พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 2 พฤษภาคม 2567
สามีภรรยาคู่หนึ่งเห็นหมาจรจัดก็สงสาร เก็บเอามาเลี้ยงที่บ้าน ตอนที่เอามาเลี้ยงก็โตแล้ว ตัวนี้ก็ออกจะซนนิดหน่อยเพราะว่าอยู่ข้างถนนมานาน แต่ว่าพออยู่ไปพักหนึ่งก็เริ่มจะเชื่อง สามีภรรยาคู่นี้มีลูก เป็นลูกอ่อน อายุเขาก็ไม่กี่เดือน
ฝรั่งเวลาเลี้ยงหมาเขาเอาเข้ามาอยู่ในบ้าน แล้วให้หมาอยู่ข้างนอกห้อง แล้วห้องนอนของสามีภรรยากับห้องนอนของลูกก็อยู่กันคนละห้อง เขาจะให้ลูกนอนอีกห้องหนึ่ง ให้ลูกนอนเปล เป็นเปลไม้ อยู่คนเดียว ฝรั่งเขาเลี้ยงดูแบบนี้
คืนหนึ่งสามีภรรยาคู่นี้ได้ยินเสียงหมาเห่า ทีแรกก็ไม่เอะใจอะไร แต่ว่าตอนหลังได้ยินเสียงเห่าหลายครั้ง แล้วเป็นเสียงที่ดัง ดังมาจากห้องที่ลูกของตัวเองนอนอยู่ เขา ออกจากห้องแล้วก็มาดู ปรากฏว่าเห็นประตูเปิด คงปิดไม่สนิท หมาก็อยู่ในห้องนั้น ห้องที่ลูกนอนอยู่
แล้วเขาก็เห็นตรงขอบเปลมันมีรอยกัด เป็นรอยเขี้ยวของหมาตัวนี้ ก็แปลกใจ มองไปที่ลูกของตัวปรากฏว่าแน่นิ่งเลย เป็นอะไร ทีแรกคิดว่าหมาตัวนี้เข้าไปทำร้ายไปกัดลูกที่อยู่ในเปล แต่ว่ามันมีขอบเปลกั้นเอาไว้ มันก็คงจะพยายามกัดขอบเปลเหมือนกับจะพยายามเข้าไปในเปล ตอนแรกคิดว่าจะไปทำร้ายลูก
สักพักก็สังเกตว่า เด็กไม่หายใจ หยุดหายใจ รีบพาเด็กไปส่งโรงพยาบาลเลย แต่พอทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก็คาดเดาได้ว่าหมาตัวนี้คงรู้ว่าเด็กหยุดหายใจ แล้วก็พยายามที่จะส่งเสียงเห่าเรียกเจ้าของ เจ้าของไม่ลงมา มันก็เลยพยายามจะทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเด็ก ที่มันกัดขอบเปลก็เพราะว่ามันคงอยากจะเข้าไป
หมามันรู้ได้อย่างไรว่าเด็กหยุดหายใจ มันคงมีสัญญาณอะไรบางอย่าง อาจจะหูดี สงสัยว่าทำไมเสียงหัวใจเต้นมันหายไป ทีแรกผู้เป็นพ่อคิดว่าหมาจะทำร้ายลูกของตัว เกือบจะลงโทษหมาตัวนี้แล้ว แต่ที่จริงแล้วหมาตัวนี้เขาต้องการส่งสัญญาณให้พ่อแม่ของเด็กรู้ว่า เด็กกำลังมีอาการผิดปกติ หัวใจหยุดเต้น ดีที่พาเด็กไปโรงพยาบาล ปรากฏว่าช่วยชีวิตได้ทัน
มีเด็กจำนวนไม่น้อยเลยที่หยุดหายใจเวลากลางคืน ถ้าช่วยทันก็สามารถจะมามีชีวิตตามปกติได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบต่อสมองแค่ไหน ตัวผู้เป็นพ่อก็ขอบอกขอบใจหมาตัวนี้มากเลย ทีแรกมองมันในแง่ร้ายว่ามันกำลังจะทำร้ายลูก แต่ที่จริงเขาต้องการช่วย เป็นหมาที่ภักดีกับเจ้าของมาก แล้วก็คงผูกพันกับเด็กด้วย พอรู้ว่าเด็กมีอาการผิดปกติก็เลยอยู่เฉยไม่ได้ ต้องส่งเสียงร้อง เห่า ทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะช่วยเด็ก
ที่เมืองไทยเหมือนเคยมีพ่อแม่คู่หนึ่ง ลูกยังเล็กอยู่ ไม่กี่เดือน บังเอิญสามีภรรยาคู่นี้เลี้ยงพังพอนอยู่ตัวหนึ่ง เลี้ยงตั้งแต่เล็กเลย จนมันโต มันก็เชื่อง คนบอกว่าอย่าไปเลี้ยงพังพอนโดยเฉพาะถ้ามีเด็กเล็ก ๆ อยู่อย่างนี้ มันอาจจะเกิดอันตรายได้ แต่ว่าพ่อแม่คู่นี้ไม่สนใจ เลี้ยงพังพอนอยู่ที่บ้าน อยู่แถวชานเมือง ปกติก็มีคนงาน เป็นแม่บ้าน คอยเลี้ยงดูเด็กเวลาพ่อแม่ไปทำงาน
บ่ายวันหนึ่งพี่เลี้ยงที่คอยดูแลเด็กมีธุระต้องออกไปซื้อของข้างนอก กะว่าจะไปแป๊บเดียวแล้วก็รีบกลับมาเพราะว่าเด็กอยู่คนเดียว พี่เลี้ยงไปธุระแถวหน้าปากซอย ปรากฏว่าโดนวิ่งราวขณะกำลังจะกลับมา ก็เลยต้องไปแจ้งความ แทนที่จะไปทำธุระแค่ 5 นาที 10 นาที ปรากฏว่ายาวเป็นชั่วโมง
แล้วบังเอิญมีงูเห่าเข้ามาในบ้าน มันเลื้อยมาใกล้ ๆ ที่เด็กนอนอยู่ พังพอนเห็น มันไม่อยู่เฉย วิ่งเข้าไปสู้กับงูเห่า มันคงจะต้องการปกป้องเด็กน้อย และธรรมชาติของพังพอนก็ไม่ได้ชอบงูเห่าอยู่แล้ว ก็สู้กับงูเห่า งูเห่าก็สู้ไม่ได้ เลือดสาดเลย
เลือดสาดบริเวณใกล้ ๆ กับที่เด็กนอนอยู่ เพราะว่าเด็กนอนอยู่ตรงระเบียงข้างนอก เพราะในบ้านมันร้อน เด็กนอนอยู่ตรงระเบียงหน้าบ้านที่มีบริเวณเป็นสวน งูก็เลื้อยมาตรงบริเวณนั้น พังพอนก็เข้าไปสู้ งูสู้ไม่ได้โดนกัดเลือดสาดเลย มันก็ล่าถอยไป เข้าไปในพุ่มไม้ พังพอนก็ไล่ตาม เข้าไปจัดการจนงูตายเลย
ปรากฏว่าสักพักพ่อของเด็กกลับมาบ้านก่อนเวลาเพราะมีธุระ พอเปิดประตูบ้านเข้าไปเห็นพังพอนมาต้อนรับ สังเกตเห็นปากของมันมีเลือด เอะใจ รีบเดินไปที่ระเบียงหน้าบ้านที่เด็กนอนอยู่ เห็นรอยเลือด เลือดสาดเลยตรงที่นอนของเด็ก ตกใจ คิดว่าลูกโดนพังพอนกัด โกรธพังพอนมาก ตีพังพอนจนตาย โกรธมากที่ทำร้ายลูกของตัว สัตว์หน้าขนพวกนี้มันไว้ใจไม่ได้
พอตีพังพอนตาย ปรากฏว่าไปดูลูกของตัว ไม่เป็นอะไร ลูกแค่หลับสนิทเฉย ๆ ไม่มีแผลไม่มีอะไรเลย แล้วเลือดมาจากไหน ตามรอยเลือดปรากฏว่าไปเจอซากงูตรงพุ่มไม้ ปะติดปะต่อเรื่องก็เลยรู้ว่า จริง ๆ พังพอนไม่ได้ทำร้ายลูกของตัว แต่พังพอนมันทำร้ายงูเพื่อปกป้องลูกของตัว
แต่ว่าตัวพ่อเห็นสภาพแล้วเข้าใจว่า เลือดที่สาดอยู่ตามบนที่นอน เป็นเลือดของลูกที่เกิดจากฝีมือพังพอน ก็เลยทำร้ายพังพอนจนตาย มารู้ทีหลังว่าพังพอนที่จริงต้องการช่วยลูกของตัว เสียใจมาก โทษตัวเองว่าไม่น่าวู่วามเลย ไม่ทันยั้งคิด
คนเราบางครั้งเวลาเห็นอะไร มันก็อดไม่ได้ที่จะสรุปว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ทำตามสิ่งที่คิดว่ามันใช่ กว่าจะรู้ความจริงว่าความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น ก็สายไปแล้ว เหมือนกับลูกคนหนึ่งมีพ่อป่วยเป็นมะเร็งปอด เพราะสูบบุหรี่เยอะ ลูกเคยบอกพ่อว่าอย่าสูบบุหรี่ อย่าสูบบุหรี่ แต่พ่อก็ไม่ยอมเลิกสักที จนเป็นมะเร็งปอด
ตอนหลังย้ายพ่อมาพักที่คอนโด เพราะว่าอากาศมันดีกว่าที่บ้านเดิม ให้พ่อมารักษาตัวที่คอนโด บางครั้งก็ไปโรงพยาบาล ไปโรงพยาบาลเสร็จก็กลับมาที่คอนโด ไม่มีใครอยู่ ก็มีแต่คนงานมาเฝ้า มาดูแล ลูกก็มาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว
ตอนที่พ่ออาการเริ่มแย่ลง ๆ มีวันหนึ่งลูกชายก็ไปที่ระเบียงจะไปสูดอากาศสักหน่อย ปรากฏว่าเห็นก้นบุหรี่ หลายก้นเลย พอเห็นก้นบุหรี่นี่โกรธมากเลย โกรธพ่อว่าเป็นมะเร็งขนาดนี้แล้วยังไม่เลิกสูบบุหรี่ ทั้ง ๆ ที่รับปากกับลูกแล้วว่าจะเลิกสูบบุหรี่
ลูกก็ไปโวยวายใส่พ่อว่าทำไมพ่อไม่รักตัวเอง ป่วยขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมเลิกสูบบุหรี่สักที พ่อก็บอกว่า ไม่ได้สูบ ๆ ลูกก็ไม่เชื่อหาว่าพ่อโกหก หลักฐานมันโจ่งแจ้งอยู่แล้ว ก็ด่าว่าพ่อหลายอย่าง ความสัมพันธ์กับพ่อกับลูกก็แย่ลง
ตอนหลังพ่อมีอาการหนักจนกระทั่งสุดท้ายก็เสียชีวิต จัดงานศพเสร็จ ลูกก็มาเก็บข้าวของในห้องที่พ่อเคยพักรักษาตัว มีช่วงหนึ่งก็ไปที่ระเบียง ปรากฏว่าได้ยินเสียงคนคุยกันบนชั้นที่อยู่ถัดขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง สักพักก็เห็นขี้บุหรี่แล้วก็ก้นบุหรี่ตกลงมาจากชั้นที่อยู่ข้างบน แล้วลมก็พัดก้นบุหรี่ตกมาที่ระเบียง
พอเห็นก้นบุหรี่ตกมาแบบนั้น แกใจหายวาบเลย เพราะแกรู้แล้วว่าก้นบุหรี่ที่แกเห็น มันไม่ใช่มาจากพ่อ มันมาจากคนที่อยู่ข้างบนชั้นถัดไป เสียใจมากที่ไปกล่าวหาพ่อ ทะเลาะกับพ่อ ทั้งที่พ่อก็บอกไม่ได้สูบ ๆ เขาก็ไม่เชื่อเพราะคิดว่าก้นบุหรี่พ่อ พ่อสูบ แต่ความจริงมันไม่ใช่ฝีมือพ่อเลย รู้สึกผิดอย่างรุนแรง อยากจะขอโทษพ่อก็ขอโทษไม่ได้แล้ว เพราะพ่อไปแล้ว เป็นความรู้สึกผิดที่บาดแทงจิตใจของผู้เป็นลูกมาก
เรื่องนี้มันสอนเลยว่า อย่าด่วนสรุป ไม่ว่าเรื่องของคนที่ฆ่าพังพอนเพราะคิดว่าทำร้ายลูกของตัว หรือว่าลูกที่ไปกล่าวหาพ่อสูบบุหรี่ทั้งที่เป็นมะเร็ง พ่อจะแก้ตัว พ่อจะอธิบายอย่างไรลูกก็ไม่เชื่อ กล่าวหาพ่อรุนแรง เพราะหลักฐานมันมี แต่จริง ๆ เขาไม่เคยเห็นพ่อสูบบุหรี่เลย สิ่งที่เห็นก็เพียงแค่ว่าก้นบุหรี่ ก็เลยสรุปว่าพ่อสูบบุหรี่
คนเราบ่อยครั้งเราด่วนสรุปเร็วเกินไป ไอ้การด่วนสรุปบางครั้งก็มีประโยชน์ แต่บ่อยครั้งมันก็ก่อโทษ เพราะมันทำให้เราทำร้ายคนที่เรารัก หรือว่าทำในสิ่งที่เราต้องเสียใจในภายหลัง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า กาลามสูตรข้อหนึ่งก็คือว่า อย่าเชื่อเพียงเพราะมองเห็นลักษณะที่น่าจะเป็นไปได้ ก้นบุหรี่ที่อยู่บนระเบียงห้องพ่อ หน้าห้อง ข้างห้อง มันเหมือนส่อว่าพ่อสูบบุหรี่ หรือว่าเลือดที่สาดบนที่นอนของลูก มันก็น่าจะชวนให้สรุปว่า เป็นเพราะลูกถูกพังพอนทำร้าย กัด แต่ที่จริงมันเป็นข้อสรุปที่ผิด
คนเรามีสิทธิ์ที่จะสรุปอะไรได้ แต่ว่าอย่าด่วนสรุป ให้รู้จักคิดเผื่อไว้ด้วย ถ้าคนเรามีสติมันจะคิดเผื่อว่า อาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ พังพอนอาจจะไม่ได้ทำร้ายลูกของเราก็ได้ หรือพ่ออาจจะไม่สูบบุหรี่ก็ได้ ขี้บุหรี่ ก้นบุหรี่มาจากไหนก็ไม่รู้ อาจจะมาจากที่อื่นก็ได้ ถ้าคิดเผื่อไว้อย่างนี้ มันก็ไม่มีการทำในสิ่งที่ต้องเสียใจในภายหลัง
แต่คนเราไม่ค่อยคิดเผื่อเท่าไหร่ พอเห็นอะไรที่เขาเรียกว่าลักษณะน่าจะเป็นไปได้ ก็สรุปเลยว่าใช่แน่ อันนี้เรียกว่าด่วนสรุป แล้วบ่อยครั้งคนเราก็เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน ก็เพราะเหตุนี้ เช่น เห็นแฟนสาวไปยืนคุยกับชายหนุ่มในห้างสรรพสินค้า หรือเห็นแฟนหนุ่มไปคุยกับหญิงสาวในร้านสตาร์บัค พอเห็นเช่นนี้ก็สรุปเลยว่าแฟนตัวเองนี่นอกใจ ก็เลยมีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ถ้าหากว่าคนเรานี่ไม่ด่วนสรุปเพราะว่ารู้จักคิดเผื่อบ้างก็จะดี หรือถ้าจะให้ดีนี่จะต้องรู้จักทักท้วงความคิดบ้าง คนเราถ้าทำตามความคิดทุกอย่างมันแย่ โดยเฉพาะความคิดที่สรุปไปแล้วว่า ใครบางคนทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อยู่เฉยไม่ได้ต้องจัดการ
คนเราถ้าหากเราทำตามความคิดทุกอย่างนี้แย่เลย เพราะว่าความคิดบางอย่างมันก็พาเราเข้ารกเข้าพง หรือทำให้เราลงโทษคนผิด ยังไม่ต้องพูดว่าทำให้เราตกเป็นทาสของกิเลส เพราะบางทีความคิดมันก็หลอกให้เราทำชั่ว หรือว่าทำบางสิ่งบางอย่างที่สนองกิเลส ความใฝ่ต่ำ
แต่ถึงแม้จะไม่ใช่เป็นการสนองกิเลส แต่ว่ามันอาจจะเป็นความคิดบางอย่างที่ไปสรุปผิดพลาด คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง และถ้าเราทำตามความคิดนั้นเราก็แย่เลย บางอย่างก็แก้ตัวได้ทัน บางอย่างก็แก้ตัวไม่ได้แล้ว เพราะคนที่เราทำร้าย คนที่เราว่าร้ายก็ไปไม่มีวันกลับแล้ว
ศิลปะของชีวิตอย่างหนึ่งในการที่เราจะดำรงชีวิตให้เจริญงอกงามและมีความสุข ก็คือการรู้จักทักท้วงความคิด ความคิดอะไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าพอเกิดขึ้นแล้วจะเชื่อมัน หรือทำตามมันทุกอย่าง เพราะบางอย่างมันก็เป็นความคิดที่ผิด แม้จะดูมีเหตุมีผล คนเราถ้าหากรู้จักทักท้วงความคิดบ้าง มันอาจจะช้าหน่อยไม่เหมือนคนที่ด่วนสรุปทันที ตัดสินใจอะไรได้เร็ว ทำอะไรได้รวดเร็วฉับพลัน ซึ่งบางครั้งก็มีประโยชน์แต่บางครั้งก็เกิดโทษ
ฉะนั้นถ้าเราจะครองตนได้ เราต้องรู้จักทักท้วงความคิดบ้าง ไม่ทำตามความคิดทุกอย่างที่มันผุดขึ้นมาในหัว แต่คนเราจะทักท้วงความคิดได้ มันต้องมีอีกอย่างหนึ่ง คือรู้จักเห็นความคิด ถ้าไม่เห็นความคิด มันก็จะทักท้วงความคิดไม่ได้ เพราะว่าพอมีความคิดเกิดขึ้นก็ไปยึดเลยว่า ความคิดเป็นเราเป็นของเรา พอเห็นว่าความคิดเป็นเราเป็นของเรา มันก็ทำตามความคิดทันที
การปฏิบัติธรรมหรือว่าการเจริญสติ มันทำให้เรารู้จักเห็นความคิด เห็นแล้วก็ไม่เชื่อความคิดทุกอย่าง เห็นแล้วก็รู้จักทักท้วงมันบ้าง ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วแม้จะมีความสงบเพียงใด จิตใจมีสมาธิ แต่ถ้าไม่รู้จักเห็นความคิด มันลำบากเหมือนกัน เพราะว่าพอออกจากการปฏิบัติไปเกี่ยวข้องผู้คน เจออะไรขึ้นมาก็ด่วนสรุปทันที แล้วก็ลงมือทำทันทีตามความคิด อาจจะลงเอยด้วยการไปทำร้ายคนที่เรารัก หรือว่าเกิดการทะเลาะวิวาทบาดหมางกัน
หรือบางทีก็เกิดความทุกข์ใส่ตัว อาจจะไม่ได้ทำร้ายใคร เช่น ลูกสาวกลับบ้านผิดเวลา 3-4 ทุ่มยังไม่กลับเลย เพราะปกติ 1 ทุ่มก็กลับแล้ว ถ้ากลับช้าก็ต้องโทรศัพท์มาบอกแม่ แต่นี่ 4 ทุ่มแล้วยังไม่กลับมาเลย คนเป็นแม่อดไม่ได้ที่จะคิดลบคิดร้ายว่าเกิดอะไรขึ้น ลูกเกิดอุบัติเหตุไหม หรือว่าลูกถูกล่อลวงหรือเปล่า พอคิดแบบนี้เข้า ใจเสียเลย
แต่ความจริงก็คือว่า บังเอิญเพื่อนลูกป่วยหนัก ต้องพาเพื่อนไปโรงพยาบาล โทรศัพท์ก็ลืมไว้ที่บ้านเพื่อน เลยติดต่อแม่ไม่ได้ ความจริงก็ไม่มีอะไร แต่ว่าผู้เป็นแม่ แย่เลย ตื่นตระหนกตกใจ เพราะอะไร เพราะไปด่วนสรุปว่าลูกมีอันเป็นไปแล้ว คิดว่าลูกอาจจะเกิดเหตุร้าย
แต่ถ้าคิดเผื่อเป็นบ้างก็ดี ว่าอาจจะไม่เกิดเหตุร้ายแต่ว่ามีเหตุสุดวิสัยบางอย่าง ที่เขาไม่ติดต่อ ไม่บอกล่วงหน้าเพราะว่าอาจจะมีเหตุผลบางอย่าง เช่น ลืมโทรศัพท์ไว้ หรือโทรศัพท์ถูกขโมย สารพัด เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเกิดว่าไปเชื่อความคิด ไปด่วนสรุปแล้ว สุดท้ายแล้วตัวเองก็เครียด ประสาทกิน บางทีอาจจะถึงกับเป็นลมไปเลยก็ได้
คนเราทุกข์เพราะความคิดมากทีเดียว และยังดีที่เพียงแค่คิด แต่ถ้าลงมือทำตามความคิดด้วย อาจจะเกิดความเสียหายมากชนิดที่แก้ตัวหรือว่าเปลี่ยนผิดให้เป็นถูกไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราต้องการครองตนหรือต้องการมีชีวิตที่ผาสุก มันต้องรู้จักท้วงความคิดบ้าง ไม่ทำตามความคิดไปเสียทุกอย่าง.