พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็น วันที่ 7 เมษายน 2567
เราคงทราบดีว่าไอน์สไตน์เป็นอัจฉริยะทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะฟิสิกส์ แต่ที่จริงเขาเป็นคนที่มีความรอบรู้เกี่ยวกับชีวิต เกี่ยวกับโลก ไม่ใช่เฉพาะโลกทางวัตถุ
เขาเคยจำแนกคนว่ามี 3 ประเภท ประเภทแรก คือ คนอ่อนแอ ประเภทที่ 2 คือ คนเข้มแข็ง ประเภทที่ 3 คือ คนฉลาด และสิ่งที่จะจำแนกแยกแยะว่าใครเป็นคนประเภทใด ดูจากปฏิกิริยาเวลามีอะไรมากระทบ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูด เขาบอกว่า คนอ่อนแอจะชอบแก้แค้นหรือเอาคืน ส่วนคนแข็งแรงหรือเข้มแข็งจะให้อภัย คนฉลาดจะไม่ใส่ใจหรือไม่ถือสา
เป็นการจำแนกที่กระชับมาก ใช้คำสั้น ๆ คนอ่อนแอชอบแก้แค้นและเอาคืน ส่วนคนเข้มแข็งชอบให้อภัย คนฉลาดไม่ถือสาหรือว่าไม่ใส่ใจ อันนี้เป็นปฏิกิริยาเวลามีอะไรมากระทบ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูด
คนอ่อนแอแก้แค้นหรือเอาคืน เพราะอะไร เพราะว่ามีความโกรธ มีความแค้น เมื่อมีอะไรมากระทบ การปล่อยให้ความโกรธครอบงำใจจนกระทั่งอดรนทนไม่ได้ ต้องตอบโต้หรือเอาคืนด้วยคำต่อว่าด่าทอหรือการกระทำ แปลว่ามีความอ่อนแอทางจิตใจ หรือจิตใจพ่ายแพ้ต่อโทสะได้ง่าย
บางทีแค่มีอะไรมากระทบเบา ๆ อาจจะแค่คำนินทาหรือว่าคำปรามาสดูถูก ก็โกรธ โกรธจนกระทั่งตอบโต้หรือเอาคืน หรือว่าบางทีอาจจะทำอะไรที่รุนแรงกว่านั้น แม้จะมีอะไรมากระทบเบา ๆ ก็ปล่อยให้ความหงุดหงิด ความไม่พอใจนั้นครอบงำใจ อาจจะถึงกับโมโหตัวสั่นหรือว่าโวยวาย
อันนี้เป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายของคนอ่อนแอ อ่อนแอในที่นี้หมายถึงอ่อนแอทางด้านจิตใจ พ่ายแพ้ต่อความหงุดหงิดซึ่งเป็นโทสะตัวเล็ก ๆ โทสะมีหลายระดับ ความหงุดหงิดเป็นโทสะระดับต่ำ ๆ แต่ว่าคนที่อ่อนแอนี้จะพ่ายแพ้แม้กระทั่งโทสะระดับต่ำ ๆ คือ ความหงุดหงิด เจออะไรมากระทบนิดหน่อยก็ไม่ได้แล้ว จะโวยวายตีโพยตีพายหรือว่าเอาคืน นี่คือความหมายของคำว่าคนอ่อนแอ
สำหรับคนเข้มแข็ง หมายความว่าจิตใจเขามีความเข้มแข็ง ไม่พ่ายแพ้ต่อโทสะง่าย ๆ อาจจะเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ อาจจะเป็นผู้หญิงตัวบอบบาง แต่ว่าหากว่าจิตใจเข้มแข็ง ไม่ตกอยู่ในอำนาจของโทสะง่าย ๆ อันนี้เป็นคนเข้มแข็ง
สิ่งที่จะช่วยทำให้ไม่ตกอยู่ในอำนาจของโทสะก็คือ การรู้จักให้อภัย หรือจะเรียกว่าการให้อภัยเป็นเครื่องหมายของการเอาชนะความโกรธได้ อันนี้ตรงกับคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่ท่านบอกว่า พึงเอาชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ
ความไม่โกรธต้องอาศัยกำลังจิตที่เข้มแข็งกว่า คนที่โกรธง่าย จิตใจเขาอ่อนแอ แต่คนที่จะครองใจในยามที่เจอความโกรธแล้วรักษาใจไม่ให้โกรธได้ ถือว่าเข้มแข็ง และเพราะเข้มแข็งจึงเป็นผู้ชนะ เป็นการชนะที่ทำได้ยาก แต่ที่จริงแล้วไม่ชนะใคร ชนะตัวเอง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ชนะกิเลสหรือโทสะที่เกิดขึ้นในใจ
คนที่มีความเข้มแข็ง เขาจะสามารถให้อภัยได้ง่าย แต่คนจำนวนไม่น้อยให้อภัยยาก เพราะว่าความโกรธมันครอบงำใจ พอความโกรธครอบงำใจก็ไม่ยอมที่จะให้อภัย เพราะให้อภัยเมื่อไร ความโกรธนั้นจะเลือนหายไปจากใจ ความโกรธยอมไม่ได้ เหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่ต้องการพยายามอยู่ให้ยืนยาวที่สุด
ความโกรธรู้ว่าถ้าจะอยู่หรือครองจิตครองใจคนได้นาน คนนั้นต้องไม่รู้จักการให้อภัย แล้วมันจะสรรหาข้ออ้างต่าง ๆ ว่าเราไม่ควรให้อภัย หรือมีเหตุผลข้ออ้างเพื่อที่จะให้เราโกรธไปได้นาน ๆ เช่นว่า “ต้องโกรธ ต้องด่ามันเพื่อสั่งสอน”
หรือบางทีมีความระลึกได้ขึ้นมาว่า โกรธแล้ว หรือด่าเขาไปแล้ว ทำร้ายเขาไปแล้ว จะเกิดผลกระทบตามมา อาจจะเป็นที่รังเกียจของผู้คน หรืออาจจะถึงกับติดคุกติดตาราง ความโกรธจะบอกว่า “ถึงติดคุกกูก็ยอม ขอให้ได้ด่ามัน ขอให้ได้ทำร้ายมัน”
บางทีมีเหตุผลแค่นี้ ใจเราก็คล้อยตาม เรียกว่าใจอ่อน ยอมตาม หรือคล้อยตามเหตุผลของกิเลส คือตัวโทสะ จึงทำตามที่มันสั่ง บางทีถึงกับทำร้ายคนที่ตัวเองรัก เป็นพ่อก็ดี เป็นแม่ก็ดี บางทีเป็นลูกก็ดี
บางคนรักลูกมาก พอแก่ชราก็ยกมรดกให้ลูก แม้กระทั่งบ้าน ที่ดิน และเงินในธนาคาร ด้วยความคาดหวังว่าลูกจะดูแลพ่อ ครั้นพ่อป่วย ที่จริงก็ป่วยอยู่แล้ว แต่พอป่วยหนักก็ขอให้ลูกช่วยออกค่ารักษาพยาบาลให้ ลูกก็บ่ายเบี่ยง พ่อโกรธมาก
ตัวเองไม่มีทางไป เงินที่ตัวเองเหลืออยู่ก็ไม่มาก เพราะว่ายกให้ลูกสาวหมด แต่พอลูกสาวได้เงินไปแล้ว ไม่อินังขังขอบพ่อ หรือมิฉะนั้นตัวเองก็คิดไปอย่างนั้นว่าลูกสาวไม่อินังขังขอบ ขอเงินลูกสาวเพื่อเป็นค่ารักษา ลูกสาวไม่ให้ บ่ายเบี่ยง พ่อจึงโกรธถึงขั้นยิงลูกสาวตาย ตอนนั้นโกรธจัด คงมีเหตุ แล้วหลงเชื่อเหตุผลของความโกรธว่า “ลูกสาวแบบนี้มันเนรคุณ ไม่สมควรเกิดเลยด้วยซ้ำ คนเลวแบบนี้อย่าอยู่ให้รกโลกเลย”
นี่เป็นเหตุผลข้ออ้างของความโกรธที่ล่อหลอกให้คนเราสามารถทำร้ายลูกของตัวเอง หรือบางทีไม่ใช่ลูก อาจจะเป็นพ่อหรือแม่ด้วยซ้ำ ความโกรธสรรหาเหตุผลสารพัดเพื่อให้เราทำตามอำนาจของมัน แล้วคนที่ใจอ่อนก็จะโอนอ่อนผ่อนตามหรือคล้อยตามเหตุผลของความโกรธ ทำตามที่มันสั่ง ทำสำเร็จเกิดรู้ตัวขึ้นมาว่า “ตายแล้ว ฉันทำอะไรลงไป”
อย่างชายคนนั้น พอฆ่าลูกเสร็จ ตกใจว่า “ฉันทำอะไรลงไป” ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกลับคืนมา แล้วนึกถึงคุกตารางที่รออยู่ นึกถึงสายตาของผู้คนที่จะมองตัวเองอย่างไร เคยชื่นชมพอใจว่า “ใคร ๆ เขามองว่าฉันเป็นคนธรรมะธรรมโม เป็นคนรักลูก ขนาดยกมรดกให้ลูกหมด แต่วันนี้ฆ่าลูกกับมือ แล้วฉันจะทนเห็นคนรุมประณามหยามเหยียดฉันได้อย่างไร” ทนไม่ได้ ไม่กล้าสู้หน้าผู้คน แล้วคงจะรู้สึกผิดอย่างรุนแรง สุดท้ายจึงยิงตัวเองตาย
นี่เป็นเพราะว่าหลงเชื่ออำนาจของความโกรธ ซึ่งเป็นลักษณะของคนที่อ่อนแอ อ่อนแอ คือ หนึ่ง ยอมให้ความโกรธครอบงำจิตได้ง่าย แม้กระทั่งความหงุดหงิดเพียงเล็กน้อยก็ครอบงำจิต สอง เชื่อมัน เชื่อเหตุผล เชื่อข้ออ้าง เชื่อคำสั่ง คำบงการของมัน โอนอ่อนคล้อยตามจนกระทั่งทำตามที่มันสั่ง สุดท้ายก็เสียผู้เสียคนไป
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เวลาใครโกรธเรา ไม่พอใจ แล้วเราโกรธตอบ เราแย่กว่าเขา เวลาเราโกรธตอบหรือเราคิดจะเอาคืนใครก็ตาม เราอาจจะมีเหตุผลว่า “มันเลว มันชั่ว ต้องจัดการกับมัน” แต่ว่าทันทีที่เราโกรธและคิดจะเอาคืน พระพุทธเจ้าว่าเราแย่กว่าเขาแล้ว เราไม่ได้ดีกว่าเขา หรือไม่ใช่เขาเลวกว่าเรา เราแย่หรือเลวกว่าเขาแล้ว เพราะว่าเรากำลังทำลายประโยชน์ 2 ประการ คือ ประโยชน์ตน และ ประโยชน์ท่าน
ประโยชน์ท่าน ก็ชัดอยู่แล้ว เราไปด่าเขา ทำให้เขาเสียชื่อ เราไปทำลายข้าวของเขา ทำให้ทรัพย์สมบัติของเขาเสียหาย อันนี้เรียกว่าทำลายประโยชน์ท่าน แต่ทำลายประโยชน์ตน ก็คือว่า เผาลนจิตใจด้วยความโกรธ ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับใจของตัว แล้วอาจจะทำลายชื่อเสียงเกียรติยศ หรือว่าความเป็นอยู่ผาสุก เพราะว่าทำอะไรลงไป บางทีต้องติดคุกติดตาราง จมอยู่กับความรู้สึกผิดจนกระทั่งไม่อยากอยู่เป็นผู้เป็นคน
อันนี้เรียกว่าทำลายประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน เรียกว่าเลว 2 อย่าง นี่คือผลที่เกิดขึ้นจากการที่ยอมตามอำนาจของความโกรธ
ส่วนคนเข้มแข็งเขาจะรู้ว่า การโกรธตอบหรือการเอาคืนมีแต่เสียกับเสีย คือ เสียประโยชน์ของตน แล้วเสียประโยชน์ของผู้อื่น เพราะฉะนั้นจึงไม่คิดที่จะรักษาหรือประคองความโกรธเอาไว้ ใช้การให้อภัย พอให้อภัย ความโกรธก็หมดฤทธิ์หมดเดช
แต่ที่จริงคนเข้มแข็งเขาทำก่อนหน้านั้นแล้ว ก็คือว่า มีความโกรธก็ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออำนาจของความโกรธ ไม่ปล่อยให้ความโกรธครองใจ หรือถึงครองใจก็ครองใจแต่เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นสะเก็ดของอารมณ์โทสะ เพราะฉะนั้นการให้อภัยจึงทำได้ง่าย
ถ้าความโกรธครองใจ ให้อภัยยาก เพราะคิดที่จะเอาคืน คิดแต่จะตอบโต้ แต่ถ้าความโกรธเป็นแค่สะเก็ดอารมณ์ การให้อภัยก็เป็นเรื่องง่าย เรื่องอย่างน้อยก็มีสติระลึกได้ว่า ขืนทำตามอำนาจความโกรธ หรือแม้แต่ปล่อยให้ความโกรธครองใจ มีแต่แย่ คนอื่นอาจจะยังไม่ทันได้รับผลของการกระทำ แต่ตัวเราเองได้ผลแล้ว เช่น นอนไม่หลับ หรือว่าความดันขึ้น
บางคนอายุไม่มาก ปวดหัว ปวดท้องเป็นประจำหลายปี ความดันก็ขึ้น ไปหาหมอเท่าไรก็ได้รับการเยียวยาบรรเทาชั่วครั้งชั่วคราว ต้องไปหาหมอซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งวันหนึ่งหมอให้เขาเล่าเรื่องราวของตัวเขาเองให้ฟัง
เขาเล่าว่า เขาเป็นเด็กกำพร้า อยู่ในการดูแลของพี่สาว 2 คน พอพูดถึงพี่สาวก็มีอาการโกรธ เพราะพี่สาวชอบใช้กำลัง ชอบใช้อำนาจ เอาเปรียบเบียดเบียนเธอ หมอรู้เลยว่าเป็นเพราะอะไร จึงบอกให้เธอให้อภัยพี่สาว เธอไม่ยอม โกรธหมอด้วยซ้ำ
ความโกรธเป็นอย่างนี้ เวลาใครแนะนำว่าให้อภัยไปเถอะ จะโกรธคนที่มาแนะนำเช่นนั้น หายไปเลย ไม่ไปหาหมออีก แต่ 1 ปีผ่านไปก็ส่งข่าวมาบอกหมอว่าตอนนี้อาการปวดหัวปวดท้องเรื้อรังหายแล้ว ความดันสูงก็ลดลงแล้ว เพราะอะไร เพราะทำตามที่หมอแนะนำ คือให้อภัยพี่สาว ตัวเองไม่เป็นโรคอะไร อวัยวะปกติทุกอย่าง แต่พอโกรธ ปล่อยให้ความโกรธครอบงำใจ จึงเจ็บป่วย
อันนี้เรียกว่า เมื่อไรก็ตามที่เราปล่อยให้ความโกรธครอบงำ มีแต่เสียกับเสีย ก็คือเสียประโยชน์ตน และเสียประโยชน์ท่าน คนที่เข้มแข็งเขารู้ว่าความโกรธเป็นสิ่งที่บั่นทอนทำลายประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ฉะนั้นจึงเลือกที่จะให้อภัย
ส่วนประเภทที่ 3 คือคนที่ฉลาด ฉลาด ก็คือ ไม่ใส่ใจ ใครจะมาพูด ใครจะทำอะไร แม้จะมาด่าว่าก็ไม่ใส่ใจ ไม่ถือสา อันนี้ในแง่หนึ่งแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของจิตใจชนิดที่ความโกรธทำอะไรไม่ได้ แล้วไม่ใช่แค่นั้น ต้องเป็นคนที่มีปัญญาด้วย
สมัยที่หลวงพ่อประสิทธิ์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านครองวัดถ้ำยายปริกที่เกาะสีชัง มีคราวหนึ่งท่านจะสร้างกำแพงที่หน้าวัด ให้คนขนหิน เป็นศิลาแลง หินหลายก้อนมาวางกองไว้ที่หน้าวัด แต่ปรากฏว่าเข้าไปล้ำในที่ที่อยู่หน้าวัด
เจ้าของที่เป็นเจ้าพ่อ เป็นนักเลงที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับทางวัด เพราะว่าอยากจะยึดที่วัด เพราะสมัยก่อนเกาะสีชังเป็นที่ท่องเที่ยว ถ้าได้ที่ก็สามารถจะทำมาหาเงินได้เพิ่มขึ้น หินที่มากองล้ำที่ของเขาแค่นิ้ว 2 นิ้ว แต่ว่าเจ้าของที่ เนื่องจากอยากจะหาเรื่องหลวงพ่ออยู่แล้ว ก็ถือโอกาส แล้วคงจะรู้สึกไม่พอใจด้วยที่มารุกล้ำที่ของกู ๆ ๆ
คนที่หลงในทรัพย์จะมีความยึดมั่นในของกูมาก แม้ก้อนหินจะล้ำในที่ของตัวเพียงแค่นิ้วเดียว ก็โกรธ มาที่หน้าวันเลย แล้วก็ยืนตวาด “เฮ้ย ใครหน้าไหนวะ มันเอากองหินกองดินมาล้ำที่ของกู ใครวะมันบังอาจ” ตะโกนหน้าวัด
บังเอิญหลวงพ่อประสิทธิ์ท่านนั่งพักอยู่ตรงกุฏิของท่านซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ประตู ท่านได้ยินจึงออกมา ไม่ได้มีสีหน้าโมโหเลย ยิ้มแย้ม แล้วพูดกับโยมคนนั้นว่า “เออแน่ะโยม จะเอาอะไรกับพระกับเจ้ากันนักหนา หลวงพ่อขอวางก้อนหินเอาไว้ตรงนั้นสักคืนหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้จะให้คนขนออกไป ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันก็ได้”
ปรากฏว่าชายคนนั้นไม่พอใจ ตะโกนขึ้นมาเลย แถมชี้หน้าที่หลวงพ่ออีก “ไม่รู้ล่ะ ประเดี๋ยวพวกมึง” ใช้คำว่า พวกมึง เลยนะ “ต้องมาขนก้อนหินนี้ออกไปจากที่ของกูภายในวันนี้เลย ไม่อย่างนั้นกูจะไปฟ้องนายอำเภอกับตำรวจ เอาพวกมึงเข้าคุกให้หมด ข้อหาบุกรุกที่ของกู พวกมึงแค่ไอ้พระเฮงซวย” พูดกับหลวงพ่ออย่างนั้น
หลวงพ่อประสิทธิ์ท่านยิ้ม ท่านไม่โกรธ ไม่หงุดหงิดอะไรเลย ท่านอธิบายแล้ว แต่แม้จะถูกด่ากลับมาท่านก็ไม่โกรธ ท่านกลับไปนั่งพักผ่อนหน้าที่กุฏิของท่าน ไม่มีอาการหงุดหงิด ไม่แสดงความโกรธอะไรเลย เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วันรุ่งขึ้นนายอำเภอ ตำรวจมา พอมาดูเหตุการณ์แล้วพบว่าไม่มีอะไร กองอิฐล้ำที่ของผู้มีอิทธิพลคนนั้นนิดหน่อยเอง แล้วหลวงพ่อท่านบอกว่าจะย้ายกองอิฐนั้นให้เสร็จวันนี้แหละ ก็เป็นอันเลิกรากันไป
แต่ปรากฏว่าลูกศิษย์ของหลวงพ่อท่านคนหนึ่งโกรธมาก ที่ได้ฟังเรื่องราวและได้ยินคำสบประมาทของเจ้าพ่อคนนั้น โมโหมาก มาพูดกับหลวงพ่อว่า “ยอมมันได้อย่างไร” หลวงพ่อท่านบอกว่า “ปัดโธ่เอ๋ย แกไปคิดมากกับเรื่องนี้ทำไม คำพูดของคนก็เหมือนกับลมปาก พูดไปมันก็ดับไป ลมแล้งก็ดับไปทุกคำไป จะไปเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ทำไมให้เสียเวลา เสียอารมณ์”
หลวงพ่อท่านเป็นพระที่มีคนเคารพนับถือมาก คนกราบไหว้ แต่ท่านไม่ได้เพลินกับคำยกย่องหรือการกราบไหว้ ถึงเวลามีคนมาด่าท่าน สบประมาทท่าน เหยียดหยามท่าน ท่านยังนิ่งเป็นปกติ แล้วท่านไม่ใส่ใจเลย ท่านไม่ถือสา ไม่ใส่ใจ ไม่เอาคำพูดของคนเหล่านั้นมาเป็นอารมณ์ อันนี้เป็นนิสัยของคนที่ฉลาด
แล้วคนฉลาด อย่าว่าแต่คำพูดที่เหยียดหยามหรือคำด่าเลย แม้กระทั่งถึงเวลาที่ถูกทำร้ายก็สามารถจะให้อภัยได้ แล้วไม่ถือสาคนที่ทำร้ายท่าน
อย่างเมื่อสัก 60-70 ปีที่แล้ว จีนกรีฑาทัพเข้าไปยึดทิเบต แล้วพระทิเบตจำนวนมากถูกจับเข้าคุกเพราะว่าสอนพุทธศาสนาสวนทางกับนโยบายของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ เขาต้องการให้พระทิเบตมาสอนคอมมิวนิสต์ แต่พระเหล่านั้นท่านไม่ยอม
มีพระรูปหนึ่ง ระดับริมโปเช (Rimpoche) เลย เป็นอาจารย์ของทะไลลามะ เป็นพระผู้ใหญ่ ถูกจับเข้าคุกถึง 20 ปี ระหว่างที่ถูกจับก็ถูกทรมานด้วย ตอนหลังเขาคงเห็นว่าท่านไม่มีพิษไม่มีภัยอะไรแล้ว จึงปล่อย ท่านจึงหาโอกาสลี้ภัยไปอินเดีย ไปถึงธรรมศาลา ทะไลลามะทราบก็ดีใจ เพราะเป็นอาจารย์ของท่าน จึงไปต้อนรับ แล้วได้สนทนากัน
มีตอนหนึ่ง ทะไลลามะถามริมโปเชท่านนี้ว่า ตอนที่ท่านถูกจับกุมคุมขัง ตอนนั้นมีช่วงใดที่ท่านรู้สึกกลัวมากที่สุด หรือเป็นช่วงที่ท่านรู้สึกแย่ แทนที่จะตอบว่าตอนที่ท่านถูกทรมาน แต่ท่านบอกว่า ช่วงที่ท่านกลัวมากสุด คือกลัวว่าท่านจะไปโกรธคนที่ทรมานท่าน
อันนี้ชวนให้น่าคิดว่า แทนที่จะนึกถึงคนที่ทรมานท่าน หรือนึกถึงการทรมานท่านว่าเป็นช่วงที่เลวร้าย ท่านกลับบอกว่า กลัวที่จะโกรธหรือคิดไม่ดีกับคนที่ทรมานท่าน เพราะอะไร เพราะว่าถ้าโกรธคนเหล่านั้น ท่านจะมีความคิดอยากจะทำร้าย อยากจะพูดร้าย ซึ่งผิดศีล และการผิดศีลก็เป็นการสร้างทุกข์เพิ่มเติมให้กับตัวเอง ต้องรับวิบากที่จะตามมา
แต่อีกเหตุผลหนึ่งคงเป็นเพราะท่านรู้ว่าถ้าท่านโกรธ ท่านจะไม่ได้แค่ทุกข์กายอย่างเดียว แต่ต้องทุกข์ใจด้วย ทหารจีนทำร้ายท่านได้แต่กาย แต่ว่าทำร้ายจิตใจท่านไม่ได้ แต่เมื่อไรก็ตามที่ท่านโกรธ จิตใจท่านจะเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที เรียกว่าทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ
ความทุกข์กายเกิดจากผู้ทรมาน แต่ความทุกข์ใจเกิดจากความโกรธที่มีต่อคนที่ทำร้ายท่าน ท่านจึงคิดว่า ในเมื่อจะทุกข์ทั้งที ทุกข์อย่างเดียวก็พอคือทุกข์กาย แต่ว่าจะไม่ปล่อยใจให้โกรธ เพราะถ้าโกรธแล้วก็จะทุกข์ใจไปด้วย
อันนี้เป็นนิสัยของผู้มีปัญญาที่รู้ว่า ความโกรธทำร้ายจิตใจของเรา แล้วสามารถจะผลักให้เราทำชั่วได้ และท่านเลือกที่จะไม่สนใจ ไม่เก็บเอาเรื่องราวของคนที่ทรมานท่านมารกหัวรกใจท่าน ไม่สนใจ ท่านก็สามารถที่จะก้าวเดินหรือใช้ชีวิตต่อไปได้โดยที่ไม่มีความรู้สึกฝังใจอยู่กับเหตุการณ์ในอดีต หรือคับแค้นพยาบาทคนที่ทำร้ายท่าน
นิสัยของผู้ที่มีปัญญาคือ เมื่อถูกทำร้าย ไม่ใช่แค่ถูกด่า ถูกเหยียดหยาม แต่ว่าถูกทำร้ายทางกาย แต่เลือกที่จะไม่ใส่ใจกับการกระทำของคนเหล่านั้น ไม่แม้กระทั่งโกรธคนเหล่านั้นด้วย
เพราะฉะนั้น ที่ไอน์สไตน์เขาว่า คนฉลาดเขาจะไม่ใส่ใจ เขาไม่ถือสากับการกระทำและคำพูดที่มากระทบหรือทำร้ายตน เป็นคำพูดที่น่าคิดมากทีเดียว ซึ่งสอดคล้องกับคติทางพุทธศาสนาด้วย.