พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 14 มิถุนายน 2567
เมื่อเช้าที่วัดป่าสุคะโตเราได้ฟังเสียงธรรมของหลวงพ่อคำเขียน ตอนหนึ่งท่านพูดถึงพ่อเฒ่าท่านหนึ่งอายุ 70 มาปฏิบัติธรรมที่วัด เข้าใจว่าเป็นวัดโมกข์ ขอนแก่น เป็นช่วงเดียวกับที่หลวงพ่อคำเขียนก็อยู่ที่นั่น พ่อเฒ่าแกตื่นขึ้นมาตี 3 มายกมือสร้างจังหวะ แต่ว่ายกมือไปไม่รู้นานเท่าไหร่ ปรากฏว่ามือนี้ติดอยู่ที่อก ขยับไม่ได้ พอจะไปทำวัตรเช้าก็ไม่ได้ไป
จนรุ่งเช้าได้เวลากินอาหาร แกก็ไม่มาตักอาหาร หลวงพ่อคำเขียนสังเกตว่าแกหายไป ก็เลยไปที่กุฏิของแก พอเรียกชื่อแกเท่านั้นแหละ แกก็ตะโกนออกมาเลย “หลวงพ่อช่วยผมด้วย ช่วยผมด้วย”
หลวงพ่อไปดูก็พบว่าแขนแกติดอยู่ที่หน้าอก เราลองนับดูกี่ชั่วโมง ตั้งแต่ตี 3 - 8 โมงเช้าก็ร่วม 4-5 ชั่วโมง ขยับไม่ได้เลย หลวงพ่อเห็นก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เลยชวนคุย ไม่ได้คุยเรื่องปฏิบัติ คุยเรื่องอื่น เรื่องครอบครัว ถามว่ามีลูกกี่คน ? 3 คนครับ ลูกตอนนี้อยู่ไหนกันบ้าง ? แกก็จาระไนไป แล้วหลานล่ะมีกี่คน ? 3 คนครับ หลานอยู่กับใครบ้าง ? อายุเท่าไหร่ ?
คุยไปคุยมา หลวงพ่อก็ซักว่าจริง ๆ หลานมี 4 คนไม่ใช่เหรอ หลวงพ่อรู้จักบ้านโยมคนนี้อยู่แล้ว แกก็เถียงว่าไม่ใช่ หลานมี 3 คนครับ แล้วก็ลำดับว่ามีใครบ้าง หลวงพ่อก็แย้งว่าไม่จริงหรอก มี 4 คนมากกว่า แกก็ไม่ยอม ยังยืนกรานว่ามี 3 ไม่ใช่ 4 ปรากฏว่าคุยกันสักพัก มือแกที่ติดอยู่ที่หน้าอกก็ตกลงมาเลย แกก็ยังไม่รู้ตัว จนหลวงพ่อต้องชี้ว่ามือตอนนี้ตกแล้วนะ โอ แกดีใจมาก
ที่มือเป็นอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะว่าแกปฏิบัติเอาจริงเอาจังมาก เรียกว่าเพ่ง อยากจะรู้สึกตัวชัด ๆ ก็เลยเพ่งที่มือ ที่แขน เวลายกมือก็ใช้จิตจี้ไปเรื่อย ๆ พอจิตมันแว๊บไปก็ไม่ยอม ต้องดึงกลับมา พยายามห้ามคิด ไม่ให้คิด มันก็เลยเครียด พอเครียดก็เลยเกิดอาการทางกายขึ้นมา
อันนี้เรียกว่าจิตเพ่งเข้าใน ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักปฏิบัติหลายคนมาก บางคนก็เบาหน่อยนะ ปวดหัว แน่นหน้าอก แต่บางคนก็มือสั่น แม้จะเลิกปฏิบัติไปแล้วมือก็ยังสั่นอยู่นั่นแหละ เพราะว่ายังจ้องอยู่นั่นแหละ เป็นพวกที่เคร่งครัดกับการปฏิบัติ หรือว่าง ๆ ก็ต้องปฏิบัติ แต่ปฏิบัติผิด ไปเพ่ง มือเลยสั่น ทำอะไรก็ลำบาก เขาเป็นหมอ แล้วเป็นหมอผ่าตัดด้วย แย่เลย
สิ่งที่หลวงพ่อทำคืออะไร ทำโดยการชวนให้โยมคนนี้ส่งจิตออกนอก จากจิตที่เพ่งเข้าในมากเกินไป ก็ดึงออกไปรับรู้เรื่องภายนอก ปกติการส่งจิตออกนอกนั้นไม่ดี แต่ว่าสำหรับบางกรณีมีประโยชน์ เพราะว่าถ้าเพ่งเข้าในมาก ๆ มันก็มีวิธีเดียว ดึงจิตออกมาไปรับรู้สิ่งอื่นแทน ไปรับรู้กับเรื่องครอบครัว แล้วยิ่งมีการโต้เถียงกัน จิตก็จะหยุดเพ่ง แล้วก็ไปอยู่กับการพูดคุย โต้เถียง ชี้แจง ตอนนี้แหละที่จิตคลาย มือก็เลยตก
กายของคนเราไม่ว่าแขนหรือขา รวมทั้งส่วนอื่นด้วย มันสัมพันธ์กับเรื่องของจิตใจ ใจที่เครียดก็มีผลต่อร่างกาย นี่ยังดี อาการที่เกิดขึ้นกับผู้เฒ่าท่านนี้แค่ชั่วคราว บางคนอาการที่เกิดขึ้นยืดเยื้อเรื้อรังเป็นปี ๆ จนบางคนต้องบอกให้เลิกปฏิบัติไปเลย เพราะปฏิบัติทีไรก็จะไปเพ่งทุกที แต่พอให้เลิกปฏิบัติก็เลิกได้ยากเพราะว่ามันเป็นนิสัย ก็ต้องใช้วิธีงัดแงะจิตออกมาจากการเพ่ง แต่บางรายอาการทางกายหนักกว่านี้ แล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติเลย ก็มีเยอะ
ในอังกฤษ เขาประมาณว่า 1 ใน 3 ที่ไปหาหมอ หมอประจำบ้าน หรือประจำครอบครัว หรือหมออายุรเวช 1 ใน 3 เลยมีอาการทางกายที่หาสาเหตุความผิดปกติทางกายไม่เจอ อาการก็หนัก เช่น ปวดเรื้อรัง ตาบอด หรือว่าเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ยกแขนไม่ขึ้น หรือว่าพิกลพิการทั้งตัว
มันก็น่าแปลก คนที่ตาบอดนี้ปรากฏว่าประสาทตาปกติ เลนส์ตาก็ปกติ แต่ทำไมตาบอดมองไม่เห็น คนที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ยกแขนไม่ขึ้น แขนก็ปกติ เส้นประสาทก็ไม่มีปัญหา แต่ทำไมยกแขนไม่ขึ้น หมดเรี่ยวหมดแรง บางคนก็ชัก
พวกนี้สุดท้ายมันก็ไปลงที่ใจ โดยเฉพาะความเครียด ซึ่งมันก็เครียดด้วยหลายสาเหตุ บางทีเจ้าตัวไม่รู้ว่าสาเหตุคืออะไร มีผู้ชายคนหนึ่งเป็นวัยรุ่น อยู่ ๆ แขนก็ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง แขนขวายกไม่ขึ้น แล้วไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร ไปหาหมอ หมอก็ไม่รู้สาเหตุเพราะว่าร่างกายก็ปกติ เป็นอย่างนี้อยู่หลายเดือน
แล้ววันหนึ่งก็มีคนแนะนำให้ไปหาจิตแพทย์ หมอคนนี้แกก็เก่ง ก็ชวนคุย ไล่ซักไล่ถามเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว จนกระทั่งเรื่องบางเรื่องที่ชายหนุ่มคนนี้ลืมไปแล้ว ค่อย ๆ โผล่ขึ้นมา สรุปก็คือว่าก่อนที่จะเกิดอาการแขนไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ทะเลาะกับพ่อ พ่อด่าว่าเขา กล่าวหาเขาต่าง ๆ นานา บางทีก็ลามปามมาถึงแม่ที่เขารัก
เขาโกรธมาก อยากจะตบอยากจะต่อยพ่อ แต่ห้ามใจเอาไว้ เลยไม่ได้มีเรื่องที่ลุกลามบานปลาย แต่ว่ามันก็มีผลทำให้แขนข้างที่อยากจะต่อยพ่อเดี้ยงไปเลย ตอนที่คุยกับหมอ หมอเขาก็ทำให้ผู้ชายคนนั้นตระหนักว่าตัวเองยอมรับไม่ได้ที่มีความโกรธพ่อ คนดีเขาไม่โกรธพ่อ ไม่คิดจะทำร้ายพ่อ
จะเรียกว่าความรู้สึกใฝ่ดีก็ได้ ก็เลยพยายามกดข่มความโกรธนี้เอาไว้ รวมทั้งกดข่มเหตุการณ์ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะยอมรับไม่ได้ที่ตัวเองเนรคุณพ่อ จะต่อยพ่อ กดความโกรธเอาไว้ กดลบความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นเอาไว้ แต่ที่จริงไม่ได้ลบ เพียงแต่กดให้มันไปอยู่ในจิตส่วนล่างที่เขาเรียก ‘จิตไร้สำนึก’
แต่ว่าลึก ๆ ก็ยังมีความรู้สึกผิดที่ตัวเองคิดจะต่อยพ่อ มันก็เลยลงโทษตัวเอง ความรู้สึกผิดที่ทำให้อยากจะลงโทษตัวเองก็เลยมาลงกับแขนข้างที่จะต่อยพ่อ จิตไร้สำนึกนี้นำไปสู่การลงโทษแขนข้างนั้น มันเป็นการลงโทษตัวเองเพื่อจะให้รู้สึกสาสม แต่ทั้งหมดนี้ชายคนนั้นลืมไปเลยเพราะว่ามันไปอยู่ในจิตไร้สำนึกแล้ว
สิ่งที่หมอทำคือขุดมันออกมา ตอนที่เรื่องราวนี้โผล่ขึ้นมาในความทรงจำ ในการรับรู้ของชายคนนั้น เขาร้องห่มร้องไห้ รู้สึกแย่ แล้วมีความโกรธระบายออกมาด้วย เหมือนกับว่าความโกรธที่มันอัดอั้นทะลักทลายออกมา ทั้งความโกรธ ทั้งความรู้สึกผิด ทั้งความรู้สึกอยากจะทำร้ายตัวเอง มันโผล่มา แล้วเขาก็ร้องห่มร้องไห้ ไม่คิดว่าตัวเองเลวขนาดนี้ แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือว่า แขนกลับมาเป็นปกติ
อันนี้เป็นเพราะว่าการกดข่มอารมณ์ เช่น ความโกรธ แม้ดูเหมือนว่ามันจะกดข่มได้สำเร็จ รวมทั้งความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ แต่ว่ามันไม่ได้ไปไหน ความโกรธก็ดี ความรู้สึกผิดก็ดี มันก็ออกไปเล่นงานร่างกายเพื่อชดเชยความรู้สึกผิด ลงโทษแขนข้างที่อยากจะต่อยพ่อ จิตคนเรานี้มันซับซ้อนนะ มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่ในจิตใจเราโดยที่เราไม่รู้ก็มี
เมื่อร้อยปีก่อน มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นชาวอเมริกัน อายุก็แค่ 20 เธอชื่อแพท อยู่ๆ แขนซ้ายเป็นอัมพาตเดี้ยง ยกไม่ขึ้น ไปหาหมอกี่คน ๆ ก็ไม่ช่วยอะไร แถมปวดหัวเรื้อรัง จนกระทั่งมีคนแนะนำให้ไปหาหมอคนหนึ่งเป็นจิตแพทย์นักจิตบำบัด
หมอก็ถามประวัติ แกก็เล่าอาการนี้มันเกิดขึ้นหลังจากที่พี่สาวชื่อแม่รี่ที่เธอรักที่เธอสนิทเสียชีวิตเพราะเป็นไข้หวัด สมัยก่อนนั้นถึงตายได้ แล้วก็มีการจัดงานศพ หลังจากงานศพเธอก็ทำหน้าที่เขียนจดหมายขอบคุณคนที่มาแสดงความเสียใจ เธอเขียนด้วยมือซ้าย แล้วเธออ้างว่าเขียนจดหมายหลายฉบับมากเป็นร้อยเลย หลังจากวันนั้นมือก็เลยเดี้ยงไม่มีแรง แต่หมอไม่เชื่อ
สิ่งที่หมอทำ อาจจะไม่เหมือนใคร หมอเอามือสัมผัสที่ศีรษะเขาเบา ๆ ก่อนหน้านั้น ชวนให้แพทเขารู้สึกผ่อนคลาย พอผ่อนคลายแล้ว หมอก็ถามว่าเห็นอะไรบ้าง หมายถึงมีความทรงจำอะไรบ้างผุดขึ้นมา เขาบอก “เห็นมือพี่สาว” มือพี่สาวที่ไหน? “ในโลงศพ” มือซ้ายใช่ไหม? แพทก็บอกว่า “ใช่” แล้วมือซ้ายมันมีอะไรบ้าง เห็นอะไรบ้าง? “มือซ้ายนี่เห็นแหวนทองแหวนแต่งงาน”
เห็นแล้วเธอรู้สึกยังไง? “เสียดายที่จะฝังพี่สาวไปพร้อมกับแหวน มันสูญเปล่ามากเลย” หมอก็เลยบอกว่าเรื่องนี้ไม่น่าอับอายหรอก แสดงว่าเธอก็มีคุณธรรมนะ มันไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอายอะไร
แพทก็พูดเสียงดังเลย “ไม่ใช่ ๆ หมอไม่เข้าใจ” น้ำเสียงก็เริ่มสั่นเครือ “ฉันอยากได้แหวนวงนั้น ฉันอยากสวมแหวนวงนั้น” แล้วก็พูดว่า “ฉันอยากจะให้พี่เขยแต่งงานกับฉัน” พี่เขยชื่อแบรดลีย์ เธอก็ละล่ำละลัก สุดท้ายก็ร้องไห้โฮออกมา “ฉันดีใจที่พี่สาวตาย เพราะว่าทำให้ฉันมีโอกาสที่จะได้แต่งงานกับแบรดลีย์”
มันเป็นภาพความทรงจำที่เธอลืมไปแล้วเพราะกดมันเอาไว้ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีในความรู้สึกของเธอ ระหว่างที่เธอร้องห่มร้องไห้นี้ เธอก็เอามือมาเช็ดน้ำตา หมอก็บอกว่า “มือที่เธอเช็ดน้ำตานี้มือซ้ายนะ” แปลว่าอะไร มือซ้ายหายแล้ว กลับมาเป็นปกติแล้ว
มือของเธอมาเป็นปกติเมื่อเธอได้ตระหนักว่า เธอได้กดข่มอารมณ์บางอย่างเอาไว้ นั่นคืออารมณ์ความรัก ความอยากได้พี่เขยมาเป็นคู่ครอง ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่แย่ในความรู้สึกของเธอ จะไปแย่งสามีของพี่สาวมาได้ยังไง มันเป็นความรักต้องห้าม ความปรารถนาที่เลวมากในความรู้สึกของเธอ ฉะนั้นเธอจึงกดข่มความอิจฉาเอาไว้ อิจฉาที่พี่สาวได้แต่งงานกับแบรดลีย์
เธอรู้สึกว่าความอิจฉานี้มันไม่ดี พี่สาวก็ดีกับเธอมาก แล้วทำไมไปอิจฉาพี่สาว เพราะคุณธรรมที่ถูกสอนมาทำให้เธอรู้สึกว่าเธอแย่มากที่มีความรู้สึกแบบนี้ แล้วที่ร้ายกว่านั้นคือ ความคิดอกุศล ดีใจที่พี่สาวตาย จะได้เปิดทางให้ตัวเองได้มีโอกาสแต่งงานกับพี่เขยคือแบรดลีย์ มันเป็นความรู้สึกที่เลวร้ายมากในความเข้าใจของเธอ แล้วเธอยอมรับไม่ได้ที่มีความรู้สึกแบบนี้ คนดีเขาไม่ทำกัน น้องไม่ควรจะคิดแบบนี้กับพี่ ก็เลยกดข่มเอาไว้ แต่มันไม่ได้ไปไหน มันไปออกที่แขนซ้ายของเธอ
ทำไมไปออกที่แขนซ้าย ก็เพราะว่าแขนซ้ายมันเป็นสิ่งที่ทิ่มแทงจิตใจเธอ แขนซ้ายไม่มีแหวนแต่งงานคือยังโสด เป็นเรื่องที่น่าอับอายสำหรับผู้หญิง ค่านิยมสมัยนั้นคิดว่าอายุประมาณนี้ไม่ควรเป็นโสด ในเมื่อยังเป็นโสด ไม่มีแหวนแต่งงาน มันเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก ไม่อยากเห็นแขนซ้ายหรือมือซ้ายนี้เลย
มันไม่ใช่ไม่อยากเห็น มันอยากจะลงโทษด้วย เพราะว่าอยากจะได้แหวนแต่งงานของแบรดลีย์มาสวมใส่แทน คือว่ามือซ้ายนี่มันอาจเอื้อม อยากจะได้แหวนแต่งงานของพี่เขยมาสวมใส่ มันเป็นความคิดที่เลวร้ายมาก ก็เลยอยากจะลงโทษแขนนี่แหละ จิตไร้สำนึกก็เลยทำให้แขนนี้เดี้ยงไปเลย เป็นการลงโทษ ลงโทษเพราะยอมรับไม่ได้ที่มีความรู้สึกแบบนี้
แต่ว่าพอความทรงจำที่มันกดเอาไว้พรั่งพรูออกมา อารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เคยกดเอาไว้อยู่ในจิตไร้สำนึก มันโผล่ออกมาสู่ความรับรู้ แรงที่มันกดทำให้แขนเดี้ยง มันก็เลยหายไป แขนก็เลยเป็นปกติ
ที่จริงเธอยังมีความปรารถนาอย่างหนึ่งคือว่า ถ้าได้แต่งงานกับพี่เขยหลังจากที่พี่สาวตาย ก็จะได้ดูแลลูกเขา 2 คนที่ยังเล็ก แต่ว่าพอความรู้สึกผิดที่ว่านี้อาจเอื้อมจะไปแย่งผัวจากพี่สาวก็เลยทำให้แขนซ้ายเดี้ยง พอแขนซ้ายเดี้ยงก็ไม่สามารถดูแลลูกเขา 2 คนได้ ก็เป็นอันเลิกได้เลยกับความคิดที่จะแต่งงานกับพี่เขย
มันก็เป็นการลงโทษตัวเองอีกแบบหนึ่ง ลงโทษหรือว่าตัดหนทางที่จะไปแต่งงานกับพี่เขย เพราะว่าไม่สามารถจะดูแลลูก 2 คนนั้นได้ มันเป็นเหตุผลของจิต มันไม่ได้อยู่ในการรับรู้ของเขา แต่ว่ามันทำงานอยู่ข้างหลังลึก ๆ
เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ การไปกดข่มมันเอาไว้นี้ มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย อาจดูเหมือนทำให้สบายใจว่า ที่เคยโกรธก็หายโกรธ ที่เคยโกรธพ่อก็หายโกรธพ่อ หรือที่เคยอยากจะได้พี่เขยมาเป็นผัว มันก็ถูกกดให้ลืมให้หายไป แต่จริง ๆ ไม่ได้ลืม มันออกไปทางอื่น ออกไปด้วยการไปเล่นงานร่างกาย เช่น แขนหรือขา
จะดีกว่าถ้าเกิดว่ามันมีความรู้สึกหรืออารมณ์ใดเกิดขึ้นก็แค่รับรู้มัน อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนท่านบอกว่าให้รู้ซื่อ ๆ คืออันนี้แหละที่เคยพูดว่านักปฏิบัติเราต้องเป็นผู้ใฝ่รู้ รู้ในที่นี้คือรู้แบบรู้ซื่อ ๆ รู้โดยไม่ตัดสินว่า ดีหรือชั่ว เพราะถ้าตัดสินว่ามันชั่วก็จะเผลอกดข่มมันเอาไว้ อย่างที่เกิดขึ้นกับ 2 ตัวอย่างหลัง
แต่ถ้ารู้โดยที่ไม่ต้องไปตัดสินว่าดีหรือชั่ว ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ แค่รู้ซื่อ ๆ มันโกรธก็รู้ว่าโกรธ มันอิจฉาก็รู้ว่าอิจฉา มันอยากได้หรือมีจิตปฏิพัทธ์กับสามีของพี่สาวก็รู้ ทำตามมันก็ไม่ได้ เกิดข้อเสีย เกิดปัญหาตามมา แต่ถ้าไปกดข่มมันเอาไว้ก็มีปัญหา การรู้ซื่อ ๆ นี้มันช่วยได้เยอะทีเดียว
แล้วทุกวันนี้คนจำนวนมากมีความทุกข์เพราะกดข่มความคิดที่ไม่ดี ที่มันไม่ควรจะเกิดในใจของตัว อาจจะไม่ใช่โกรธ หรือว่ามีราคะ หรืออิจฉา แต่อาจจะรู้สึกไม่ดีที่มีเสียงจ้วงจาบครูบาอาจารย์ มีเสียงต่อว่าพ่อแม่ ผู้มีพระคุณ หรือบางทีก็จ้วงจาบพระพุทธเจ้า พยายามกดข่มมันเอาไว้ ไม่สำเร็จสักราย แล้วก็ไม่มีความสุขด้วย จนกว่าจะยอมรับว่า มันมีความคิดแบบนี้ ไม่ปฏิเสธ ไม่ผลักไส แต่ก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรา
พอไปคิดว่ามันเป็นเราเมื่อไหร่ เสร็จเลย มันจะรู้สึกแย่กับตัวเอง แต่ถ้ามองว่ามันไม่ใช่เรา มันเป็นเรื่องที่คิดขึ้นได้ ความคิดที่เลวร้าย หรือ ความคิดแบบอุบาทว์ มันไม่ใช่เรา ที่จริงถ้ามีสติรู้ซื่อ ๆ มันก็ไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าเป็นความคิดอุบาทว์ มันก็แค่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา แล้วก็จะผ่านเลยไป.