พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมหลังวัตรเย็น ค่ายสามเณรและศีลจาริณี วัดป่าสุคะโต 10 เมษายน 2567
ค่ำนี้ลูกเณรลูกศีลได้มาทำวัตรพร้อมกับหลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ พระภิกษุสงฆ์ รวมทั้งชาววัด พวกเราสวดมนต์ได้พร้อมเพรียง เสียงดังฟังชัด อันนี้แสดงว่าเราได้เรียนรู้กิจวัตรและธรรมเนียมของนักบวชได้มากแล้ว เพราะว่าเราอยู่มาก็ 18 วันแล้ว
นอกจากได้รู้กิจวัตรและธรรมเนียมของนักบวชแล้ว อย่างหนึ่งที่หลวงพ่อเชื่อว่าพวกเราได้เรียนรู้ก็คือ ชีวิตที่เรียบง่ายของนักบวช
แต่สำหรับหลายคน ชีวิตที่เรียบง่ายของนักบวช อาจจะหมายถึงความยากลำบากของพวกเรา เพราะว่าหลายคนไม่เคยนอนเสื่อ แล้วแทบทั้งหมดก็ไม่เคยกินอาหารวันละ 2 มื้อ แล้วยังต้องตื่นเช้า แถมยังต้องห่างไกลจากโทรศัพท์ โทรทัศน์ เครื่องเล่นเกม แล้วยังเจอความไม่สะดวกสบายอีกหลายอย่าง ชีวิตที่เรียบง่ายของนักบวชก็อาจจะหมายถึงชีวิตที่ลำบากของพวกเรา
แต่ว่าความลำบากมันเป็นของดี เพราะถ้าพวกเราได้คุ้นเคยกับความลำบาก เราจะกลายเป็นคนที่เข้มแข็ง เมื่อเรากลับไปบ้าน กลับไปโรงเรียน เราเจอความลำบากหลายอย่าง อาจจะกลายเป็นเรื่องที่สบายไปเลยก็ได้ เพราะว่ามันไม่เท่ากับความลำบากที่เราได้เจอมาตลอด 18 วัน
การที่เราได้เจอความลำบาก ความไม่สะดวกสบาย มันทำให้เรามีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าภูมิคุ้มกันความทุกข์ หมายความว่าถ้าเจอความทุกข์ เราจะมีภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะความทุกข์ทางกาย พอเรามีภูมิคุ้มกันนี้แล้วเราก็จะไม่ทุกข์ใจแล้ว อะไรๆ ก็กลายเป็นเรื่องง่าย
ที่จังหวัดพิษณุโลกมีคุณยายคนหนึ่ง ใครๆ เรียกว่าย่ายิ้ม เพราะว่าคุณย่ายิ้มตลอดเวลาเลย ชีวิตของคุณย่าจะเรียกว่าลำบากก็ได้ อยู่บนเขาคนเดียว แต่ก่อนก็มีลูกชายลูกสาวอยู่ด้วย แต่ตอนหลังเขาก็ลงมาไปทำงานที่กรุงเทพฯ ทำงานในเมือง ก็ทิ้งให้คุณย่าอยู่คนเดียว
บนเขาไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ เพราะฉะนั้นก็ต้องหุงข้าวกินเอง ไม่มีเครื่องหรือไม่มีหม้อหุงข้าว แล้วก็จุดตะเกียง แสงสว่างก็ได้จากตะเกียงน้ำมันไม่ใช่ไฟฟ้า อยู่คนเดียวบางครั้งข้าวที่เตรียมไว้มันหมด กินอะไร ก็ขุดหัวกลอยมานึ่งกับมะพร้าวคั่ว กินแทนข้าว
เวลาถึงวันพระ คุณย่าก็ลงมาจากเขา หมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดอยู่ไกลประมาณ 8 กิโลเมตร ย่ายิ้มก็ต้องลงมาจากเขา ถึงเวลากลับก็ขนเอาพริก เอาเกลือ เอาข้าวสารขึ้นไป แต่ว่ามักจะมีลูกหลานช่วยขับรถพาขึ้นเขา ก็ดีหน่อย แต่ว่าขามาต้องเดินลงเขา 8 กิโลเมตร
มีคนไปถามย่ายิ้มว่า เดินเขาลงมาแบบนี้มันไกล ย่าไม่เหนื่อยเหรอ ย่าตอบว่า “ก็มันเคยเสียแล้วหนา” มีคนถามว่า “ย่าอยู่ข้างบนคนเดียว เกิดเจ็บป่วยทำอย่างไร ไม่มีใครดูแล” อย่าบอกว่าไม่เคยป่วย แต่ถึงป่วยก็ไม่เป็นไร เพราะว่ามันเคยแล้ว ย่าจะบอกว่า “มันเคยแล้วหนา”
คนถามว่าข้าวหมดแล้วต้องกินหัวกลอย มันจะอิ่มเหรอ คุณย่าก็บอกว่าก็มันเคยแล้วหนา มีคนเห็นหม้อหุงข้าวของคุณย่ามันมีรอยรั่วข้างๆ เวลาจะหุงข้าวก็ต้องตะแคงหม้อ ก็ถามว่าไม่ลำบากเหรอ หุงข้าวแบบนี้ คุณย่าก็ยิ้ม แล้วตอบว่า “ก็มันเคยแล้วหนา”
คือไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร คุณย่าไม่รู้สึกทุกข์ร้อนเลย หรือพูดแบบภาษาเราก็คือสบายมาก เพราะอะไร เพราะว่าเคยแล้ว ชินเสียแล้ว เจออะไรก็ตามคุณย่าไม่ทุกข์เลย เพราะว่าชินเสียแล้ว เคยเสียแล้ว คุณย่ามีภูมิคุ้มกันความทุกข์ เป็นภูมิคุ้มกันที่เกิดจากความเคยชิน หรือเกิดจากการที่เจอบ่อยๆ
คนเราเกิดมาทั้งทีต้องมีภูมิคุ้มกันความทุกข์ ไม่ใช่มีแต่ภูมิคุ้มกันโรค แต่ภูมิคุ้มกันความทุกข์ก็เหมือนกับภูมิคุ้มกันโรคอย่างหนึ่ง คือ ต้องเจอความทุกข์บ่อยๆ เหมือนกับภูมิคุ้มกันโรคจะเกิดขึ้นได้ ร่างกายเราก็ต้องได้รับเชื้อโรค โดยเฉพาะแบคทีเรีย จากไหน จากดิน จากน้ำคลอง จากอากาศ บางทีก็จากตัวสัตว์ เช่น หมาแมว พวกนี้มันก็มีเชื้อโรค พอมันเข้าสู่ร่างกายเรา ร่างกายเราเจอเชื้อโรคก็เกิดภูมิคุ้มกัน
ถ้าร่างกายคนเราไม่เจอเชื้อโรคเลย เพราะว่าเป็นเด็กรักสะอาดมาก หรือพ่อแม่รักสะอาด ไม่ให้เจอเชื้อโรคเลย เวลาจะใช้ข้าวของเครื่องใช้อะไรก็ต้องเอาน้ำยาฆ่าเชื้อมาทา ไม่ให้เล่นดิน ไม่ให้สัมผัสกับน้ำคลองเลย เรียกว่าอนามัยจัด มันก็เสี่ยง เพราะว่าทำให้ขาดโอกาสที่จะสร้างภูมิคุ้มกันโรค
ฉะนั้นเด็กที่รักสะอาดมากๆ อนามัยจัด ป่วยง่าย ป่วยโน่นป่วย โรคแพ้โน่นแพ้ สารพัดเลย ขณะที่เด็กบ้านนอกที่เล่นกับ ดินว่ายน้ำคลอง ไม่ค่อยป่วยเท่าไหร่ เพราะว่าเขามีภูมิคุ้มกัน เป็นภูมิคุ้มกันโรคเพราะว่าร่างกายได้รับโรคบ่อยๆ บางทีก็เป็นโรคที่เกิดจากความตั้งใจคือการฉีดวัคซีน ฉีดวัคซีนก็คือการเอาเชื้อโรคเข้าไปในร่างกาย เป็นโรคอ่อนๆ พอร่างกายเราเจอโรค มันก็สร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา
ภูมิคุ้มกันโรคฉันใด ภูมิคุ้มกันความทุกข์ก็ฉันนั้น มันก็เกิดจากการที่ชีวิตเราเจอความทุกข์บ่อยๆ เจอความลำบากอยู่เนืองๆ มันก็จะเกิดภูมิคุ้มกันความทุกข์ อย่างพวกเราอดมื้อเย็นมาเกือบ 3 อาทิตย์ ถ้าเกิดว่ากลับไปบ้าน ไม่ได้กินมื้อเย็นเลย เราก็คงจะไม่ทุกข์ร้อนอะไร
ไม่เหมือนกับเพื่อนเราที่ไม่ได้มาที่นี่ ถ้าวันไหนไม่ได้กินข้าวเย็น ร้องโอดครวญ กลุ้มอกกลุ้มใจเลย เครียด เพราะเขาไม่มีภูมิคุ้มกันอย่างเรา เราอดอาหารมื้อเย็นจนชินเสียแล้ว มันจะมีก็แต่ความอยากที่เกิดขึ้นในใจ แต่ว่าร่างกายปรับตัวได้แล้ว มันชินแล้ว
ฉะนั้นการที่พวกเราเจอความทุกข์ หรือความไม่สะดวกสบายทางกาย เป็นของดี ทำให้เราอดทน ทำให้เราเข้มแข็ง ทำให้เรามีภูมิคุ้มกันที่หาได้ยาก คนเราจะมีภูมิคุ้มกันโรคอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีภูมิคุ้มกันความทุกข์ ภูมิคุ้มกันความทุกข์ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เจอกับความลำบาก หรือเจอความทุกข์บ่อยๆ อีกส่วนหนึ่งก็เกิดจากการรู้จักวางใจ
ความทุกข์มันไม่ได้เกิดขึ้นที่กายอย่างเดียว มันเกิดขึ้นที่ใจด้วย เรียกว่าความทุกข์ใจ และความทุกข์ใจบ่อยครั้งมันก็รุนแรงกว่าความทุกข์กาย ถามว่าความทุกข์ใจเกิดจากอะไร เกิดจากใจ เกิดจากความคิด บางทีใจเราจินตนาการ เช่น ถ้าใจเราบอกว่าไม่ไหวๆ ร่างกายก็ไม่ไหว
หรือถ้าเกิดใจเราปรุงแต่งไปในทางลบ ไปในทางน่ากลัว พอเจอสิ่งนั้นเข้าก็ตกใจ เมื่อเช้านี้หลวงพ่อบิณฑบาตสายวังเข้หรือสายกุดโง้ง มีหมาตัวหนึ่งมันก็มา หลวงพ่อก็เลยโยนข้าวเหนียวให้มัน ตอนที่โยนมันไม่เห็น ข้าวเหนียวก่อนจะโยนหลวงพ่อก็กำเป็นก้อน แล้วก็โยนให้มัน ไปถูกตัวมัน มันทำยังไง มันร้องเอ๋งเลย
ข้าวมันนิ่ม และเป็นอาหารที่หมาชอบด้วย แต่ทำไมพอถูกตัวหมาตัวนั้นมันร้องเอ๋ง เหมือนกับโดนก้อนหินขว้าง เพราะมันคิดว่ามันโดนก้อนหิน ก้อนข้าวกับก้อนหินมันต่างกันเยอะ แต่ว่าเนื่องจากมันคิดว่ามันเจอก้อนหิน พอก้อนข้าวถูกตัวมัน มันร้องทันทีเลย เอ๋ง ด้วยความเจ็บปวด เพราะอะไร
เพราะมันคิดเอาเองว่ามันเจอก้อนหิน อันนี้เราเรียกว่าปรุงแต่ง หรือจินตนาการ หรือเดี๋ยวนี้เราเรียกว่ามโน เท่านั้นไม่พอ พอมันคิดหรือนึกว่าเป็นก้อนหิน มันก็จะนึกต่อไป นึกถึงความรู้สึกที่เคยโดนก้อนหินขว้างถูกตัว
พอมันนึกถึงความรู้สึกที่มันเคยถูกก้อนหิน มันก็จะนึกถึงความเจ็บความปวดที่ถูกก้อนหินขว้างใส่ตัว พอมันนึกถึงความเจ็บปวด มันก็จะรู้สึกปวดจริงๆ เลย ทั้งที่ร่างกายมันไม่ได้ปวด แต่พอใจมันนึกว่ามันโดนก้อนหินแล้วรู้สึกปวด มันก็เลยปวดจริงๆ มันถึงร้อง เจอข้าวแต่พอนึกว่าเป็นก้อนหิน มันก็ร้องทันที แปลว่าอะไร แปลว่าความทุกข์มันเกิดที่ใจ กายไม่ได้ทุกข์ แต่ใจทุกข์ไปแล้ว เพราะการปรุงแต่ง
เขาเคยมีการทดลอง มีชื่อมากเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว หมาตัวหนึ่งใส่กรงเอาไว้ ถึงเวลาอาหารก็จะสั่นกระดิ่ง สั่นกระดิ่งทีไรก็เอาอาหารมาให้หมาตัวนั้น สั่นกระดิ่งแล้วก็ให้อาหารพร้อมๆ กันประมาณ 2-3 อาทิตย์ แล้วมีวันหนึ่งเขาสั่นกระดิ่งแต่ไม่ได้ให้อาหาร ปรากฏว่าหมาน้ำลายไหลเลย หมาน้ำลายไหลได้อย่างไร
ปกติหมาน้ำลายไหลได้ก็ต่อเมื่อได้กินข้าว แต่ทำไมวันนั้นไม่มีข้าวให้มัน แต่แค่ได้ยินเสียงกระดิ่งแล้วน้ำลายไหล เพราะเสียงกระดิ่งทำให้มันนึกถึงข้าว นึกถึงอาหาร พอนึกถึงอาหาร มันก็นึกถึงรสอร่อยที่มันเคยได้กิน พอมันนึกถึงรสอร่อย มันก็มีความสุข แล้วมันก็เลยน้ำลายไหล อันนี้เรียกว่าเป็นความสุขที่เกิดจากการปรุงแต่ง
ก็คล้ายๆ กับหมาตัวเมื่อเช้า เพียงแต่ว่าหมาตัวเมื่อเช้ามันทุกข์ ทุกข์จากการปรุงแต่ง ทุกข์จากการมโน อันนี้มันก็ชี้ให้เห็นว่าความสุขหรือความทุกข์ของคนเรา มันก็ขึ้นอยู่กับใจด้วย ไม่มีอาหารแต่นึกถึงอาหารน้ำลายก็ไหล ไม่ได้โดนก้อนหินขว้าง แต่เป็นข้าวเหนียวมาถูกตัว แต่มันนึกถึงก้อนหิน มันก็ร้องเอ๋ง
บางทีพวกเราก็เป็นอย่างนี้ เราเจออะไรไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย แต่ว่าจินตนาการไป ที่จริงไม่ใช่พวกเราอย่างเดียว ไม่ใช่เด็กอย่างเดียว ผู้ใหญ่บางทีก็เป็น กลางค่ำกลางคืนในสวนยาง เดินในสวนกลางคืนไม่มีไฟฉาย คนสวนเขามักจะเดินเท้าเปล่า เดินไปเหยียบแก้ว ตกใจ เพราะนึกว่าโดนงูกัด เป็นลมเลย
จนกระทั่งใครๆ ก็มาถามว่าเกิดอะไรขึ้น พอเขารู้ว่าไม่ใช่งู แต่ว่าเป็นเศษแก้ว ลุกขึ้นยืนได้เลย เรียกว่าทุกข์หัวใจ คนเราถ้าหากว่าไม่รู้จักจิตใจเจ้าของดีมันก็มโนปรุงแต่งไป แต่ถ้าเรารู้ตรงนี้ เรารู้จักปรับใจ เจอความทุกข์อะไร ใจไม่ทุกข์ก็ได้
มีทหารผ่านศึก 2 คน ถูกผ่าตัดขา เสียขาเพราะโดนระเบิด นอนอยู่บนเตียงใกล้ๆ กัน คนหนึ่งหดหู่ เศร้าสร้อย เป็นทุกข์ อีกคนหนึ่งสดใสเบิกบาน ทั้งๆ ที่อาการเหมือนกันเลย ทำไมคนหนึ่งเป็นทุกข์มาก อีกคนหนึ่งไม่ค่อยทุกข์เท่าไหร่เลย
ไปถามคนที่เขาทุกข์มาก เขาก็บอกเขาทุกข์เพราะเขาเสียขา ต่อไปนี้ฉันไม่สามารถจะใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้แล้ว ชีวิตฉันตอนนี้มันมีแต่จะย่ำแย่ เพราะไม่มีขาข้างหนึ่งให้เดินเหมือนปกติ
แต่พอไปถามอีกคนหนึ่งที่เขาสดใสร่าเริง เขาบอกว่าเขาโชคดี ผมโชคดีที่มีชีวิตรอด แล้วจะได้กลับไปเจอลูกเจอเมีย ถึงแม้ว่าจะเดินไม่ได้เหมือนเดิม แต่ผมก็คงจะสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ เพราะว่าทุกอย่างก็ปกติดีหมด แค่เสียขา คนหนึ่งเป็นทุกข์เพราะรู้สึกว่าโชคร้าย สูญเสียขา สูญเสียอนาคต แต่อีกคนหนึ่งไม่ทุกข์เลย มีความสุขเพราะรู้สึกว่าโชคดีที่มีชีวิตรอด
มุมมองสำคัญ พวกเราถึงแม้จะมีความรู้เยอะ แต่ถ้าหากว่าเรามองแต่ในทางลบ เจออะไรก็ไม่ไหวๆ มันก็มีแต่ความทุกข์ แต่ถ้าคนเรารู้จักมอง เจออะไรก็ไหว เจออะไรก็สบาย ทนได้สบายมาก ตั้งแต่วันแรกหลวงพ่อก็บอกพวกเรา ให้ท่องคาถานี้แหละ “ทนได้สบายมาก” “วันนี้ทนได้ วันหน้าสบายมาก”
อันนี้เป็นความจริง เป็นสัจธรรมเลย ถ้าวันนี้พวกเรายอมอดทน และบอกตัวเองว่าทนได้ พรุ่งนี้หรือวันหน้าจะสบายมาก จะสบายกว่าเพื่อนหลายคนที่เขาไม่ได้เจอความลำบากเหมือนเรา แล้วเขาก็ไม่ได้ฝึกใจเหมือนเรา อะไรเกิดขึ้นกับเรา ไม่สำคัญเท่ากับว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร เจอข้าวเหนียวแต่คิดว่าเป็นก้อนหิน มันก็ทุกข์ ก็ร้องเอ๋ง แต่ว่าบางทีเจอก้อนหิน แต่นึกว่าเป็นก้อนข้าว กลับไม่เจ็บไม่ปวดอะไรเลย
มีเด็กคนหนึ่งอายุ 3 ขวบ อยู่ที่ประเทศซีเรีย เมื่อ 3-4 ปีก่อนนี้เกิดสงครามกลางเมือง มีการเอาเครื่องบิน มีการเอาปืนใหญ่มาถล่มใส่เมือง เด็กคนนี้ชื่อซัลวา เวลาได้ยินเสียงระเบิด เสียงเครื่องบินทิ้งระเบิด เสียงปืนใหญ่ จะตกใจ จะร้อง ร้องอย่างเดียวเลย พ่อไม่รู้ทำอย่างไร
บังเอิญมีวันหนึ่งเป็นวันหยุด แล้วเด็กเล่นประทัดกัน ซัลวาได้ยินเสียงประทัดก็ตกใจร้อง พ่อก็เลยอุ้มซัลวามาที่หน้าบ้าน แล้วก็บอกว่าไม่มีอะไรน่ากลัว เด็กๆ เขากำลังสนุกกัน พี่ๆ เขากำลังสนุกกัน แล้วก็บอกให้เด็กๆ หน้าบ้านจุดประทัดใหม่ พอเด็กจุดประทัดเด็กก็หัวเราะ ซัลวาเห็นใครๆ หัวเราะ ซัลวาก็หัวเราะบ้าง
นับแต่นั้นมาพอได้ยินเสียงประทัด ซัลวาก็จะหัวเราะ เพราะอะไร เพราะรู้ว่ามันเป็นความสนุก มันไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ต่อมามีเครื่องบินทิ้งระเบิดมา ตอนที่เครื่องบินกำลังจะทิ้งระเบิด พ่อรู้ว่าเสียงระเบิดกำลังจะดัง ก็เลยบอกลูกว่า “หนูจำได้ไหม เสียงประทัดเวลามันดังแล้ว เด็กเป็นอย่างไร ใครๆ ก็หัวเราะกัน”
พ่อก็เลยบอกว่าเดี๋ยวจะมีเสียงดังแล้ว ถ้าเสียงดังหนูจะทำอย่างไร เด็กบอก “หัวเราะ” พอระเบิดมันกระทบพื้น ระเบิดตูม ซัลวาหัวเราะเลย หัวเราะแบบเต็มที่เลย เพราะเด็กนึกว่ามันเป็นเสียงแห่งความสนุกสนาน
นับแต่นั้นมาพอเสียงระเบิดดังทีไร ซัลวาก็หัวเราะ หัวเราะจริงๆ เลย มีวีดีโอคลิปเป็นภาพแพร่หลายทั่วโลก หัวเราะจริงๆ เลย แต่ก่อนร้องไห้แต่ตอนนี้หัวเราะแล้ว เพราะอะไร เพราะนึกว่ามันเป็นเสียงประทัด นึกว่ามันเป็นเสียงความสนุกสนาน
ตอนหลังพ่อก็เล่นเกมกับซัลวา พอมีเครื่องบินมา พ่อจะถามซัลวาว่าเดี๋ยวจะมีระเบิดถล่มหรือจะมีเสียงปืนใหญ่ เล่นเกมทายกัน ซัลวาก็บอกเสียงระเบิดจากเครื่องบิน แล้วพอเสียงระเบิดดังซัลวาก็หัวเราะใหญ่เลย เพราะว่าทายถูก ว่าเป็นเสียงระเบิดจากเครื่องบิน ไม่ใช่เสียงปืนใหญ่ มันกลายเป็นเกมไปเสียแล้ว มันกลายเป็นความสนุกไปเสียแล้ว
ผู้ใหญ่บางคนเจอเสียงมอเตอร์ไซค์ โมโห หงุดหงิด แต่ซัลวาได้ยินเสียงระเบิด หัวเราะ แปลว่าอะไร มันอยู่ที่ใจ อยู่ที่มุมมอง พอเด็กเขามองว่ามันเป็นเสียงสนุกสนาน เหมือนเสียงประทัดที่พอดังเด็กก็หัวเราะ ซัลวาก็เลยหัวเราะบ้าง กลายเป็นความสนุกไปเสียแล้ว อยู่ที่ใจ
อันนี้คือวิชาชีวิตที่เราควรจะรู้ว่าสุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ นอกเหนือจากการที่เรามีภูมิคุ้มกันความทุกข์ที่เกิดจากความเคยชินแล้ว มันยังเกิดจากการที่เรารู้จักมองด้วย รู้ว่าความทุกข์ส่วนหนึ่งมันอยู่ที่ใจ ถ้าเราจัดการกับใจเราได้ แทนที่จะคิดลบก็ให้มองบวก หรือให้รู้ว่าใจที่มันชอบบ่น ชอบโวยวาย ที่เป็นเหตุแห่งความทุกข์
น้องไอซ์อายุพอๆ กับซัลวา 3 หรือ 4 ขวบ วันหนึ่งวิ่งชนประตูกระจก เพราะนึกว่าไม่มีกระจกขวางกั้น วิ่งอย่างแรงเลย ชนกระจกตึ้ง น้องไอซ์เรียกว่าเกือบจะหงายหลังเลย แม่อยู่ในครัวได้ยินเสียงตึ้ง ตกใจ รีบวิ่งมาหาน้องไอซ์ เพราะรู้ว่าน้องไอซ์ปวดแน่นอนเลย วิ่งชนกระจก แล้วแม่ก็ทำท่าจะกอด จะปลอบน้องไอซ์ น้องไอซ์ยกมือบอกว่าแม่ไม่ต้องๆ น้องไอซ์จะนั่งสมาธิ
ทำไมน้องไอซ์นั่งสมาธิ เพราะน้องไอซ์รู้ว่าถ้านั่งสมาธิแล้ว มันจะปวดน้อยลง น้องไอซ์รู้ว่าความปวดส่วนหนึ่งมันเกิดจากใจ ใจที่บอกไม่ไหวแล้วๆ ๆ ปวดเหลือเกินๆ ๆ ตัวนี้แหละที่ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา หรือว่าทุกข์คูณ 2 คูณ 3 ทุกข์กาย 1 ส่วน แต่ทุกข์ใจอีก 2 ส่วน รวมเป็น 3 ส่วน เรียกว่าทุกข์คูณ 3 เพราะใจ
แต่น้องไอซ์รู้ว่าพอทำสมาธิ เอาจิตมาอยู่ที่ลมหายใจให้จิตสงบ มันจะทุกข์น้อยลง ทุกข์น้อยลงเพราะจิตมันไม่บ่น ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพายแล้ว พอจิตสงบ ความทุกข์ก็ลดลง น้องไอซ์ฉลาด รู้จักวิธีบรรเทาความทุกข์ด้วยการนั่งสมาธิ เพราะรู้ว่าความทุกข์ส่วนหนึ่งหรือส่วนใหญ่เกิดจากใจ ใจที่ตื่นตระหนก ใจที่โวยวาย แต่พอทำใจสงบได้ ความทุกข์มันก็ลดลง เรียกว่าทุกข์หาร 3
ฉะนั้นพวกเรามาเป็นนักบวช ไม่ว่าจะเป็นลูกเณร ลูกศีล นอกจากเรามาฝึกการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย เพื่อเราจะได้มีภูมิคุ้มกันความทุกข์แล้ว เราก็ควรจะมาฝึกใจของเรา และให้รู้ว่าใจถ้าฝึกไว้ดีแล้ว มันก็จะนำสุขมาให้ หรืออย่างน้อยๆ ก็ทำให้ทุกข์น้อยลง.