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ทำไมยังต้องปฏิบัติธรรม ที่จริงก็ไม่ใช่หรอก ไม่ได้มีความสุขเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีกว่าอนาคต เพราะข้างหน้าสิ่งที่รอเราอยู่มันจะหนักหนาสาหัส ไม่ว่าจะเป็นความแก่ ความเจ็บความป่วย และความตาย รวมทั้งความพลัดพรากสูญเสีย
ฉะนั้น คนที่แม้วันนี้ยังสุขสบายดีอยู่ ถ้าเขารู้จักใคร่ครวญชีวิต เขาก็รู้ว่าประมาทไม่ได้กับวันข้างหน้า ยิ่งตอนนี้อะไรๆ ก็ดี ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการฝึกจิตปฏิบัติธรรม ในเมื่อสุขภาพก็ดี ยังไม่แก่ ยังมีเรี่ยวแรง ยังมีพลังวังชา การงานก็ราบรื่น ครอบครัวก็ดี ยิ่งเป็นโอกาสเหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรม
อย่างน้อยก็ไม่มีความกังวล หรือที่เรียกว่าปลิโพธ มีคำพูดที่เคยได้ยินบ่อย ยามสงบเราฝึก ยามศึกเรารบ เวลาสงบ ไม่ใช่ว่าจะปล่อยชีวิตลั้ลลา อย่าไปคิดว่ามันจะสงบอย่างนี้ไปตลอด วันนี้สงบ แต่พรุ่งนี้อาจจะมีศึกก็ได้ เพราะฉะนั้นในขณะที่สงบ ก็เป็นโอกาสที่เราจะได้ฝึก ฝึกที่ว่าเขาหมายถึงฝึกทางทหาร แต่ว่าฝึกที่เราควรจะฝึกคือ ฝึกจิต เพราะวันนี้แม้จะสงบ แต่พรุ่งนี้อาจจะไม่สงบ อาจจะไม่ได้เกิดศึกสงครามคือศัตรูมาทำร้าย แต่ว่าความไม่เที่ยงมันจะมาสร้างความปั่นป่วนให้กับชีวิตของเรา ที่เรียกว่าดิสรัปชั่น
ฉะนั้น ขณะที่ราบรื่น ยิ่งเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการฝึก อย่าไปรอให้เกิดศึกสงครามแล้วค่อยมาขวนขวายเตรียมสู้รบ ประเทศไหนที่คิดแบบนี้ก็พ่ายสงครามแน่นอน เหมือนกับเวลาเรายังไม่เคยตกน้ำ ก็ควรที่เราจะฝึกว่ายน้ำเอาไว้ ไม่ใช่ว่าปล่อยตัวตามสบาย แล้วพอจมน้ำถึงค่อยฝึกว่ายน้ำ ตอนนั้นไม่ทันแล้ว พอจมน้ำแล้วมาฝึกว่ายน้ำ มันไม่ทันแล้ว
มันต้องฝึกว่ายน้ำก่อนที่จะเจอการจมน้ำ ก่อนที่เรือจะล่ม เรือไม่ล่มก็ดี แต่ถ้าเรือล่ม เราเคยฝึกว่ายน้ำจนชำนาญแล้ว ก็เอาตัวรอดได้ ชีวิตเราก็คงเหมือนเรือที่ไม่รู้ว่ามันจะอับปางเมื่อไหร่ แต่ถึงจะอับปาง เราก็สามารถจะช่วยตัวเองได้ เพราะว่าว่ายน้ำเป็น
คนที่รอให้มีความทุกข์ก่อนจึงค่อยมาปฏิบัติธรรม ถือว่าประมาท แต่ก็ยังดีที่คิดถึงเรื่องธรรมะ คนที่เจ็บป่วย คนที่สูญเสียคนรัก อกหัก หรือว่าเกิดพิการ สูญเสียเงินทอง ธุรกิจล้มละลาย แล้วหันมาปฏิบัติธรรม เพราะรู้ว่าที่เคยมี มันช่วยอะไรไม่ได้ ก็ยังดี ถึงแม้ว่าจะดูช้าไปหน่อย ดีกว่าหันไปหาเหล้า หันไปหาการพนัน หันไปหายาเสพติด
มองในแง่นี้ความทุกข์ก็ดีตรงนี้ คือพอเราเจอทุกข์แล้ว ทำให้เราเห็นธรรมหรือเข้าหาธรรม คนส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น จะเข้าหาธรรมก็ต่อเมื่อเจอทุกข์ ซึ่งก็ยังดีที่เข้าหาธรรม ดีกว่าไปหาอธรรม ไปหาอบายมุข แต่ก็ต้องระวัง เพราะว่าพอมาเข้าหาธรรมแล้วอาจจะไม่ทันการก็ได้
หลายคนมานึกถึงธรรม เห็นคุณค่าของการปฏิบัติธรรมก็ตอนที่นอนติดเตียงแล้ว ตัดพ้อว่ารู้อย่างนี้น่าจะปฏิบัติธรรมตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว มีเยอะที่พอป่วยหนักแล้ว แล้วถูกความทุกข์ทางกาย ความทุกข์ใจบีบคั้น ค่อยมานึกถึงธรรม แต่ตอนนั้นก็แทบจะสายไปแล้ว มาตัดพ้อว่ารู้อย่างนี้ปฏิบัติธรรมไปนานแล้ว ขึ้นชื่อว่า ‘รู้’ ดีทั้งนั้น ยกเว้น ‘รู้งี้’
‘รู้งี้’ แทบจะไม่มีประโยชน์แล้วเพราะว่ามันแปลว่าสายไปแล้ว แต่ที่จริงก็ไม่สาย ถึงแม้จะเจ็บปวดก็ยังปฏิบัติธรรมได้ แต่ว่าส่วนใหญ่ ความบีบคั้นด้วยทุกขเวทนา ทำให้การปฏิบัติธรรมเป็นไปอย่างขลุกขลักมาก ยกเว้นคนที่เก่งจริงๆ ที่เกิดได้คิดขึ้นมา เขาก็สามารถที่จะพลิกจิต จากทุกข์พลิกให้เห็นเป็นธรรม แบบนี้ก็มีแต่น้อย ส่วนใหญ่ก็สายไปแล้วเพราะว่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป
พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนมี 4 ประเภท พระองค์เปรียบเหมือนกับม้า 4 ชนิด คือ ประเภทแรก เมื่อสารถียกปฏักขึ้นมา มันเห็นเงาปฏักที่พื้น มันก็รู้แล้วว่าควรจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา ประเภทที่ 2 ต้องรอให้ปฏักทิ่ม ต้องให้เจ็บเสียก่อนถึงรู้ว่า จะเลี้ยวไปทางไหน ประเภทที่ 3 ต้องโดนปฏักทิ่มไปถึงเนื้อ ไม่ใช่แค่ขุมขนเท่านั้นถึงค่อยรู้ว่าควรจะไปทางไหน ประเภทที่ 4 ต้องโดนปฏักทิ่มไปจนถึงกระดูกเลย เจ็บมากถึงจะรู้สึก รู้ว่าควรจะไปไหน
คน 4 ประเภทนี้ก็เช่นเดียวกัน ประเภทแรก เพียงแค่รู้ว่ามีคนตายก็เกิดความกระตือรือร้นที่จะปฏิบัติธรรม ประเภทที่ 2 ต้องเห็นคนตายก่อน แล้วถึงค่อยเกิดความสังเวช กระตือรือร้นจะปฏิบัติธรรม ประเภทที่ 3 คนรัก คนรู้จัก เกิดตาย ถึงค่อยตื่นตัว ประเภทที่ 4 ต้องให้ความตายมาประชิดตัวถึงค่อยกระตือรือร้น สนใจธรรมะ ประเภทหลังนี่เขาเรียกว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
ประเภทแรกนี่ถือว่า ดีที่สุดและหายากที่สุด คือว่ายังไม่ต้องเจอทุกข์ แค่รู้ว่าสักวันหนึ่งเราต้องตาย ก็เกิดความตื่นตัวแล้ว ประเภท 2, 3, 4 ต้องเจอทุกข์ เกิดความรู้สึกถูกบีบคั้นใจ ประเภทที่ 2 น้อยหน่อย ประเภทที่ 3 บีบคั้นเยอะ ประเภทที่ 4 ทุกข์มากเลย เพราะว่าความตายมันประชิดตัว
คนจำนวนมากต้องรอให้ทุกข์ก่อนถึงจะขยับเข้าหาธรรม แต่ที่จริงคนที่ฉลาด คนมีปัญญา ไม่ต้องเจอทุกข์เอง แค่รู้ว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ ก็มากพอที่จะทำให้สนใจ
ฉะนั้น เราไม่ควรจะรอให้เกิดความทุกข์เสียก่อน ทุกข์มาถึงตัวถึงค่อยสนใจปฏิบัติธรรม ในขณะที่เรามีสุขภาพดี มีการงานที่ราบรื่น ครอบครัวอบอุ่น ควรเป็นเวลาสำหรับการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติอะไร
อย่างน้อย หนึ่ง ให้รู้จักรักษาใจ ให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ปล่อยใจให้หลงไปอยู่กับอดีต จมในอนาคต ปรุงแต่งกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อดีตผ่านไปแล้ว แม้เจ็บปวดเพียงใดก็ไม่ควรจะไปจมปลักอยู่กับมัน อนาคตมันจะเลวร้ายอย่างไรก็ยังไม่รู้ อย่าไปปรุงแต่งล่วงหน้า ถ้าหากรู้จักเอาใจอยู่กับปัจจุบัน ก็ช่วยลดความทุกข์ไปได้เยอะ เพราะทุกวันนี้เราซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง ด้วยการปล่อยใจให้จมอยู่กับอดีต หรือไม่ก็ไปรออยู่อนาคต
สอง รู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ เพราะว่าคนเราทุกข์ก็เพราะความคิด แต่พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก ทุกข์เพราะหลงไปในความคิดต่างหาก ทุกข์เพราะหลงเข้าไปในอารมณ์ ถ้าหากว่ารักษาใจไม่ให้หลงเข้าไปในความคิด ไม่ให้หลงเข้าไปในอารมณ์ได้ มันคิดก็คิดไป แต่ใจไม่ไหลไปกับมัน จะมีความโกรธเกิดขึ้นในใจ จะมีความเครียดเกิดขึ้นในใจ ก็รู้ทัน ไม่เข้าไปยึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา เรียกว่าเห็น ไม่เข้าไปเป็น
นี่ก็ช่วยลดความทุกข์ไปได้เยอะ หรือถ้าให้ดีก็คือ เปิดใจเห็นสัจธรรมความจริง ว่ามันไม่มีอะไรเที่ยง มีขึ้นมีลง มีกับหมด ได้กับเสีย เจอกับจาก พบกับพราก เป็นของคู่กัน ถึงเวลาเจอความสูญเสียพลัดพราก เจอความเจ็บป่วย มันก็ไม่ทุกข์ เพราะรู้ว่ามันเป็นธรรมดา อันนี้แหละคือความหมายของการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อให้ใจสงบ หรือว่าพาใจออกจากปัญหา หรือหนีปัญหาชั่วคราว
แต่แม้กระนั้นแค่นี้ก็ยังดี เพราะพอเราพาตัวออกจากปัญหา หรือได้พักใจสักหน่อย ก็ทำให้พอมีสติมีกำลังที่จะไปสู้ต่อไป บางทีเราต้องรู้จักเว้นวรรคให้กับชีวิตบ้าง หรือว่ารู้จักสับสวิตช์ คือสับคัตเอาท์ ไม่ใช่ปล่อยให้มันคิดเรื่อยเปื่อยไป จนกระทั่งเป็นทุกข์หนักขึ้น อย่างน้อยเรารู้จักพักมันบ้าง หรือรู้จักสับคัตเอาต์ รู้จักเว้นวรรคให้กับความคิด รู้จักพักใจ อย่างนี้ยังช่วยได้
แต่จะให้ดีก็ต้องเปิดใจให้เห็นสัจธรรมความจริง จนกระทั่งไม่หลงเพลิดเพลิน ไม่หลงยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลายที่มีที่เป็น เมื่อไม่ยึดมั่น ถึงเวลามันแปรปรวนไป ใจก็ไม่ทุกข์.