พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็น วันที่ 31 มีนาคม 2567
เงิน กับ ความสุข คนส่วนใหญ่ก็ว่าได้ มองว่าเป็นเรื่องเดียวกัน มีเงินก็ย่อมมีความสุข หรือถ้าอยากจะมีความสุขก็ต้องมีเงิน
ที่พูดมาก็มีส่วนถูก ถ้าเรามองว่าคนที่ไม่มีเงินเลยเขาจะทุกข์มาก ไม่มีเงินกินข้าว ไม่มีเงินซื้อเครื่องนุ่งห่ม ไม่มีเงินที่จะเช่าบ้าน กลายเป็นคนเร่ร่อน ต้องขอข้าวขอน้ำคนอื่นกิน อันนี้ลำบากแน่นอน หรือเผลอ ๆ ต้องไปหยิบยืมเป็นหนี้เขา พระพุทธเจ้าตรัสว่าการเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก
แต่พอเริ่มจะมีเงิน สมมุติว่ามีเงิน 10 บาท ก็เริ่มมีความสุขบ้างแล้ว มีเงินซื้อข้าว แล้วถ้าเงินเพิ่มมาเป็น 100 ก็มีความสุขมากขึ้น 10 บาท ซื้อข้าวไม่อิ่ม แต่ 100 บาท เริ่มอิ่มแล้ว แล้วถ้ามีเงิน 1,000 บาท หรือ 10,000 บาท เราก็จะสุขมากขึ้น เพราะว่ามีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม หรือว่ามีเงินจ่ายค่าเช่าห้อง และถ้าเงินที่มีได้มาเพิ่มขึ้น ไม่ใช่พัน แต่เป็นหมื่นหรือแสน ชีวิตก็มีความสุขมากขึ้น
ถ้ามีมากกว่านั้นก็สะดวกสบายแล้ว เพราะว่าหากมีลูกแล้วมีเงินเป็นค่าเล่าเรียนให้ลูก หรือว่าจากเดิมที่เคยเช่าบ้านอยู่แออัดคับแคบก็สามารถจะซื้อบ้านเป็นของตัวเองได้ หรือสามารถจะมีเงินไปลงทุนทำธุรกิจ ทำค้าขาย ลืมตาอ้าปากได้ก็มีความสุขมากขึ้น ถ้ามองในแง่นี้ ความสุขก็เพิ่มขึ้นตามจำนวนเงินที่มี และถ้าไม่ได้มีแค่แสน แต่มีเป็นล้าน ความสุขก็น่าจะมีมากขึ้น
แต่ว่าไม่ควรจะเข้าใจไปว่ามีเงินมากจะมีความสุขมาก หรือที่คนมักจะพูดว่า ยิ่งมีก็ยิ่งสุข จริงอยู่ จากเดิมที่ไม่มี ยากไร้ขัดสน มีเงินมากขึ้น อันนี้เห็นได้ชัดว่าความสุขเพิ่มมากขึ้น แต่ว่าถ้ามีเงินมากจนถึงจุดหนึ่ง ความสุขจะเริ่มจะคงที่ หมายความว่า ถ้ามีเงินมากกว่านั้นจะไม่สุขกว่าเดิมแล้ว หรือยิ่งกว่านั้นก็คือว่าความสุขจะลดลง
อันนี้คือสิ่งที่คนหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า คนเราเมื่อมีเงินมากจนถึงจุดหนึ่ง ถ้ามีเกินจากจุดนั้นไป ความสุขจะค่อย ๆ ลดลง สมมุติว่าความสุขอาจจะถึงจุดสูงสุดเมื่อมีเงินสัก 1 ล้าน แต่พอมี 2 ล้าน ความสุขค่อย ๆ ลดลง ถ้ามี 200 ล้าน ความสุขยิ่งลดลงเข้าไปใหญ่ อันนี้คือสิ่งที่มีคนเขาตั้งข้อสังเกต แล้วก็มีส่วนที่จริงด้วย เพราะว่าคนเราพอมีเงินมากขึ้นถึงจุดหนึ่ง ถ้ามีมากเกินจากนั้น ชีวิตจะเริ่มยุ่งยากขึ้น
เริ่มตั้งแต่ว่าเครียดในการเก็บรักษา กลัวคนจะมาขโมย หรือว่าเครียดกับการใช้ เพราะว่าพอมีเงินมากก็มีโอกาสจะใช้ได้มากขึ้น ก็จะเครียดอีก อย่างที่เคยพูดว่า เศรษฐีนีหลายคนเวลาจะไปออกงาน ความทุกข์ของเขาคือว่าไม่รู้จะเลือกเสื้อ ไม่รู้จะเลือกกระโปรง หรือว่ารองเท้าตัวไหน หรือคู่ไหน เพราะมีเยอะไปหมด บางทีใช้เวลาในการเลือกหลายชั่วโมง
จะไปเที่ยว มีที่ให้เที่ยวเยอะแยะไปหมด แต่ก่อนก็สิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี อังกฤษ อเมริกา หลายคนตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปที่ไหน ไม่ใช่เพราะไม่มีเงิน แต่เพราะว่าทางเลือกเยอะมาก ยิ่งมีเงินเยอะทางเลือกในการเสพสุขหรือการใช้เงินก็เยอะตามไปด้วย
แค่จะเอาไปลงทุนที่ไหนก็คิดมาก เพราะว่าต้องคิดว่าที่ไหนที่จะให้ผลตอบแทนดีที่สุด จะซื้อหุ้นตัวไหน จะซื้อที่ที่ไหน เศรษฐีระดับร้อยล้านพันล้านเครียด
ก็ไม่ต่างจากคนเดี๋ยวนี้ สามารถที่จะดูหนังได้ไม่จำกัด หนังซีรีส์มีเป็นร้อยเป็นพันเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะจาก Netflix แต่ยังมีจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ดี ๆ ทั้งนั้น สนุกทั้งนั้น ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะดูเรื่องอะไร นี่คือความทุกข์ของคนมีเงิน ไม่ต้องทำมาหากิน มีเวลาที่จะดูหนัง แต่ว่าเครียดเพราะว่าไม่รู้ว่าจะเลือกหนังเรื่องอะไร
อันนี้เป็นตัวอย่างว่า พอมีเงินมากขึ้นถึงจุดหนึ่ง ความสุขจะลดลง ๆ ๆ เราจึงได้ข่าวคนที่เป็นเศรษฐีระดับพันล้านเครียด เป็นโรคประสาท หรือเป็นโรคซึมเศร้า หรือเป็นโรคทางประสาท อันนี้ไม่นับว่าครอบครัวร้าวฉาน เพราะว่าเมียก็ดี ญาติของเมียก็ดี ลูกก็ดี ทะเลาะกันเรื่องทรัพย์สมบัติ ยังไม่ทันตายก็ขัดแย้งกันแล้ว เรื่องสินทรัพย์ เรื่องเงินทอง
แล้วเกิดความหวาดระแวงว่าคนที่จะมาคบกับเรา ทำงานกับเราไว้ใจได้แค่ไหน หรือเขาจะมาหาเราเพื่อหลอกเอาเงินเรา หรือเพื่อหวังผลประโยชน์เข้าตัว เกิดความระแวง เกิดความไม่ไว้วางใจ ยิ่งถ้าครอบครัวแตกแยก ต้องหย่าร้าง หรือว่าลูกไม่คบ ไม่สนทนาด้วย ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับเศรษฐีระดับร้อยล้านพันล้าน
เห็นได้ว่า เงินทำให้มีความสุขก็จริง หมายถึงความสุขทางโลก แต่ไม่ได้แปลว่ายิ่งมีก็ยิ่งสุข เพราะว่าถ้ามีเกินถึงจุดหนึ่ง ถ้าเลยจุดนั้นไป ความทุกข์จะเริ่มเพิ่มขึ้น ความสุขจะค่อย ๆ ลดลง ๆ ๆ
เราจึงเห็นคนรวยเขาไม่ได้มีความสุขอะไร นอนไม่หลับ เครียด ความดันขึ้น เป็นโรคหัวใจ อะไรสารพัด ไม่ใช่เพราะกินไม่ดี แต่เป็นเพราะเครียด
อันนี้รวมไปถึงการเลี้ยงดูลูกด้วย คนที่ไม่มีเงิน การเลี้ยงดูลูกลำบาก ไม่รู้จะหาอาหารอะไรให้ลูกกิน ไม่รู้จะจัดการศึกษา หาโรงเรียนอะไรให้ลูก แต่พอเริ่มมีเงิน การเลี้ยงลูกจะเริ่มง่ายขึ้น ลำบากน้อยลง มีค่าเล่าเรียนให้ลูก ไม่ต้องมากลุ้มใจว่าจะเอาเงินที่ไหนมาส่งเสียค่าเล่าเรียนให้ลูก มีเงินค่าเครื่องแบบ กระเป๋า รองเท้าให้ลูก ฉะนั้น ยิ่งมีเงินมากขึ้น การเลี้ยงลูกจะเริ่มง่ายขึ้น ๆ ลูกก็มีความสุข
แต่เช่นเดียวกัน พอมีเงิน พอรวยถึงจุดหนึ่ง การเลี้ยงลูกจะยากแล้ว ยิ่งมีเงินมากเท่าไรการเลี้ยงลูกจะกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้น จากเดิม ไม่มีเงินคือยาก เลี้ยงลูกยาก ขัดสน พอมีเงินมีทอง การเลี้ยงลูกก็ง่ายขึ้น แต่พอมีเงินมากระดับเป็นเศรษฐีหรือมหาเศรษฐี การเลี้ยงลูกกลับกลายเป็นเรื่องยาก
เศรษฐี มหาเศรษฐีหลายคนเครียดมากกับการเลี้ยงดูลูก เพราะว่าจะสอนลูกอย่างไร สอนลูกว่าให้เห็นคุณค่าของเงิน ให้รู้จักขยันขันแข็งทำงาน อย่ารักสบายมากไป จะสอนได้อย่างไร ในเมื่อลูกเห็นตั้งแต่เล็กว่าเงินไม่ค่อยมีค่าเท่าไร เพราะมาง่าย หาได้ง่าย ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย แล้วไม่มีความจำเป็นต้องทำงานหนักเลย ไม่มีความจำเป็นต้องขยัน เพราะว่าอยู่เฉย ๆ ก็มีกินมีใช้ แล้วสุขสบาย มีรถคันละล้าน สิบล้านขับ
เศรษฐีพบว่า การมีเงินมาก ๆ ทำให้การเลี้ยงลูกกลายเป็นเรื่องยาก
อย่างที่เคยยกตัวอย่างไปเมื่อสองสามวันก่อน สมัยอาตมายังเด็ก เพื่อนหลายคนเขามีพี่น้องกัน 6-7 คน พ่อแม่มีลูก 8-9 คน พ่อแม่แทบจะไม่ค่อยมีเวลาเลี้ยงลูกเลย เพราะต้องทำมาหาเงิน แต่ว่าลูก เกือบจะทุกคน โตขึ้นพึ่งพาลำแข้งตัวเองได้ ไม่เกกมะเหรกเกเร ไม่มีปัญหาทางด้านนิสัยใจคอ กตัญญูรู้คุณพ่อแม่ แล้วมีการงานที่มั่นคง
ตรงข้ามกับสมัยนี้ พ่อแม่มีลูกแค่คนเดียว 2 คน แต่เลี้ยงลูกยากเหลือเกิน เพราะลูกไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อแม่ ลูกรักสบาย หรือบางทีลูกก็มีปัญหาซึมเศร้า สารพัด อันนี้เหมือนกับว่าการที่พ่อแม่มีเงินเยอะ พ่อแม่สมัยนี้ร่ำรวยกว่าเมื่อก่อนเยอะ ไม่ได้แปลว่าการเลี้ยงลูกจะง่ายขึ้นเลย การเลี้ยงลูกกลับยากขึ้น
เพราะว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกความสบายให้กับลูกมากมายจนลูกทำอะไรไม่เป็น ไม่ควรขวนขวายในการเรียน เพราะรู้ว่าไม่เห็นต้องขยันเรียนเลย สุขสบายอยู่แล้ว พ่อแม่ปรนเปรอให้ทุกอย่าง ต้องการอะไรก็ไม่ต้องหามาด้วยตัวเอง จะเป็นโทรศัพท์มือถือ ไอโฟน ไอแพด หรือว่ากล้องราคาแพง ๆ แค่ขอก็ได้แล้ว
ชีวิตที่สะดวกสบายอย่างนี้ก็ทำให้นิสัยของเด็กพัฒนาไปอีกทางหนึ่ง ไม่รู้จักพึ่งตัวเอง พอถูกตามใจมาก ๆ กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือเอาแต่ใจตัว กลายเป็นว่า ยิ่งพ่อแม่รวย มีเงินเยอะ มีรายได้มาก ปรากฏว่าการเลี้ยงลูกกลับกลายเป็นเรื่องยาก เลี้ยงให้โตอาจจะไม่ยาก แต่เลี้ยงให้เป็นคนดี รู้จักพึ่งพาตัวเอง ขยันขันแข็ง ไม่เกกมะเหรกเกเร แล้วมีสุขภาพจิตดี ไม่เป็นโรคซึมเศร้า กลายเป็นเรื่องยากสำหรับพ่อแม่สมัยนี้
อันนี้ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าการที่มีเงินมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ แล้วการที่มีเงินมากขึ้น ๆ ถึงจุดหนึ่งแล้วทำให้การเลี้ยงลูกกลายเป็นเรื่องยาก ไม่ใช่ง่าย จากที่เล่ามานี้คงจะเห็นว่า การที่คนเรามีเงินมีทองข้อดีก็มี แต่ถ้ามีมากถึงจุดหนึ่งข้อดีก็เริ่มกลายเป็นข้อเสีย
ที่จริงไม่ใช่เฉพาะแต่เงิน สิ่งที่คนแสวงหากัน คือ อำนาจ ก็เหมือนกัน การใช้อำนาจในการแก้ปัญหา ในแง่หนึ่งช่วยทำให้ปัญหาทุเลา อย่างเช่น ตำรวจ ถ้าตำรวจไม่มีอำนาจอะไรเลย หรือว่าบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป อาชญากรรมเยอะไปหมด ลักเล็กขโมยน้อย ผู้ร้ายติดยา จี้ปล้น เพราะฉะนั้น ถ้าตำรวจมีอำนาจ มีบทลงโทษ ไม่ปล่อยปละละเลย อาชญากรรมก็ค่อย ๆ ลดลง ๆ
คนคิดว่า ถ้าหากเมื่อไรก็ตามมีอาชญากรรม มีการลักเล็กขโมยน้อย มีผู้ร้ายเยอะ จะต้องใช้อำนาจให้มากขึ้น ต้องเพิ่มบทลงโทษให้รุนแรงขึ้นถึงจะแก้ปัญหาได้ อันนี้คือความเข้าใจของคนทุกวันนี้ก็ว่าได้ เวลาบ้านเมืองมีผู้ร้ายเยอะ คนติดยา ลักเล็กขโมยน้อย เยอะแยะไปหมด หลายคนพูดว่า ต้องจับให้หนัก หรือว่าลงโทษให้หนัก ถ้าเคยจับคุมขังสัก 5 ปี ต้องขยายเป็น 10 ปี 20 ปี
แต่ปรากฏว่ามีหลายแห่งพอมีการใช้อำนาจ ใช้บทลงโทษกับการแก้ปัญหาโจรผู้ร้าย พอใช้ไปถึงจุดหนึ่ง แล้วใช้ต่อไปเรื่อย ๆ เช่น เพิ่มบทลงโทษให้มากขึ้น กวาดให้รุนแรงขึ้น ปรากฏว่าอาชญากรไม่ได้ลดลง กลับเพิ่มขึ้น
เดี๋ยวนี้เขามีการทำวิจัยในหลายประเทศพบว่า การเพิ่มบทลงโทษกับผู้ที่ถูกตัดสินให้เป็นผู้ร้ายไม่ได้ทำให้อาชญากรรมลดลงเลย กลับทำให้เพิ่มมากขึ้น เหตุผลส่วนหนึ่งก็เพราะว่า ผู้ที่ถูกจับจำนวนมากเป็นพ่อ มีลูก พอพ่อติดคุก พอพ่อถูกจับกุมคุมขังนานขึ้น จาก 3 ปี เป็น 5 ปี เป็น 10 ปี ลูกขาดพ่อ ไม่มีพ่อดูแล ที่จริงพ่ออาจจะไม่ค่อยดูแลลูกอยู่แล้ว แต่พอพ่อติดคุก เด็กยิ่งเคว้งคว้างเข้าไปใหญ่
แล้วพบว่าประเทศไหนที่มีบทลงโทษสูง คนติดคุกนานขึ้น ลูกจะมีโอกาสเป็นอาชญากรหรือว่ามีพฤติกรรมที่เป็นผู้ร้ายเพิ่มขึ้น 3 เท่า หรือ 300 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งที่เป็นโรคจิตเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าครึ่ง
อันนี้เป็นการทำวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า อำนาจแม้ว่าจะมีประโยชน์ เช่น อำนาจของตำรวจ เพิ่มอำนาจให้มากขึ้น จับกุมคุมขังให้มากขึ้น ติดคุกนานขึ้น ทีแรกก็ช่วยทำให้อาชญากรรมลดลง แต่พอทำหนักขึ้น ๆ อาชญากรรมกลับเพิ่มมากขึ้น
อาจจะไม่ได้เพิ่มจากตัวผู้ร้ายที่ถูกจับกุมคุมขัง แต่ว่าเกิดจากลูก ๆ ที่ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีพ่อดูแลก็กลายเป็นพวกมิจฉาชีพมากขึ้น หรือเป็นโรคจิต มีปัญหา ขาดความอบอุ่น กลายเป็นติดยา พอติดยาก็ลักขโมย อันนี้เป็นเรื่องเดียวกัน
เงินมากไม่ได้แปลว่าจะมีความสุขมากถ้าเลยจุดหนึ่งไป อำนาจถ้ามีมากก็ไม่แปลว่าความสงบเรียบร้อยจะเกิดขึ้น กลับแย่ลง อะไรก็ตามที่ดีหรือได้ผล ไม่ใช่ว่ายิ่งมีมาก ๆ ยิ่งดี พอถึงจุดหนึ่ง ถ้าเลยจุดพอดีไป จะแย่ลงไปเรื่อย ๆ แทนที่จะก่อคุณก็เกิดโทษ
หรืออาจจะดูตัวอย่างง่าย ๆ ที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการมีอายุยืน อายุวัฒนธรรม พระพุทธเจ้าสอนว่า ให้รู้จักทำสิ่งที่สบายให้กับตัวเอง พระพุทธเจ้าไม่ได้สนับสนุนว่าต้องทำตัวให้ลำบาก ให้รู้จักหาหรือทำความสบายให้กับตัวเอง อันนี้เป็นธรรมะข้อแรกที่จะทำให้คนเรามีสุขภาพดี มีอายุยืน แต่ก็มีข้อ 2 ตามมาว่า ให้รู้จักประมาณในความสบาย คืออย่าสบายมากไป เพราะถ้าสบายมากไปจะกลายเป็นโทษ
ไม่สบายเลยก็ไม่ดี ลำบากก็ทำให้อายุสั้น สุขภาพแย่ ต้องรู้จักทำความสบายให้เกิดกับตัวเอง แต่ถ้าสบายมากไปจะทำให้สุขภาพแย่ ทำให้อายุสั้น ท่านจึงบอกให้รู้จักประมาณในความสบาย หมายความว่า ความสบายดีถ้าพอดี แต่ถ้าเลยจุดพอดีไปไม่ดีแล้ว จะกลายเป็นโทษ
ฉะนั้น ถ้าเราพิจารณาดูดี ๆ อะไรก็ตามที่ดี ก็ดีในเงื่อนไขหนึ่งเท่านั้น แม้กระทั่งความเพียร ความเพียรเราก็ถือว่าดี แต่ว่าถ้าเพียรมากไปอาจจะกลายเป็นไม่ดีก็ได้
อย่างในสมัยพุทธกาล มีพระภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อ พระโสณโกฬิวิสะ มีความเพียรมาก ครอบครัวฐานะดี ร่ำรวย ตอนเด็ก ๆ อยู่ปราสาท 3 ฤดู สมัยก่อนเป็นแฟชั่น ใครรวยต้องมีประสาท 3 ฤดู ไม่ใช้เจ้าชายสิทธัตถะ โสณะก็เหมือนกัน แต่ว่าตอนหลังเป็นผู้ที่ใฝ่ในการปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ จึงมาบวช
มาบวชแล้วทำความเพียร มีความเพียรอย่างแรงกล้ามาก เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน ต้องการที่จะพ้นทุกข์ให้ได้ แต่เนื่องจากเป็นคนที่มีผิวบาง เรียกว่า สุขุมาลชาติ โดยเฉพาะฝ่าเท้าบาง เดินจงกรมเท้าเปล่า เดินไปวันละหลายชั่วโมง ปรากฏว่าเท้าแตก ที่จริงอย่าว่าแต่ผู้ดีที่เป็นสุขุมาลชาติเลย แม้กระทั่งคนทั่วไป ถ้าเดินจงกรมวันละหลายชั่วโมง ทั้งวันทั้งคืน ติดต่อกันหลายวัน เท้าก็แตก
พระโสณะไม่ยอมหยุด ไม่ยอมพัก คือจะเอาความพ้นทุกข์ให้ได้ เท้าแตก เลือดไหลซิบ ๆ เดินจงกรมไม่ได้ก็คลานเอา คลาน เข่าก็แตก แต่ว่าทำเท่าไร ๆ ก็ไม่เห็นผล ไม่เกิดปัญญาที่จะเข้าใจสัจธรรม เกิดความท้อ อยากจะคืนสิกขาลาเพศ
พระพุทธเจ้าเมื่อทราบก็มา แต่วิธีการแนะนำของพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้แนะนำตรง ๆ แนะนำโดยการใช้อุปมาอุปไมย เพราะว่าพระโสณะเคยเป็นคนที่เก่งในเรื่องการดีดพิณ พิณนี้คือพิณ 3 สาย พระพุทธเจ้าจึงถามพระโสณะว่า “พิณ ถ้าหากว่าขึงสายให้ตึงจะเพราะไหม” “ไม่เพราะพระพุทธเจ้าข้า”
“แล้วถ้าขึงสายให้หย่อนจะเพราะไหม ก็ไม่เพราะ ทำอย่างไรถึงจะดีดพิณแล้วไพเราะ” “ต้องขึงสายให้ตึงพอประมาณ ไม่ตึงมาก แล้วไม่หย่อน”
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ฉันใดก็ฉันนั้น ความเพียร ถ้าเพียรน้อยไปก็เกียจคร้าน แต่ถ้าเพียร (คือขยัน) มากไปก็ฟุ้งซ่าน” ฟุ้งซ่านก็รวมไปถึงความเครียดด้วย ต้องเพียรแต่พอดี พอพระพุทธเจ้าแนะนำเช่นนี้ พระโสณะก็เริ่มปรับ ปรับท่าทีเสียใหม่ ปรับใจเสียใหม่ ความเพียรก็กลับมาสู่ความพอดี
ใจก็ไม่ได้คิดแต่จะทำด้วยอาการคร่ำเคร่ง คิดจะเอา จะเอาให้ได้ ใจก็ผ่อนคลาย แต่ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยหรือลืมตัว พอความเพียรปรับให้พอดี ปรากฏว่าการปฏิบัติธรรมของพระโสณะก็เห็นผลทันที ในที่สุดก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ อันนี้เป็นตัวอย่างว่าความเพียรแม้จะเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเกินความพอดีไปก็จะไม่ดี
พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนเรื่องความเพียรแต่พอดี ท่านใช้คำว่า วิริยสมตา ความเพียรแต่พอดี อันนี้ไม่เกี่ยวกับทางสายกลาง ทางสายกลางเป็นอันหนึ่ง แต่ความพอดีหมายถึงว่าเป็นเรื่องของปริมาณ ไม่น้อยแล้วก็ไม่มาก เช่น ความสบายไม่มากเกินไป แล้วก็ไม่น้อยเกินไป มีเงินมีทรัพย์ก็ไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินไป
สิ่งที่ดี ๆ หรือคุณธรรม เช่น ความเพียร ก็เหมือนกัน เราต้องรู้จักความพอดี เมื่อทำความพอดีให้เกิดขึ้นก็จะเกิดผลดี ของดีถ้าเกินความพอดีไปก็กลายเป็นไม่ดี
อันนี้ต่างจากความเข้าใจของคนทั่วไปที่มองว่า อะไรที่ดี ยิ่งมากยิ่งดี แต่ว่าในโลกของความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพอนามัย หรือเรื่องของธรรมะ สุขภาพจิต หรือเรื่องของการปฏิบัติธรรม มีความพอดีของมัน ช่วงแรก ๆ มีมากก็ดี แต่พอถึงจุดหนึ่ง ยิ่งมากยิ่งไม่ดีแล้ว ฉะนั้น ต้องรู้จักหาความพอดี
ฉะนั้น เวลาเราปฏิบัติธรรม เราต้องรู้จักความพอดี ถ้าเราหาความพอดีไม่เจอ อาจจะทำให้ ถ้าไม่หย่อน ไม่น้อยเกินไป ก็มากเกินไป ซึ่งไม่ดีทั้งนั้น แม้ว่าจะรู้ว่าทางสายกลางคืออะไร แต่ถ้าหากว่ายังไม่รู้จักความพอดีก็พาหลงทิศหลงทางหรือว่าเข้ารกเข้าพงได้.