พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็น วันที่ 20 มิถุนายน 2567
มีชายยากจนคนหนึ่ง นั่งขอทานอยู่ริมถนนมา 30 ปีแล้ว วันหนึ่งมีคนแปลกหน้าเดินผ่านมา ขอทานจึงขอเงิน คนแปลกหน้าบอกว่า “ผมไม่มีเงินเหมือนลุง” ขอทานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ชายแปลกหน้าก็ถาม “ลุง นั่งอยู่บนอะไร” ชายขอทานตอบ “ไม่มีอะไร แค่กล่องใบหนึ่ง” เขาถามต่อ “แล้วลุงเคยเปิดกล่องนั้นดูหรือเปล่า” “จะเปิดทำไม ไม่มีอะไร กล่องเปล่า ๆ”
ชายแปลกหน้าก็ยังเรียกร้องชักชวนให้ขอทานเปิดกล่องดู ชายขอทานฟังคำรบเร้าไม่ไหว “เปิดดูก็ได้” พอเปิดฝากล่องก็ตะลึง ไม่คาดคิดว่าในนั้นมีทองอยู่มากมาย และดีใจมาก ไม่นึกไม่ฝันว่ากล่องที่นั่งทับอยู่มาเป็นเวลานานที่จริงมีทรัพย์สมบัติล้ำค่ามากมาย
คนที่เล่าเรื่องนี้เขาชื่อ เอ็กค์ฮาร์ท โทลเล (Eckhart Tolle) เขาบอก “ผมก็เหมือนคนแปลกหน้านี่แหละ ผมไม่มีอะไรจะให้ แต่ว่าสิ่งที่จะช่วยได้คือ ชักชวนให้มาดูสิ่งที่อยู่ข้างใน เพียงแต่ว่าไม่ใช่ข้างในกล่อง แต่คือข้างในใจของเรา”
เอ็กค์ฮาร์ท โทลเล เป็นคุรุทางด้านจิตวิญญาณที่มีชื่อมากในยุโรป บางคนบอกว่าเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอเมริกาที่เกี่ยวกับคําสอนด้านจิตวิญญาณ หนังสือของเขาขายได้หลายสิบล้านเล่มแล้ว มีแปลเป็นไทยเหมือนกันแต่แปลไม่ค่อยดีเท่าไร ชื่อว่า The Power of Now พลังของปัจจุบันขณะ
สิ่งที่เอ็กค์ฮาร์ท โทลเล พูดนั้นสำคัญ “ผมไม่มีอะไรจะให้” สิ่งที่ทำคือ แค่ชี้ให้เราเห็น หรือให้ผู้คนทั้งหลายเห็นถึงสิ่งล้ำค่าที่มีอยู่ภายใน ภายในอะไร ภายในใจของแต่ละคน
ที่จริงนี่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบําเพ็ญอย่างที่พระองค์ตรัสว่า พระองค์เป็นผู้ชี้ทาง หรือว่าชี้ให้เราเห็นถึงสมบัติล้ำค่าที่เราทุกคนมีอยู่ พระองค์ตรัสว่า “อริยโลกุตรธรรมเป็นทรัพย์ประจําตัวของทุกคน” ก่อนหน้านี้ไม่มีใครพูด ก่อนหน้านี้มีแต่บอกว่า ให้พึ่งพาเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าอยากจะมีความสุขต้องบูชาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สุดแท้แต่ว่าจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอนุภาพแค่ไหน
แต่ว่าพระพุทธเจ้าทำไม่เหมือนใคร คือชี้ให้เห็นว่า แท้จริง ความสุขหรือความพ้นทุกข์ และ อิสรภาพ มีอยู่แล้ว ค้นพบได้กลางใจของเรา อย่างที่พระองค์ตรัสว่า อริยโลกุตรธรรมเป็นทรัพย์ประจําตัวของทุกคน
อริยโลกุตรธรรม หมายถึง ความสามารถในการพ้นทุกข์ อยู่เหนือโลกธรรม โลกธรรมมีทั้งบวกและลบ ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ เจอคําสรรเสริญแล้วต้องเจอคํานินทา เจอสุข เจอทุกข์ คนส่วนใหญ่หรือคนทั้งหลายล้วนปรารถนาโลกธรรมฝ่ายบวก แต่พอได้มาแล้วก็ตามมาด้วยความทุกข์เมื่อเจอโลกธรรมฝ่ายลบซึ่งเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น
แต่เมื่อไรก็ตามที่เราสามารถยกจิตเหนือโลกหรือเหนือโลกธรรมได้ หมายความว่า ความผันผวนแปรปรวนของโลกธรรมไม่สามารถทำให้เราเป็นทุกข์ได้อีกต่อไป เพราะจิตใจเป็นอิสระ เหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือมี เหนือหมด เหนือได้ เหนือเสีย เหนือสรรเสริญ เหนือนินทา
อันนี้เรียกว่า อิสรภาพที่ทุกคนสามารถจะเข้าถึงได้ ดังมีพระองค์ทรงเป็นแบบอย่าง เพราะว่าพระองค์ก็เคยเป็นปุถุชน แต่ทรงค้นพบศักยภาพในการที่จะเป็นอิสระจากความผันผวนปนแปรซึ่งไม่ใช่แค่ มีกับหมด ได้กับเสีย เจอกับจาก พบกับพราก แต่ยังรวมถึง แก่ เจ็บ ตาย
พระองค์สามารถจะอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ได้ เหนือแก่ เหนือเจ็บ เหนือป่วย เหนือตาย ทั้งในความหมายที่ว่า ความแก่ ความเจ็บ ความป่วย ทำอะไรจิตใจไม่ได้ และรวมไปถึงว่าสุดท้ายก็ไม่มีคําว่า แก่ ไม่มีคําว่า เจ็บ ไม่มีคำว่า ป่วย ไม่มีคําว่า ตาย เพราะว่าไม่มีการเกิดเป็น ตัวกู ขึ้นมา ไม่มีผู้แก่ ไม่มีผู้ป่วย ไม่มีผู้เจ็บ ไม่มีผู้ตาย และทั้งหมดนี้ก็มีอยู่แล้ว หรือสามารถจะบรรลุได้ด้วยใจของเราทุกคน
พระพุทธศาสนาไม่ได้บอกว่าเราทุกคนมีกิเลส มีอวิชชาเท่านั้น อันนี้เราอาจจะเคยได้ยินมาอยู่บ่อย ๆ ว่า มนุษย์เรามีกิเลส มีอวิชชา ซึ่งล้วนแต่ทำให้หลงจมอยู่ในความทุกข์ แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่พระองค์ชี้คือว่า เราทุกคนมีความสามารถหรือศักยภาพในการพ้นทุกข์ได้ ซึ่งสิ่งนี้มีค่ามากกว่าลาภ ยศ สรรเสริญ อำนาจ วาสนา
หน้าที่ของครูบาอาจารย์ก็คือ ชี้ให้เราเห็นถึงหนทางแห่งความพ้นทุกข์ หนทางแห่งอิสรภาพที่มีอยู่แล้วในใจเรา เปรียบเหมือนกับคนแปลกหน้าที่มาชี้แนะให้ขอทานรู้จักค้นพบทรัพย์สมบัติในกล่องที่ตัวเองนั่งทับอยู่มาเป็นเวลานาน แต่แล้วก็คิดว่าตัวเองยากจน ต้องขอทาน ขอเงินจากใครต่อใคร ทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่บนกองทรัพย์ที่ล้ำค่ามาก
ก็ไม่ต่างจากพวกเราทุกคนที่หวังความสุขจากสิ่งภายนอก หวังความสุขจากคําชื่นชม คําสรรเสริญ หวังความสุขจากเงินทองที่ใคร ๆ จะหยิบยื่นให้ จะเป็นเจ้านาย ผู้บังคับบัญชา หรือว่าจากผู้มีทรัพย์ เช่น จากลอตเตอรี่ จากโชคลาภต่าง ๆ คนเรารอหรือหวังความสุขจากสิ่งนอกตัว ไม่ต่างจากขอทานที่รอเงินหรือรอเศษเงินจากผู้คนที่เดินผ่าน โดยหารู้ไม่ว่าตัวเองนั่งอยู่บนขุมทรัพย์หรือกองทรัพย์ที่มหาศาลมาก
สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงทำคือ ทำให้เราหันมาเห็นสิ่งที่มีคุณค่าอยู่ในตัวเราแล้ว ตอนที่พระองค์บรรลุธรรมใหม่ ๆ และหลังจากที่จำพรรษาที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พระองค์เสด็จไปกรุงราชพคฤห์อย่างที่เราทราบดี ระหว่างที่จาริกไปมีวันหนึ่งทรงพํานักอยู่ที่ไร่ฝ้าย จู่ ๆ มีมานพหนุ่ม 30 คน วิ่งเลิ่กลั่กผ่านมาตรงจุดที่พระพุทธเจ้าทรงเจ้าพํานัก แล้วเขาก็ถามว่า เห็นผู้หญิงคนหนึ่งผ่านมาแถวนี้ไหม
เรื่องของเรื่องคือว่าผู้หญิงมาเอาทรัพย์สมบัติของเขาไประหว่างที่กําลังเล่นน้ำในสระ ทีแรกก็ชวนผู้หญิงคนนี้มาหวังจะมาสำเริงสำราญ คือเป็นนางคณิกา มานพแต่ละคนก็มีคู่ บางคนไม่มีคู่ก็ไปหานางคณิกาคนนี้มาเป็นคู่ แล้วมีช่วงหนึ่งก็ลงน้ำ เล่นน้ำกัน ถอดเสื้อ ถอดเครื่องประดับไว้ริมสระ นางคณิกาพอเห็นมานพหนุ่มเผลอก็ขนเอาเครื่องประดับของมีค่าแล้วหนีไป
ทั้ง 30 คนนี้กว่าจะรู้ว่าทรัพย์สมบัติของตัวเองถูกยกเค้าไปก็ผ่านไปนานพอสมควร พอขึ้นมาจากสระ แต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จก็ตามหาเลย บังเอิญไปเจอ ไปพบพระพุทธเจ้ากําลังนั่งพักผ่อนอิริยาบถอยู่ใต้ต้นไม้ เขาเล่าให้พระพุทธเจ้าฟังว่ากําลังหาผู้หญิงคนนั้นแหละ พระพุทธองค์เห็นไหม
พระองค์ตอบว่า หาตัวเองไม่ดีกว่าหรือ จะหาผู้หญิงคนนี้ทําไม ไม่หาตัวเอง หาตัวเองไม่ดีกว่าหรือ 30 คนนั้นชะงักเลย เอ! มีด้วยหรือ หาตัวเอง! จึงสนทนากับพระพุทธเจ้า พระองค์จึงได้โอกาสแสดงธรรม ซึ่งคือการชี้ให้เห็นขุมทรัพย์ที่มีอยู่แล้วในใจของแต่ละคน คือความสามารถในการพ้นทุกข์ ปรากฏว่า 30 คนนั้นก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เพราะได้พบหนทางแห่งความพ้นทุกข์ว่าแท้จริงอยู่ที่ใจ หรือได้พบสมบัติที่มีค่ากว่าทรัพย์สินที่ถูกขโมยไปเสียอีก
ฉะนั้น หน้าที่ของครูบาอาจารย์คืออันนี้แหละ ชี้ให้เราเห็นสิ่งที่เรามีอยู่แล้วในใจ ใจเราเท่านั้นเป็นที่มาของความทุกข์ อันนี้อาจจะเป็นข่าวร้าย ความทุกข์ไม่ได้เกิดจากใคร แต่อยู่ที่ใจเรา ใจที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ใจที่มีอวิชชา ใจที่มีความยึดติดถือมั่น
ที่บอกว่าเป็นข่าวร้ายเพราะว่าคนเรามักจะมองว่าคนอื่นนั่นแหละทำให้เราทุกข์ การที่จะยอมรับว่าตัวเองหรือจิตใจของตัวนั่นแหละเป็นที่มาแห่งความทุกข์ เป็นสิ่งที่คนยอมรับได้ยาก มักจะคิดว่าคนอื่นเขาทำให้เราทุกข์ เขาแกล้งเรา เขาด่าเรา เขาทิ้งเรา เขาเอาเปรียบเรา พอคิดแบบนี้จึงคิดว่าทางออกจากทุกข์คือไปจัดการกับคนเหล่านั้น ซึ่งดูเหมือนว่าง่ายกว่า แต่ที่จริงยาก
ข่าวร้ายคือเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรา แต่ข่าวดีคือว่าทางออกจากทุกข์ก็อยู่ที่ใจเราเหมือนกัน และการที่ทุกข์อยู่ที่ใจเราก็หมายความว่าการออกจากทุกข์อยู่ในอำนาจของเรา ถ้าทางออกจากทุกข์อยู่ที่คนอื่น ลําบาก เพราะยากที่เราจะไปจัดการเปลี่ยนแปลงใครได้ ระหว่าง การจัดการเปลี่ยนแปลงคนอื่น กับ การจัดการเปลี่ยนแปลงใจของเรา อย่างหลังง่ายกว่า
ฉะนั้น อันนี้ก็เป็นข่าวดี คือว่าเราเลือกได้ที่จะไม่ทุกข์หรือเราสามารถที่จะออกจากทุกข์ได้ด้วยการหันกลับมาที่ใจของเราแล้วจัดการที่ใจของเรา ถ้าความสุขหรือการออกจากทุกข์ของคนเราขึ้นอยู่กับข้างนอก อยู่ที่คนอื่น ทั้งชีวิตอาจจะไม่มีทางออกจากทุกข์ได้เลย เพราะว่าคนอื่นนั้นเขาไม่อยู่ในอำนาจของเรา รวมถึงสิ่งอื่นด้วย เช่น ดินฟ้าอากาศ ภาวะเศรษฐกิจ ค่าเงินบาท หรือว่าราคาของหุ้น พวกนี้ไม่อยู่ในอำนาจของเราเลย
แต่ถ้าหากว่าเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรา และทางออกจากทุกข์ก็อยู่ที่ใจเรา นั่นก็หมายความว่าเรามีโอกาสที่จะพ้นทุกข์ได้ถ้าเราหันมาจัดการที่ใจ
การที่เราจะมาจัดการที่ใจของเราต้องเริ่มต้นจากการที่เราเห็นตัวเอง บางครั้งแม้ครูบาอาจารย์จะชี้ แต่เราก็ยังไม่เห็น หรือบางทีก็ไม่มีครูบาอาจารย์ที่จะชี้ให้เราเห็นตัวเรา แต่สิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้นั่นก็คือการที่เราได้หันมาเฝ้ามองดูใจของเรา และบางครั้งการที่เราจะเห็นตัวเอง หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะต้องออกมา ออกมาดู ออกมาห่าง ๆ มาดูจากระยะไกล การออกมามองจากระยะไกลบางครั้งก็ทำให้เราเห็นตัวเราเองชัด
เมื่อประมาณสัก 55 ปีก่อน เป็นครั้งแรกที่มนุษย์เราขับเคลื่อนยานอวกาศไปถึงดวงจันทร์ ก่อนหน้านั้นเป็นยานอวกาศที่ไม่มีคน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ยานอวกาศมีคนอยู่ในยาน ยานนั้นชื่อ อพอลโล 8 (Apollo
เป็นครั้งแรกที่ยานที่มีมนุษย์จำนวน 3 คนไปถึงดวงจันทร์ แต่ไม่ได้ลงเหยียบดวงจันทร์ แค่วนรอบ
ในระหว่างที่วนรอบ เป็นครั้งแรกที่ทั้ง 3 คนได้เห็นภาพที่สวยงามมาก คือภาพโลกที่กําลังโผล่มาจากเงามืด และทั้ง 3 คนนี้ก็ได้ถ่ายภาพโลกที่กําลังโผล่ออกมาจากเงามืด เป็นภาพที่สวยงามมาก เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นโลกจากระยะไกลที่สวยงาม สีครามและมีสีขาวแซม คือ สีเมฆ
ภาพที่เผยแพร่ในเวลาต่อมาเหมือนกับภาพที่โลกกําลังโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นดวงจันทร์ซึ่งแห้งแล้ง สีเทา ไร้ชีวิตชีวา แต่โลกที่โผล่ขึ้นมาอยู่เหนือพื้นผิวดวงจันทร์สวยงามมาก ฉากหลังสีดำมืด แต่โลกนี่สว่างไสว สีครามแซมด้วยสีขาวของเมฆ
ภาพนี้ทำให้ผู้คนได้ตะลึงเลยว่าโลกของเรานี่สวยงามมาก และเป็นที่มาของกระบวนการสิ่งแวดล้อมที่เรียกร้องให้อนุรักษ์โลกใบนี้เอาไว้ เพราะตอนนั้นโลกเริ่มมีปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนบอกว่ามันคือภาพที่เปลี่ยนทัศนคติของคนทั้งโลกให้เห็นว่าโลกนี้งดงามจริง ๆ และนี่คือโลกใบเดียวที่เราทุกคนมีแม้เราจะทะเลาะเบาะแว้งกัน
คนที่ถ่ายภาพนี้ชื่อวิลเลียม แอนเดอร์ส (William Anders) หรือที่ผู้คนรู้จักเขาเรียกเขาว่า บิล พูดไว้ดีว่า "เราเดินทางมาถึงดวงจันทร์ และสิ่งสำคัญที่สุดที่เราได้ค้นพบก็คือโลก" ถ้าไม่เดินทางไกลถึงดวงจันทร์ก็ไม่เจอโลก ไม่รู้จักโลกที่แท้จริงว่าโลกนี้สวยงาม เป็นความจริงเลย เราจะรู้จักโลกของเราได้ บางครั้งต้องหมายถึงการเดินทางออกจากโลก แล้วเราถึงจะรู้จักโลกอย่างแท้จริง
เหมือนกับหลายคนที่ต้องออกจากวิถีชีวิตที่คุ้นเคยมาอยู่วัด เราถึงจะพบว่าชีวิตที่ขลุกอยู่ในเมืองเป็นชื่อที่ว้าวุ่น แต่ก่อนไม่เคยคิดเลยว่ามันจะว้าวุ่น เราอาจจะคิดว่ามีแต่ความสะดวกสบาย แต่ที่จริงแล้วเต็มไปด้วยความรุ่มร้อน ไม่เคยรู้ว่าเป็นอย่างนี้จนกระทั่งออกมาอยู่ที่วัด การที่เราออกมาจากชีวิตที่เราคุ้นเคย จากสิ่งแวดล้อมที่เราคุ้นเคยช่วยทำให้เราได้เห็นวิถีชีวิตดังกล่าวหรือสิ่งแวดล้อมดังกล่าวชัดเจนขึ้น
หลายคนมีปัญหากลุ้มใจ เครียด ไม่ว่าเรื่องงานเรื่องการ เรื่องครอบครัว แต่พอได้ออกมาไกล ๆ อย่างนี้แล้วมองย้อนกลับไป ก็พบว่าปัญหาไม่ใหญ่โตอย่างที่คิดเลย เคยคิดว่าเป็นเรื่องความเป็นความตาย แต่ปรากฏว่าพอออกมาดูไกล ๆ เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมากเลยแล้วแก้ได้ไม่ยาก ด้วยการตัดใจ แต่ว่าตอนที่ขลุกอยู่กับปัญหานี้มันเป็นเรื่องใหญ่มากเลย จนคิดว่านี่ฉันต้องตายแน่ถ้าหากปัญหานี้ยังคาราคาซังอยู่ แต่พอถอยมาดูไกล ๆ กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ปล่อยวางได้
ไม่ใช่แค่สิ่งภายนอก ความคิดและอารมณ์ก็เหมือนกัน ตอนที่เราขลุกอยู่ในความคิด อยู่ในอารมณ์ โอ้ มันเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตมาก เวลามีความคิดเรื่องใด เวลาอยู่ในอารมณ์ใด เรื่องใหญ่เรื่องโตมาก แต่พอเราถอยออกมาจากอารมณ์เหล่านั้น มาเป็นผู้ดู ปรากฏว่าความคิดที่เคยเอาเป็นเอาตายไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตเลย
แต่ก่อนเถียงกันแบบเอาเป็นเอาตายเพื่อปกป้องความคิดใดความคิดหนึ่ง พอออกมาดูความคิดนั้นก็รู้ว่าไม่มีอะไรเลย แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทําไมตอนนั้นเราไปเป็นบ้าเป็นหลัง เอาเป็นเอาตายกับการปกป้องความคิด
หรือตอนจมอยู่ในอารมณ์ ขลุกอยู่ในอารมณ์ก็ถูกอารมณ์ปั่นหัวจนกระทั่งต้องทำตามอำนาจของมัน แต่พอถอยออกมาจากอารมณ์นั้นก็พบว่าไม่มีอะไรเลย ไม่มีค่าควรแก่การใส่ใจด้วยซ้ำ และพบว่ามันไม่ได้มีอำนาจเหนือใจเราขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเศร้า พอเราถอยออกมาดู มันหมดพิษสงไปเลย กลายเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
แต่ตอนที่เข้าไปขลุกอยู่ในอารมณ์ มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก เวลาโกรธถึงกับโวยวายว่า ถ้ากูไม่ด่ามัน กูไม่ได้ทำร้ายมัน เป็นหมาดีกว่า แต่พอถอยออกมาจากอารมณ์เหล่านั้น โอ้ หัวเราะเยาะมันได้เลย มันทำอะไรเราไม่ได้
การถอยออกมาทำให้เราเห็น เห็นอย่างที่มันเป็น และเห็นว่ามันไม่ใช่เราด้วย แต่ก่อนไปคิดว่า มันเป็นเรา ๆ ๆ ความคิดก็เป็นเรา อารมณ์ก็เรา แต่ที่จริงมันไม่ใช่เราเลย พอเห็นความจริงว่ามันไม่ใช่เรา มันหมดพิษสงไปเลย ความคิดและอารมณ์นั้นไม่ว่าจะเป็นความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหงุดหงิด
การเจริญสติ ก็คือ การทำให้ใจถอยออกมาเป็นผู้ดูผู้เห็น ไม่ใช่ผู้เป็น บางครั้งการที่เราจะรู้จักอะไรดี ต้องอาศัยการถอยออกมา แล้วเราจะพบว่า ความทุกข์ที่เราเคยเอาเป็นเอาตายที่จริงมันไม่มีอะไรเลย และการที่เราถอยมาทำให้เราได้เห็นสิ่งที่มีค่าที่มีอยู่แล้วในใจของเราด้วยก็ได้.