พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 1 มิถุนายน 2567
เมื่อสองสามวันก่อนมีเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นอุทาหรณ์สอนใจที่ดีมากสำหรับคนสนใจธรรมะ หรือเรียกว่าผู้ใฝ่ธรรม ชายคนหนึ่งชอบบรรยายธรรมะ พูดเรื่องธรรมะทาง Facebook Live พูดเรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องการทำความดี ก็บรรยายธรรมทาง Facebook Live เป็นประจำ แล้ววันนั้นขณะที่แกกำลังบรรยายธรรมะอยู่ พอมีเสียงเครื่องตัดหญ้าดังมาจากบ้านที่ติดกัน ไม่พอใจ แกไม่พอใจก็ยุติการบรรยายธรรม
แล้วแกก็ไปบ้านที่ติดกัน ต่อว่าคนที่กำลังตัดหญ้าอยู่ เกิดการโต้เถียงกันอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเจ้าของบ้านมาถึงก็เลยเลิกทะเลาะกัน ต่างก็แยกย้ายกันไป
ชายที่ตัดหญ้าเป็นคนที่รับจ้างมาตัดหญ้า พอเงียบสักพัก ชายคนนั้นก็คงจะไปบรรยายทาง Facebook Live ต่อ ปรากฏว่าบรรยายไม่เท่าไหร่เสียงเครื่องตัดหญ้าก็ดัง โมโหมาก คราวนี้ ปีนข้ามรั้วเลย ไปบ้านตรงข้ามพร้อมกับถือจอบติดมือไปด้วย ก็คงมีมีดด้วย ไปทำไม ก็ไปทำร้ายคนที่กำลังตัดหญ้าอยู่ เอาจอบฟาดเอามีดแทงจนตายเลย
เรื่องนี้ก็เป็นอุทาหรณ์ว่า คนที่สนใจธรรมะบรรยายธรรมะไม่ได้แปลว่าจะมีคุณธรรมเหนือคนอื่น หรือมากกว่าคนอื่น คนที่สนใจธรรมะหลายคนเข้าใจว่าตัวเองมีคุณธรรมสูงกว่าคนอื่น เป็นคนดี หรืออาจจะรู้สึกว่าดีกว่าคนอื่นเพราะว่าฉันสนใจธรรมะ ฉันรู้เรื่องบุญเรื่องบาป แต่มันก็ไม่แน่เสมอไป เพราะว่าอาจจะมีคุณธรรมด้อยกว่าคนทั่วไปก็ได้
แล้วเรื่องนี้มันก็น่าสนใจในอีกประเด็นหนึ่งที่ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ที่ลงเอยด้วยการฆ่าคนตายมีจุดเริ่มต้นมาจากการบรรยายธรรม ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะว่ากินเหล้ากัน สนุกสนานแล้วก็เกิดอาการลืมตัว ทะเลาะวิวาทกันจนฆ่ากันตาย จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นี้ก็คือการแสดงธรรม บรรยายธรรม ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดมากว่าทำไมการบรรยายธรรมสุดท้ายมันพาไปสู่การทำร้ายถึงตาย ทั้งที่มันเป็นคนละเรื่องกันหรือตรงข้ามกันเลยก็ว่าได้
ชายคนนั้นตอนที่โกรธอย่างแรง โกรธจนกระทั่งคิดจะไปทำร้ายคนที่ตัดหญ้า ตอนที่โกรธก็เกิดขึ้นระหว่างที่กำลังแสดงธรรมเสียด้วย ไม่ใช่โกรธขณะที่กำลังกินเหล้า กำลังเฮฮา แต่ว่าเกิดขณะที่กำลังแสดงธรรม ก็เท่ากับบอกว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม แม้จะทำสิ่งที่ดี ๆ เช่น การแสดงธรรม ก็อาจจะลงเอยอย่างที่เรานึกไม่ถึงก็ได้
เรื่องนี้มันสอนใจเราหลาย ๆ อย่าง ทำไมคนที่สนใจธรรมะ สอนให้คนรู้จักบาปบุญคุณโทษจึงลงเอยด้วยการเป็นฆาตกรเสียเอง มันแสดงว่าสอนคนอื่นแต่ว่าลืมสอนตัวเอง แล้วคนแบบนี้มีเยอะ คิดแต่จะสอนคนอื่นแต่ว่าลืมสอนตัวเอง
คำถามที่น่าสนใจคือว่า อะไรทำให้ชายคนนี้ลงมือทำร้ายผู้อื่น จนตายคามือเลย ก็ต้องตอบว่าเป็นเพราะโกรธจนขาดสติ ความขาดสติถ้าเกิดขึ้นแล้วก็สามารถจะทำให้เกิดอะไรก็ได้ สอนธรรมะมาเยอะแต่ว่าพอถึงเหตุการณ์ทำนองนี้ก็ลืม ลืมคำสอนของพระพุทธเจ้า ลืมคำสอนของครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้าก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ดี สอนว่าให้รู้จักระงับความโกรธ หรือว่าอย่าทำร้ายผู้อื่น โดยเฉพาะศีลข้อที่ 1 มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
แต่ทั้ง ๆ ที่รู้เพราะสามารถสอนคนอื่นได้ แต่ทำไมกลับทำเสียเอง ก็เพราะลืม ลืมคำสอนของครูบาอาจารย์ ลืมธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้แสดง รวมทั้งลืมไปด้วยว่าตัวเองพูดอะไรไป สอนอะไรใคร สอนอะไรคนอื่น คนเราเวลาพูดเวลาสอนถึงเวลาโกรธ มันลืมหมดว่าเคยพูดอะไร เคยสอนอะไรใคร อันนี้เราก็เห็นบ่อย ๆ พ่อแม่เวลาลืมตัวก็โกรธจนลืมตัวอาจจะทำร้ายลูกหรือด่าว่าลูก ที่เคยสอนลูกว่า อย่าโกรธนะ โกรธคือโง่โมโหคือบ้า นี่ลืมหมด
นอกจากลืมคำสอนของครูบาอาจารย์หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า ยังลืมว่าตัวเองเคยพูดอะไรไป สิ่งสำคัญคือลืมตัว พอลืมตัวก็เลยเผลอทำในสิ่งที่ตัวเองอาจจะเคยประณามคนอื่น การลืมตัวหรือขาดสติเป็นเรื่องใหญ่มาก สำคัญมาก รู้มากรู้เยอะแต่ถ้าเกิดว่าลืมตัวขาดสติก็สามารถจะทำสิ่งที่เลวร้ายได้มากมาย โดยเฉพาะเมื่อถูกความโกรธครอบงำ
ถามว่าทำไมถึงโกรธมาก ก็เพราะเห็นหรือรับรู้การกระทำที่ไม่ถูกต้อง คนตัดหญ้าส่งเสียงดัง รบกวนเพื่อนบ้าน แถมมารบกวนขณะที่เพื่อนบ้านกำลังแสดงธรรม บรรยายธรรมด้วย “นี่ ! มันไม่ถูกต้องอย่างแรง” ในความรู้สึกของชายคนนั้น
คนเรามีความยึดมั่นถือมั่นแตกต่างกัน บางคนก็ยึดมั่นให้ค่ากับเรื่องเงินทอง ใครมีเงินมากกว่า ใครรวยมากกว่า ก็อิจฉาเขา หรือว่าถ้าตัวเองมีน้อยกว่า ก็รู้สึกด้อย เห็นใครเขามีกันก็อยากจะมีบ้าง บางทีถึงกับคอรัปชั่น ทุจริต เพื่อให้ได้มีเงินเยอะ ๆ นั่นก็พวกหนึ่ง
ส่วนอีกพวกหนึ่งก็ยึดมั่นถือมั่นให้ค่ากับความเด่นความดัง เห็นใครเด่นใครดัง ก็อิจฉา หรือว่าอยากจะดัง มีชื่อเสียงแบบคนอื่นบ้าง ก็ตะเกียกตะกาย แต่ถ้าเกิดว่าถูกข่มรัศมี ไม่มีใครเห็นความสำคัญของตัวเอง ก็โกรธ โกรธที่ถูกทักท้วง โกรธที่ถูกตำหนิ โกรธที่คนอื่นไม่เห็นค่า ไม่ให้ความสำคัญ นี่ก็พวกหนึ่ง เป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องชื่อเสียง หน้าตา ภาพลักษณ์ ตัวตน
แล้วก็มีคนอีกประเภทหนึ่งที่ยึดมั่นถือมั่นกับความถูกต้อง เจอความไม่ถูกต้องก็จะรู้สึกไม่พอใจ เขาอาจจะไม่ให้ค่ากับเรื่องเงินทอง เรื่องชื่อเสียง แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องความไม่ถูกต้องนี่จะไม่พอใจมาก โกรธได้ง่ายเมื่อเจอความไม่ถูกต้อง คนที่สนใจธรรมะหรือนักปฏิบัติธรรมก็จัดอยู่ในประเภทนี้ ไม่สนใจเรื่องเงินทอง ไม่สนใจเรื่องลาภยศ แต่ว่าอ่อนไหวมากกับเรื่องความไม่ถูกต้อง เวลาเจอความไม่ถูกต้องก็จะเกิดความไม่พอใจ เกิดความโกรธ พอเกิดความโกรธแล้วก็สามารถจะทำอะไรก็ได้
เคยพูดอยู่เสมอว่า เวลาเราเจออะไรไม่ถูกต้องนี่ ต้องระวังรักษาใจ อย่าเผลอทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องไปด้วย คนเราโดยเฉพาะคนที่สนใจธรรมะ สนใจความถูกต้อง เวลาเจอความไม่ถูกต้องขึ้นมามันจะโกรธ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะไปจัดการกับคนที่ทำอะไรไม่ถูกต้อง อย่างที่เคยเล่า มีเด็กหญิงมาบวชเป็นศีลจาริณี ไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่รู้เรื่องธรรมเนียมประเพณี มารยาท ยืนกินน้ำ บังเอิญแม่ชีผ่านมาเห็น โกรธมาก ศีลจาริณีอะไรยืนกินน้ำในวัด แทนที่จะนั่งลงดื่มน้ำ พอเห็นความไม่ถูกต้องเกิดขึ้นก็โมโห เลยเดินทุบหลังศีลจาริณีดังปักเลย
ระหว่างการยืนกินน้ำกับการไปทุบหลัง อะไรที่มันแย่กว่ากัน อะไรที่มันไม่ถูกต้องกว่ากัน ยืนกินน้ำก็ไม่ได้เสียหายอะไรมาก แต่ไปทุบหลังเขานี่ มันแย่กว่า แต่ก็ทำไปเพราะอะไร คนที่ไปทุบหลังบอกว่าเห็นความไม่ถูกต้องต่อหน้าต่อตา คนเราที่รักหรือยึดมั่นในความถูกต้องก็มักจะเผลอทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องยิ่งกว่า เพราะไปยึดมั่นกับความถูกต้องมาก จนลืมดูใจหรือรักษาใจให้อยู่ในความถูกต้อง
ฉะนั้นเวลาเราเจอความไม่ถูกต้อง อย่างแรกที่เราต้องทำคือ การรักษาใจให้ถูกต้อง ไม่ใช่ไปจัดการคนที่ทำอะไรไม่ถูกต้อง
แต่ส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้นพอเจอความไม่ถูกต้อง คนที่ยึดมั่นในความถูกต้องจะไม่พอใจมาก ซึ่งก็มักจะเป็นธรรมชาติของคนที่สนใจธรรมะ เพราะถูกฝึกมาให้รักษาความถูกต้อง ให้อยู่ในความถูกต้อง พอเห็นความไม่ถูกต้องเกิดขึ้นก็อดรนทนไม่ได้ โกรธ เข้าไปจัดการกับคนที่ทำตัวไม่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดความถูกต้องขึ้นมา แต่เนื่องจากถูกความโกรธครอบงำ สิ่งที่ทำไปเลยสร้างความไม่ถูกต้องขึ้นมา
ก็เหมือนกับเรื่องนี้ ตัดหญ้าแต่ว่าส่งเสียงรบกวนเพื่อนบ้าน ห้ามแล้ว ว่าแล้ว ก็ยังไม่ฟัง เลยต้องไปจัดการมันเสียเลย ต้องเอาชนะมัน เอาชนะด้วยการเอาจอบฟาดจะได้หยุด หยุดพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง โดยลืมไปว่าสิ่งที่ตัวเองทำ มันไม่ถูกต้องยิ่งกว่า เรื่องแบบนี้เจอบ่อย ๆ ไปจัดการความไม่ถูกต้องแต่สุดท้ายตัวเองกลับทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องยิ่งกว่า เพราะอะไร เพราะว่าความยึดมั่นในความถูกต้อง พอเจอความไม่ถูกต้องเข้ามันก็เลยสติแตกได้ง่าย พอสติแตกหรือขาดสติแล้วก็สามารถจะทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้ง่ายมาก ไม่เว้นแม้กระทั่งการทำร้ายหรือฆ่าเขา
อันนี้ก็เป็นอุทาหรณ์เตือนใจเราว่าเวลาเจอความไม่ถูกต้องต่อหน้าต่อตา สิ่งแรกที่ต้องทำคือรักษาใจเราให้ถูกต้องไว้ก่อน เพราะถ้าเราไม่รักษาใจให้ถูกต้อง ปล่อยให้ความโกรธครอบงำ ก็อาจจะถึงจุดที่ขาดสติ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวหรือลืมตัว และถึงตอนนั้นก็ทำอะไรก็ได้ อาจจะดูเหมือนว่าเพื่อทำให้เกิดความถูกต้องขึ้นมา หรือเพื่อจัดการความไม่ถูกต้อง แต่สุดท้ายกลับลงเอยด้วยการทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องยิ่งกว่า
แล้วคนที่ยึดมั่นในความถูกต้อง ต้องระวัง เพราะว่ายิ่งยึดมั่น ความถูกต้องนี่แม้จะเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ายึดมั่นถือมั่นมาก มันก็อาจจะทำให้เราขาดสติเวลาเจอความไม่ถูกต้องขึ้นมา พ่อแม่ก็อาจจะด่าลูก ครูก็อาจจะด่าลูกศิษย์หรือทำร้ายลูกศิษย์ หรือเพื่อนบ้านก็อาจจะทำร้ายคนอื่นในนามของการรักษาความถูกต้อง แต่ว่ากลับทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องยิ่งกว่า
ที่จริงเรื่องนี้นอกจากมันเป็นอุทาหรณ์สอนใจในเรื่องการยึดมั่นในความถูกต้องแล้ว มันยังชี้ให้เห็นโทษของความยึดมั่นในตัวกูของกู การยึดมั่นว่านี่การแสดงธรรมของกู กูกำลังบรรยายธรรมอยู่ อยากจะให้การบรรยายธรรมมันออกมาดี คนชื่นชมว่ากูบรรยายเก่ง หรือว่าให้การบรรยายธรรมของกูนี่ออกมาดี พอมีเสียงรบกวนเข้าก็เกิดความโกรธขึ้นมา เพราะว่ามันไปกระทบกับสิ่งที่ยึดมั่นว่าเป็นของกู หรือไปยึดมั่นว่าเป็นตัวกู
ไม่ว่าจะบรรยายธรรมทาง Facebook Live หรือบรรยายในที่ประชุม บางทีเราก็เผลอ เผลอไปยึดมั่นการกระทำนั้นหรือกิจกรรมนั้นว่าเป็นของกู อะไรที่มันเป็นของกูนี่พอมันถูกกระทบขึ้นมา หรืออะไรที่ยึดมั่นว่าเป็นตัวกู พอถูกกระทบขึ้นมามันจะโกรธ บรรยายธรรมแท้ ๆ แต่ว่าสิ่งที่พูดออกไปมันกลับกลายเป็นตรงข้าม อาจจะด่าทอด้วยความโกรธหรือว่าอาจจะถึงขั้นลงไม้ลงมืออย่างเหตุการณ์นี้
เรื่องนี้ชี้ให้เห็นเลยว่า ทำอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าทำอย่างไร แม้ว่าจะบรรยายธรรม แต่ถ้าบรรยายด้วยความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู ยึดมั่นในความถูกต้อง หรือยึดมั่นในความเป็นของกู มันก็สามารถจะนำไปสู่เหตุการณ์ที่เลวร้ายได้
ระหว่างการบรรยายธรรมด้วยความยึดมั่นถือมั่นในตัวของกู กับการรดน้ำต้นไม้อย่างมีสติ ถ้าบรรยายธรรมแต่ว่าทำด้วยความยึดมั่นนี่ มันสู้การรดน้ำต้นไม้อย่างมีสติไม่ได้ ถึงแม้ดูผ่าน ๆ เผิน ๆ บรรยายธรรมมันย่อมดีกว่า สูงกว่าการรดน้ำต้นไม้
ที่จริงถ้าเกิดว่าชายคนนั้นได้ยินเสียงเครื่องตัดหญ้าขณะที่รดน้ำต้นไม้ แกคงไม่โกรธมาก กำลังรดน้ำอยู่มีเสียงตัดหญ้าดังมาจากบ้านตรงข้าม คงจะไม่โกรธเท่าไหร่ แต่บังเอิญเสียงเครื่องตัดหญ้ามาดังขณะที่กำลังบรรยายธรรมทาง Facebook Live ก็เลยโกรธอย่างรุนแรง อันนี้ดูเผิน ๆ ดูเหมือนว่าเป็นเพราะการบรรยายธรรมเป็นเหตุหรือจุดชนวนให้เกิดการฆ่า ที่จริงมันไม่ใช่ แต่เป็นเพราะว่าความยึดมั่นถือมั่นกับการบรรยายธรรมมากกว่า
เพราะฉะนั้นไม่ว่า “เราทำอะไร” ให้ตระหนักว่ามันไม่ได้สำคัญเท่ากับว่า “ทำอย่างไร” กินข้าวถ้ากินอย่างมีสติอาจจะดีกว่าบรรยายธรรมอย่างขาดสติก็ได้ เราไปให้ค่ากับการทำอะไรมากไปจนลืมว่าควรทำอย่างไร
หรือถึงแม้จะมาทำบุญ มาตั้งโรงทานแต่ว่ามาทำด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่าอาหารของฉันอร่อย หรือว่ามาด้วยความรู้สึกว่าฉันมาทำบุญ คนจะต้องมาเอื้อเฟื้อฉัน ให้ฉันตั้งโรงทานได้อย่างสะดวก แต่พอไม่ได้รับความเอื้อเฟื้อก็โกรธ โมโห หรือบางทีก็อิจฉา ไม่พอใจที่ร้านข้าง ๆ เต็นท์ใกล้ ๆ ที่เขามีคนมาอุดหนุนมากกว่า ก็เลยทะเลาะเบาะแว้งกัน ทีแรกอาจจะพูดจาเสียดสี ตอนหลังมาทะเลาะกัน
อุตส่าห์มาตั้งโรงทานเพื่อมาทำบุญแท้ ๆ แต่ว่าไม่รู้จักรักษาสติหรือว่าทำความรู้สึกตัว การมาทำบุญก็เลยนำไปสู่การทะเลาะวิวาท เกิดการทุบตีกันก็มี จากความตั้งใจทำบุญก็กลายเป็นการทำบาปไปเสียแล้ว นี่เพราะว่าไม่ได้ทำด้วยความรู้สึกตัว ไม่รู้จักดูจิตดูใจของตัว ไม่รู้จักมีสติครองใจ แบบนี้สู้กวาดบ้านล้างจานอย่างมีสติจะดีเสียกว่า ถึงแม้จะไม่ได้มาตั้งโรงทาน แต่ว่างานที่ทำก็ทำยังมีสติ ใจก็เป็นกุศล ใครมายุ่งมางอแงก็ไม่ได้โกรธเขา ใครไม่ทำก็ไม่ได้ว่าเขา จิตใจก็ผ่องใส ไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใคร
ฉะนั้น หมั่นเตือนตนอยู่เสมอ ทำอะไรก็ตามมันไม่สำคัญเท่ากับว่าทำอย่างไร แม้จะทำเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมะ เรื่องบุญกุศล แต่ว่าถ้าขาดสติหรือทำด้วยความยึดมั่นถือมั่นแล้ว มันก็สามารถจะเกิดโทษได้ เตือนใจเสมอเวลาเจอความไม่ถูกต้อง อย่างแรกที่ต้องทำก็คือ รักษาใจให้ถูกต้อง ไม่ใช่ไปจัดการคนอื่นเพื่อให้เขาทำถูกต้อง ถ้าขืนไปจัดการคนอื่นโดยที่ไม่ทันดูใจของตัว ไม่ทันรักษาใจของตัวให้ถูกต้องแล้ว สิ่งที่ทำกับคนอื่นก็จะกลายเป็นความไม่ถูกต้องหนักกว่าเดิมก็ได้
เรื่องนี้มันเป็นอุทาหรณ์สอนใจที่ดีโดยเฉพาะกับคนที่สนใจธรรมะ นักปฏิบัติธรรม จะได้ไม่หลงตัวลืมตน ว่ามาปฏิบัติธรรมว่ามาแสดงธรรม แล้วก็ลืมมองตัวเองไป.