พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 6 เมษายน 2567
มีผู้หญิงคนหนึ่ง พ่อแม่มีลูก 5 คน เธอเป็นคนที่ 4 ในบรรดาลูก 5 คน เธอเป็นคนที่แม่ไม่เคยมีความรักให้เท่าไหร่ แม่รักลูกคนที่ 1 คนที่ 2 เพราะเรียนเก่ง รักคนที่ 3 เพราะว่าสุขภาพไม่แข็งแรง ส่วนเธอคนที่ 4 แม่หาว่าเธอเป็นตัวซวย เพราะว่าพอเกิดมาพ่อแม่ก็มีปัญหาติดขัดด้านการเงิน ส่วนลูกคนที่ 5 คนสุดท้องแม่รักพ่อก็รัก เพราะถือว่าเป็นตัวนำโชค เกิดมาฐานะการเงินก็ดีขึ้น ค้าขายได้คล่องขึ้น
เธอบอกว่าตั้งแต่เล็กถูกพ่อแม่ทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจมาโดยตลอด มีบางช่วงแม่ก็โกรธเธอมาก บอกว่า “มึงไม่น่าเกิดมาเป็นลูกกูเลย โกรธเพราะอะไร โกรธเพราะว่าเธอไปเข้าห้องน้ำแล้วเธอใช้ทิชชู แล้วมันก็ไปอุดโถส้วม แม่ก็โกรธ บางทีโกรธมากๆ ผลักตกบันไดก็มี
เธอบอกว่า ทำอะไรไม่เคยดีในสายตาของแม่เลย ไม่เหมือนลูกคนอื่นๆ เรียกว่าอยู่ด้วยความทุกข์ เจ็บช้ำน้ำใจมาโดยตลอด อยู่บ้านก็เหมือนกับไม่มีตัวตนในสายตาของพ่อแม่ (ที่จริงไม่มีตัวตนก็ดี) แต่ว่าตัวตนหรือภาพของตัวในสายตาพ่อแม่มันติดลบ โดยเฉพาะกับแม่ มาเริ่มมีตัวตนที่บ้านก็ตอนที่เรียนจบ ทำงานหาเงิน ทำงานหาเงินเข้าบ้านได้ แล้วก็มีเงินมาให้แม่บ้าง แต่ว่าในบรรดาลูก 5 คนเธอก็เรียกว่าติดลบ
ตอนหลังแม่แก่ชรา แต่ลูกๆ ก็เกี่ยงกันโดยเฉพาะลูกที่เป็นคนโปรดของแม่ ไม่ค่อยกระตือรือร้นในการที่จะดูแลแม่เท่าไหร่ เพราะที่จริงก็ตั้งแต่เล็กเลย ลูกๆ ก็ไม่ได้มีความสามัคคีกัน ถูกสอนให้แข่งขันกัน แข่งขันกันเรื่องการเรียน ไม่ค่อยมีความรักกันเท่าไหร่ หรือจะบอกว่าพ่อแม่สั่งให้รักแต่ไม่เคยทำตัวเป็นแบบอย่าง
ฉะนั้นพอแม่แก่ตัวลงลูกๆ ก็ไม่ค่อยจะใส่ใจในการดูแลแม่ผู้ชราเท่าไหร่ เธอไม่ค่อยจะพูดถึงพ่อ พูดถึงแต่แม่ ลูกๆ ดูแลแม่เหมือนทำไปตามหน้าที่ เสร็จแล้วก็มาเถียงกันว่าใครดูแลแม่มากกว่ากัน พยายามคาดคั้นเคี่ยวเข็ญให้คนอื่นดูแลแม่ให้มากขึ้น เหมือนกับว่าการดูแลแม่กลายเป็นภาระ ต่างคนต่างไม่ยอมเสียเปรียบ
เสียเปรียบที่ว่าหมายถึงดูแลมากกว่า นั่นคือเสียเปรียบ อย่างน้อยต้องดูแลเท่าๆ กัน แน่นอนไม่ว่าคนอื่นจะดูแลยังไง คนที่เหลือก็มองว่ายังทำน้อยไป น้อยกว่าฉัน หรือฉันดูแลมากกว่า ตัวเธอก็โดนพี่น้องคาดคั้นและกดดันด้วย ทั้งที่มีครอบครัวไปอยู่ต่างประเทศ ก็ถูกพี่น้องตำหนิว่า ไม่สนใจแม่เลย เอาแต่ครอบครัวของตัว ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ตอนหลังเธอทนกดดันไม่ไหว ก็เลยเดินทางมาดูแลแม่ 2 เดือนเต็ม นอนกับแม่ ทำอะไรให้แม่ แต่แม่ก็ไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่
ตัวเธอเองทีแรกก็คิดว่า ให้อภัยแม่ ไม่ติดใจในสิ่งที่แม่ได้ทำสมัยที่เธอยังเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น คิดว่าในใจก็คงมีแต่ความสงสารแม่ แต่พอกลับมาดูแลแม่ เจอปฏิกิริยาของแม่ รวมทั้งความทรงจำในอดีตที่มันผุดขึ้นมา ก็ทำให้รู้ว่า ยังให้อภัยแม่ไม่ได้ ยังรักแม่ไม่ลง แต่ว่าที่ทำไปก็ถือว่า ทำไปตามหน้าที่ ไม่ได้ทำด้วยความรัก
ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ได้ต่างจากลูกคนอื่นเท่าไหร่ เพราะไม่ได้ทำด้วยความรัก ด้วยความกระตือรือร้นเท่าไหร่ แต่ทำเพราะเป็นหน้าที่ เธอก็ไม่สบายใจว่า ทำไมเรามีความรู้สึกกับแม่แบบนี้ ใจหนึ่งก็อยากจะให้อภัยแม่ อยากจะรักแม่ แต่ก็ยังรักไม่ลง
เธอเขียนมาถามอาตมาว่า ทำยังไงจะหลุดพ้นจากความรู้สึกนี้ หลุดพ้นจากวงจรที่มีความขุ่นมัว ยังมีความฝังใจกับการกระทำของแม่ ซึ่งก็นำไปสู่การกระทำที่แม้อยากจะทำดี แต่ว่ามันก็ไม่ได้ทำด้วยใจจริงๆ ทำด้วยความรู้สึกเป็นหน้าที่ ก็วนเวียนไปอย่างนี้ ด้วยความทุกข์ที่เธอมีความรู้สึกแบบนี้กับแม่ เธอบอกว่าตั้งใจจะพยายามทำดีกับแม่ เผื่อว่าจะได้ใช้เวรใช้กรรมกันให้หมด ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องไปเจอกันอีก
ฟังดูเธอมีความทุกข์กับความรู้สึกเป็นลบต่อแม่ที่มันรุมเร้า ก็เลยบอกเธอว่า มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ที่เธอมีความรู้สึกเช่นนี้ แต่ก็ยังถือว่าเธอได้พยายามที่จะรักแม่ แม้ว่าตอนนี้ยังรักแม่ไม่ลง อยากจะให้อภัยแม่ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ให้อภัยไม่ได้ เพียงแค่มีความอยากแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี สำหรับทุกคนที่มีประสบการณ์ที่เลวร้ายจากการกระทำและคำพูดของแม่
เพราะมีหลายคนที่เรียกว่าไม่คิดที่จะให้อภัย ไม่มีความอยากจะให้อภัย เวลาพูดถึงแม่ก็มีแต่ความโกรธ ความเกลียด แต่ว่าฟังจากน้ำเสียงของเธอก็ไม่ได้ถึงกับมีความโกรธ ความเกลียด แม้จะยังให้อภัยไม่ได้ แต่ยังอยากจะให้อภัย แม้จะรักไม่ลงแต่ว่าก็ยังอยากจะรักให้ลง หรืออยากจะรักให้มากขึ้น อันนี้ก็ถือว่าพยายามทำแล้ว
แล้วก็มาถูกทางแล้ว อย่างน้อยก็รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่มันดีสำหรับเธอ เพราะบางคนไม่เห็นโทษของความโกรธ ความเกลียด ปล่อยให้ความโกรธ ความเกลียด มันเผาลน แล้วก็หวงแหนความโกรธ ความเกลียดเอาไว้ ไม่คิดที่จะให้อภัย เพราะรู้ว่าถ้าให้อภัยแล้วความโกรธความเกลียดมันก็จะจืดจางลง ไม่คิดที่จะอยากรัก
คนบางคนถึงยังรักไม่ได้ แต่เพียงแค่มีความอยากจะรักแม่ให้ลงก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ถือว่ามีความพยายาม ก็บอกเธอว่า “ให้ยอมรับความรู้สึก” ความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้นในใจ แม้ว่าจะยังให้อภัยไม่ได้ แม้ว่าจะยังรักแม่ไม่ได้ หรือบางทีก็ยังมีความรู้สึกเคือง หรืออาจมีความแค้น หรือแม้จะมีความโกรธ อย่างน้อยการยอมรับมันก็ทำให้ไม่ไปซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับจิตใจของตน
เพราะคนเราถ้าเกิดว่า มันมีความรู้สึกลบแล้วยอมรับไม่ได้ มันก็จะนำไปสู่การกดข่มซึ่งมันก็เท่ากับเป็นการต่ออายุให้ความรู้สึกนั้น การที่คนเราจะเอาชนะความรู้สึกลบได้ บันไดขั้นแรกก็คือการยอมรับมัน ยอมรับว่ามันมีอยู่ ดีกว่าปฏิเสธว่าเราไม่มีความรู้สึกแบบนี้ คนบางคนยอมรับความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้ ซึ่งมันก็สร้างความทุกข์ บางทีไม่ใช่แค่ทุกข์ใจ ทุกข์กายด้วย
อย่างมีบางคน ผู้ชายทะเลาะกับพ่อ พ่อก็ด่าว่า ตอนเด็กๆ ก็ทุบตี ตอนหลังพอลูกชายโตขึ้นเป็นวัยรุ่น พ่อก็ด่าว่าลูกชาย กล่าวหาลูกในสิ่งที่ลูกไม่ได้ทำ ลูกโกรธมาก ความรู้สึกโกรธมันถึงขั้นว่าอยากต่อยเลย ต่อยพ่อ แต่ก็ห้ามเอาไว้ ยั้งเอาไว้ได้ทัน
มารู้ว่าตัวเองโกรธพ่อขนาดจะต่อยพ่อ ตกใจมากยอมรับไม่ได้ว่า เราโกรธพ่อขนาดที่จะทำร้ายพ่อ คนดีเขาไม่ทำอย่างนั้นกับพ่อ ไม่ทำอย่างนั้นกับผู้มีพระคุณ ไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับว่าตัวมีความโกรธ แล้วก็กดความโกรธเอาไว้ เพราะว่าโกรธพ่อไม่ดี แล้วก็ไม่ยอมรับด้วยว่าตัวเองมีความโกรธ กดข่มความรู้สึกนั้นเอาไว้ จนกระทั่งมือที่จะต่อยพ่อมันเดี้ยงเลย มันยกไม่ขึ้นเลย อาการเหมือนอัมพาตเลย อยู่ดีๆ แขนก็ยกไม่ขึ้น ลีบไปเลย ใช้อะไรไม่ได้
ทีแรกก็ไปหาหมอกายภาพ เท่าไหร่ๆ ก็ไม่สำเร็จ ตอนหลังไปหาหมอจิตเวช หมอให้พูดเล่าย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์วันนั้นที่นึกอยากจะต่อยพ่อด้วยความโกรธ พอใจมันยอมรับได้ว่าตอนนั้นโกรธพ่อมาก อยากระบายความโกรธใส่ อารมณ์ความโกรธที่มันเก็บไว้มันทะลักทะลายออกมา ปรากฏว่าแค่นี้ก็หายเลย แขนหายเดี้ยงเลย
ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าจิตไร้สำนึกมันถูกกดเอาไว้ ความโกรธมันถูกเก็บไว้ในจิตไร้สำนึก ทีนี้พอไปกดมันเข้า ไม่ยอมรับว่าฉันเคยมีความคิดที่จะต่อยพ่อ ทำร้ายพ่อ การเก็บกดความรู้สึกอันนั้นเอาไว้ ไม่ให้จิตใจรับรู้ ความโกรธก็ไม่ไปไหน มันถูกกดไว้ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก แล้วมันก็ไปทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา ส่งผลให้แขนเดี้ยงไปเลย ถึงแม้จะไม่ทุกข์กาย แต่มันก็ทุกข์ใจ
เพราะฉะนั้นการยอมรับว่า มันมีความรู้สึกใดๆ เกิดขึ้นกับใจ เป็นสิ่งที่ต้องทำเบื้องต้นเลย ยอมรับแล้วก็ไม่ตำหนิ ไม่ตำหนิเพราะว่าผู้หญิงคนนี้อย่างน้อยเขาก็พยายาม มีความอยากที่จะให้อภัย มีความอยากที่จะรักแม่ด้วยใจบริสุทธิ์ แบบว่า “รักให้ลง”
แล้วถ้าไม่ตำหนิตัวเองมันก็ไม่สร้างปมใหม่ขึ้นมาในใจ ปมที่เป็นความรู้สึกผิดซึ่งก็เป็นตัวซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับจิตใจของตน เพราะคนเราพอตำหนิตัวเองแล้วมันทำให้พลังลบในใจมันครอบงำ ไม่สามารถที่จะทำสิ่งดีๆ ที่อยากทำได้เลย
ความดีของคนเรา ถ้ามันเริ่มต้นด้วยความห่อเหี่ยว ด้วยความรู้สึกลบ ด้วยความรู้สึกเกลียดชังตัวเองแล้ว มันก็ยากที่จะมีพลังในการทำความดี โดยเฉพาะทำดีกับคนที่ทำได้ยากมาก อย่างในกรณีของเธอคือแม่ แล้วเธอก็พยายามทำความเข้าใจแม่ การที่แม่ปฏิบัติกับเธอ มันผิดวิสัยของคนที่เป็นแม่ แต่ที่แม่ทำอย่างนี้กับเธอได้ ก็อาจจะเป็นเพราะว่ามีความทุกข์ที่เก็บกดในอดีต คนที่มีความทุกข์แล้วเขาไม่ทำอย่างนั้นกับลูก
บางคนเวลาทำอะไรไม่ดีกับคนใกล้ชิดหรือลูกมันแสดงว่าเขามีความทุกข์อยู่ในตัวอยู่ในใจ เขาเลยระบายใส่คนที่อยู่ใกล้ชิด และความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเธอนั้นอาจจะเกิดจากพ่อแม่
แม่อาจจะเคยถูกกระทำรุนแรงจากบุพการี อาจจะถูกแม่ต่อว่า ถูกแม่ทำร้าย เกิดเป็นปมขึ้นมา แล้วพอตัวเองมีลูกก็ระบายความทุกข์นั้นใส่ลูก มันเป็นอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ คนเราก็แปลก เราไม่ชอบใคร เราไม่ชอบการกระทำของใคร แต่เรามักจะซึมซับรับเอาการกระทำของคนนั้นมาไว้กับตัว เสร็จแล้วก็ระบายใส่คนอื่นในโอกาสต่อไป
บางคนไม่ชอบพ่อที่ชอบก้าวร้าว ก้าวร้าวกับลูก ลูกไม่ชอบเลย แต่ลูกก็ซึมซับรับความก้าวร้าวจากพ่อมาไว้กับตัวเต็มๆ แล้วพอมีลูกก็ระบายความก้าวร้าวนั้นใส่ลูก บางคนไม่ชอบที่พ่อที่เจ้าชู้จนทะเลาะกับพ่อ เพราะพ่อเจ้าชู้ มีเมียน้อยแล้วทะเลาะกับแม่ ตัวเอง ทะเลาะกับพ่อ อาจถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน หรือถูกลงไม้ลงมือ
แต่พอตัวเองมีเมียมีครอบครัว ตัวเองก็เอาพฤติกรรมของพ่อนี้มาเต็มๆ เลย ก็คือมีเมียน้อย ไม่ชอบที่พ่อตัวเองมีเมียน้อย แต่ตัวเองพอถึงเวลาก็มีเมียน้อย เพราะว่าอะไรก็ตามที่เราไม่ชอบ ยิ่งเราไม่ชอบ เราก็ยิ่งซึมซับรับเข้ามาในใจเรา เราไม่ชอบความโกรธของพ่อแต่ก็ซึมซับรับเอาความไม่ดีของพ่อมาไว้ในนิสัยของตัว
มันก็เป็นไปได้ แม่ที่ทำไม่ดีกับลูกก็เป็นเพราะว่า ตอนที่ตัวเองเป็นลูก ก็ถูกแม่กระทำย่ำยีมาเหมือนกัน แล้วก็ดีที่ผู้หญิงคนนี้เธอบอกว่า เมื่อเธอมีลูกเธอก็พยายามดูแลลูกอย่างดี ไม่เอาปมที่เคยมีระบายใส่ลูก ซึ่งก็เป็นเรื่องยาก
อันนี้ก็เลยบอกเธอว่า ลองทำความเข้าใจกับแม่ดูว่า ที่แม่เป็นอย่างนี้เพราะว่าเคยประสบความทุกข์ในอดีต สมัยเป็นเด็กถูกพ่อแม่กระทำ เมื่อแม่โตขึ้น พอมีลูก ก็ทำอย่างนั้นกับลูก ถ้าเข้าใจแม่ว่าเคยถูกกระทำสมัยยังเป็นเด็ก ก็จะเข้าใจ เห็นใจแม่มากขึ้น แล้วพอถึงตอนนั้นก็จะให้อภัยแม่ได้
เธอก็ถามว่า การที่เธอคิดลบกับแม่ บางทีอยากให้แม่ตาย จะได้จบๆ กันไปสักที เธอจะได้กลับไปอยู่กับลูก ดูแลลูกที่เมืองนอก หรือการที่เธอเบื่อ เธอเอือมระอากับแม่มันบาปไหม เพราะว่าพุทธศาสนาสอนว่า ลูกต้องมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ถือว่าพ่อแม่เป็นพระในเรือน ก็บอกเธอไปว่า ความคิดของคนเรามันห้ามไม่ได้ ใจคนเรามันสามารถจะคิดลบคิดร้ายได้เสมอ มันคิดอะไรได้ทั้งนั้น
ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ดีว่า ใจเราก็เหมือนกับจาน อาหารทุกชนิด มันไม่มีอาหารใดที่ใส่ไปในจานไม่ได้ อาหารอร่อยก็ใส่จาน อาหารที่ไม่อร่อยก็ใส่จานได้ หรือแม้กระทั่งขยะก็ใส่ในจานได้ ใจเราก็เหมือนกัน มันก็มีความคิดใดๆ เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ข้อสำคัญก็คือว่า เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว อย่าไปคล้อยตามมัน
ถ้าไปคล้อยตามมัน ก็เรียกว่าเกิดมโนกรรมที่เป็นอกุศล หรือเกิดความตั้งใจ เช่น เกิดความโกรธ หรือเกิดความตั้งใจหรือเกิดความอยากที่จะทำร้ายแม่ ด้วยการกระทำหรือคำพูด อันนี้ก็เรียกว่าเป็นบาปแล้ว เพราะเป็นบาปในระดับมโนกรรม แล้วถ้าลืมตัวพูดออกไปตามอารมณ์เหล่านั้น มันก็เป็นวจีกรรมที่เป็นอกุศล หรือถ้าลงมือทำ มันก็เป็นกายกรรมที่เป็นอกุศล อย่างนี้ถึงจะเป็นบาป
แต่ถ้าหากว่า มันเกิดขึ้นแล้ว ก็รู้มัน รู้ทันมัน ไม่หลงถลำเข้าไปจนเกิดความตั้งใจที่จะทำตามความคิดและอารมณ์ มันก็ไม่บาป หน้าที่ของเราคือรู้ทัน รู้ว่ามันเกิดขึ้น แล้วมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น อาจจะเกิดขึ้นไม่ใช่กับพ่อแม่อย่างเดียว อาจจะเกิดขึ้นกับครูบาอาจารย์
พวกนี้ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของใจ มันก็จะไม่ไปตีโพยตีพายโวยวาย หรือว่าทำร้ายตัวเอง ลงโทษตัวเอง โบยตีตัวเองว่าทำไมฉันมีความคิดแบบนี้ จริงๆ แล้วมันเป็นความคิด มันไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่เรา ถ้าเราเห็นมันก็จะรู้ว่า มันเป็นสักแต่ว่าความคิด แต่ถ้าเราเผลอเมื่อไหร่ มันก็เป็นเราเมื่อนั้น เกิดผู้คิด ไม่ใช่แค่ความคิด แต่เป็นผู้คิด ไม่ใช่ความโกรธ แต่เป็นผู้โกรธ
แต่ถ้าเห็นมันไม่คล้อยตามมัน ไม่นานมันก็ดับไป แล้วเธอก็บอกว่าทุกวันนี้ก็พยายามทำดีกับแม่ ดูแลแม่ ถือว่าเป็นการชดใช้กรรม ซึ่งก็ไม่รู้ว่ากรรมที่เธอว่านี้หมายถึงอะไร แต่ที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่เป็นการชดใช้กรรม มันคือการทำกรรมดี
คนไทยเราหลายคน แยกไม่ออกระหว่างการชดใช้กรรมกับการทำกรรมดี ตัวอย่างความหมายของ “การชดใช้กรรม” เช่น ไปลักขโมยแล้วติดคุก ติดคุกถือว่าใช้กรรม หรือว่ากินเหล้าสูบบุหรี่แล้วก็ป่วยเข้าโรงพยาบาลเป็นมะเร็ง อันนี้เรียกว่าชดใช้กรรม หรือว่ารับวิบาก
แต่การที่ลูกถูกแม่ทำร้ายแล้วยังมีความพยายามทำดีกับแม่ ดูแลแม่มันไม่ใช่ชดใช้กรรม นั่นคือการทำกรรมดี แล้วก็ควรทำไปเรื่อยๆ ต่อไปจิตใจที่เป็นกุศลก็จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งถ้าเข้าใจแม่ ก็จะเห็นใจแม่ ให้อภัยแม่ได้ง่ายขึ้น และนอกจากการทำกรรมดีแล้ว ถ้าหากว่าเรารู้จักใช้กรรมให้เป็นประโยชน์ ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
ชดใช้กรรมกับการใช้กรรมให้เป็นประโยชน์ไม่เหมือนกัน คนเราเวลาเจ็บป่วย บางคนก็ป่วยเพราะกรรม ป่วยเพราะชดใช้กรรมก็อาจมี อาจจะเป็นจริง เพราะว่าตอนที่สุขภาพดีก็กินเหล้าสูบบุหรี่จนกระทั่งป่วย อันนี้ถือว่าเป็นการชดใช้กรรม ไม่ใช่กรรมในอดีต แต่เป็นกรรมในปัจจุบัน
แต่ว่าเรายังสามารถ “ใช้กรรมให้เป็นประโยชน์” ได้ ใช้ความเจ็บป่วยเป็นประโยชน์ ให้ความเจ็บปวดมันสอนธรรม สอนสัจธรรมให้เห็นว่าสังขารไม่เที่ยง คือให้ความเจ็บป่วยนั้นเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความไม่ประมาทในชีวิต เกิดความกระตือรือร้นที่จะทำความดี ในขณะที่เวลาเหลือน้อยลงไป อันนี้เราใช้กรรมให้เพื่อเป็นประโยชน์ คือใช้กรรมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการกระทำที่เป็นกุศล ทำให้เกิดความไม่ประมาท ทำให้เกิดความเข้าใจในสัจธรรม
ซึ่งการที่เธอได้รับประสบการณ์ในอดีตที่เจ็บปวด ถ้าหากว่าใช้เป็นประโยชน์มันก็มีคุณ อย่างน้อยก็เอามาเป็นเครื่องฝึก เอามาเป็นเครื่องเตือนใจให้เห็นความสำคัญของการฝึกจิต ทำยังไงจิตของเราจะหลุดพ้นจากความโกรธ ความเกลียดที่มันฝังใจ ในเมื่อมีความทุกข์ก็พยายามฝึกจิตจนกระทั่งสามารถที่จะหลุดจากความทุกข์ หลุดจากความเจ็บปวดที่ฝังใจได้
หลายคนมีความทุกข์แต่ก็อาศัยความทุกข์นั้นเป็นตัวกระตุ้น เป็นแรงผลักให้เกิดการทำความเพียรในการฝึกจิต จนอยู่เหนือความโกรธ ความเกลียด อยู่เหนือความเจ็บ ความปวด คนเราถ้าไม่เจอทุกข์บางทีก็ไม่สนใจที่จะเข้าหาธรรม หรือว่าปฏิบัติธรรม คนที่เจอทุกข์แล้วหันมาสนใจปฏิบัติธรรมจนกระทั่งหลุดจากทุกข์ได้ อันนี้เรียกว่าใช้กรรมให้เป็นประโยชน์ ซึ่งมีเยอะมาก
ฉะนั้นถ้าหากเข้าใจว่า ที่ทำดีกับแม่เวลานี้มันไม่ใช่เป็นการชดใช้กรรม แต่ก็คือการทำกรรมดี แล้วจะดียิ่งขึ้นถ้าหากว่ารู้จักใช้กรรม หรือความทุกข์ที่ประสบให้เป็นประโยชน์ ก็สามารถทำได้ เข้าถึงธรรมได้.