พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 27 มีนาคม 2567
เดี๋ยวนี้ผู้คนมีความรู้มากขึ้น เราก็เลยรู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรควร อะไรไม่ควร มากกว่าคนรุ่นก่อนๆ หรือว่ามากกว่าตอนที่เรายังไม่ค่อยมีความรู้ พอเรารู้ว่าอะไรดี อะไรควร เราก็ย่อมมีความคาดหวังในสิ่งต่างๆ
เช่น
เมื่อเรามีความรู้เรื่องสุขภาพ เราก็คาดหวังว่า สิ่งแวดล้อมควรจะมีมลภาวะน้อย แม่น้ำลำคลองควรจะใสสะอาด มีขยะพลาสติกน้อย หรือว่าอาหารควรจะเป็นอาหารที่ปรุงแต่ง เติมแต่งด้วยสารเคมีน้อย ควรจะมีเส้นใยเยอะๆ เพราะว่าช่วยทำให้การขับถ่ายดี หรือว่าคาดหวังว่าอาหารควรจะมีน้ำตาลน้อยๆ เพราะว่ากินมากๆ ก็ทำให้เป็นโรคเบาหวาน เป็นโรคหัวใจ เช่นเดียวกับไขมัน รวมทั้งอาหารรสจัดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ความรู้ด้านสุขภาพก็ทำให้เรามีความคาดหวังคนที่เรารักด้วย ว่าเขาควรจะออกกำลังกายเยอะๆ น้ำหนักก็ไม่ควรเพิ่ม หรือมีน้ำหนักมาก ยิ่งถ้าเรามีความรู้ด้านธรรมะ เราก็คาดหวังให้คนที่เรารัก เช่น ลูก หลาน พ่อแม่ สนใจธรรมะ คาดหวังให้คนมีศีลมีธรรมกันมาก มีความซื่อสัตย์สุจริต
สมัยที่เรายังไม่ค่อยรู้ธรรมะ เราก็ไม่ได้คาดหวังจากคนรอบข้างมากเท่าไหร่ ใครเขาจะกินเหล้า เล่นเกม ใช้เวลาไปกับการกินดื่มเที่ยวเล่น เราอาจจะไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่พอเรามาสนใจธรรมะ เวลาเห็นคนที่เรารัก เช่นลูกติดเกม หรือว่าชอบเที่ยวห้าง หรือว่าแอบไปกินเหล้า เราก็ไม่พอใจ
หรือบางทีเห็นเขายิงนกตกปลา ตอนที่ไม่ได้สนใจธรรมะ ก็ไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องที่กวนใจอย่างไร แต่ว่าพอสนใจธรรมะ เห็นคุณค่าของศีล พอลูกหลานหรือว่าคนคุ้นเคยเขาชอบยิงนกตกปลา ชอบแกล้งสัตว์ เราก็รู้สึกขัดใจ ไม่พอใจ เพราะว่ามันไม่ควรเป็นอย่างนั้น
ยิ่งทุกวันนี้คนเราไม่ใช่แค่มีความรู้มากกว่าแต่ก่อน แต่เรายังมีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าแต่ก่อน หรือพูดง่ายๆ คือเรารวยกว่าเมื่อก่อน ความคาดหวังว่าสิ่งต่างๆ ควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ต้องมีมากขึ้น อากาศก็ต้องมีมลภาวะน้อยๆ การเดินทางก็จะต้องคล่องแคล่ว หรือว่าการจราจรไม่ควรจะรถติดแน่นขนาดนั้น
การที่เรามีความคาดหวังว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ในแง่หนึ่งมันก็ดีเพราะว่ามันทำให้เราพยายามผลักดันให้สิ่งต่างๆ เป็นอย่างที่ควรจะเป็น แต่ว่าบางครั้งก็ทำให้เรามีความทุกข์ได้ ถ้าหากว่าสิ่งต่างๆ มันไม่เป็นอย่างที่ควรจะเป็น มลภาวะเต็มไปหมดเลย แม่น้ำลำคลองก็เน่าเสีย ป่าก็ถูกทำลายไปเยอะ อาหารก็เต็มไปด้วยสารเคมี คนก็กินแต่หวาน กินอาหารรสจัด ทำให้เจ็บป่วยกันเยอะแยะ พอเจอสภาพแบบนี้เข้าหลายคนก็เกิดความเครียด เกิดความไม่พอใจ
ฉะนั้นสิ่งที่เราควรจะมี ในด้านหนึ่งเราก็ควรจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควร อะไรคือสิ่งที่ไม่ควร ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมของผู้คน รวมทั้งความเป็นอยู่ของคนรอบข้างใกล้ตัวเรา แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องรู้จักที่จะยอมรับความเป็นจริงด้วย เพราะถ้าหากว่าเราไปหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่มันควรเป็น แล้วพอเห็นความเป็นจริงมันห่างไกลจากสิ่งที่ควรเป็น แล้วเราวางใจไม่ถูก เราก็ทุกข์มาก
ทุกวันนี้คนเรามีความคาดหวังกับอะไรต่ออะไรมากมาย คาดหวังจากเจ้านาย ว่าเขาจะมีความยุติธรรม มีความเสียสละ คาดหวังจากเพื่อนร่วมงาน ว่าเขาควรจะมาตรงเวลา ไม่เห็นแก่ตัว ใส่ใจส่วนรวม ทำงานเป็นทีมเวิร์ค คาดหวังจากเพื่อนบ้าน ว่าเขาจะเคารพความเป็นส่วนตัวของเรา ไม่ใช่มาคอยดักจ้องแอบมองว่าเราหรือคนในบ้านของเรากำลังทำอะไร หรือบางทีก็ส่งเสียงดังรบกวนเวลาหลับเวลานอน
เราคาดหวังอะไรต่ออะไรมากมาย แต่ความคาดหวังนี้มันก็สามารถจะสร้างความทุกข์ให้กับเราได้ เมื่อเจอความเป็นจริงที่มันไม่ตรงกับความคาดหวัง หรือว่ามันห่างไกลจากความคาดหวัง และเราก็ทนในความเป็นจริงนั้นไม่ได้ เพราะมันไม่เป็นตามที่มันควรจะเป็น
ปัญหามันจึงอยู่ตรงนี้ การที่เราไม่สามารถที่จะยอมรับความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะความเป็นจริงที่มันห่างไกลจากสิ่งที่เราคาดหวัง หรือสิ่งที่ควรจะเป็น หรือบางทีไม่ใช่แค่ห่างไกล มันสวนทางกันเลย
ผู้คนเวลานี้มีความทุกข์มาก แล้วบ่อยครั้งก็ทุกข์กับคนรอบตัว คนรอบข้าง เช่น พ่อแม่ พอแก่ตัวก็จู้จี้ขี้บ่น เรียกร้องโน่นเรียกร้องนี่จากลูก ใจหนึ่งก็คิดว่าพ่อแม่ไม่ควรเป็นอย่างนั้น มีอายุมากแล้ว ควรจะสนใจธรรมะ ควรจะพอใจในสิ่งที่มี ควรจะคุมอารมณ์ได้ แต่ทำไมจู้จี้ขี้บ่นกว่าเดิม
หรือบางทีพ่อแม่เกิดเป็นอัลไซเมอร์ขึ้นมา กลายเป็นคนละคนเลย บางทีพ่อแม่ก็โวยวาย คนเป็นอัลไซเมอร์บางทีก็ด่าว่า แล้วก็ขี้โมโห คอยว่าว่าคนนั้นเอากระเป๋าของตัวเองไป ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวเองเอาของไปเก็บแล้วลืม จำไม่ได้ว่าเก็บไว้ที่ไหน พอหาไม่เจอก็ไปว่าคนงานขโมยไป บอกให้ไล่คนงานออกไป
ลูกก็ไม่พอใจ เพราะว่าเดี๋ยวนี้คนงานก็หายาก ไล่เขาไปแล้วจะเอาใครมา ก็หงุดหงิดกับพ่อแม่ที่ไม่เหมือนเดิม เวลาไปคิดถึงพ่อแม่ว่าสมัยก่อนเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้ พูดจานุ่มนวล เป็นคนที่ใส่ใจ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น แต่ตอนนี้กลายเป็นคนก้าวร้าวไปแล้ว ไม่ควรเป็นอย่างนี้เลย ผู้เป็นลูกก็ทุกข์ เพราะยอมรับความเป็นจริงของพ่อแม่ไม่ได้ ยังติดภาพพ่อแม่ที่ควรจะเป็น
หรือบางทีพ่อแม่ไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์ แต่ว่าพ่อชอบกินเหล้า แม่ก็ชอบเล่นไพ่ ไม่เห็นเหมือนพ่อแม่คนอื่นเลย รู้สึกไม่พอใจพ่อแม่ตัว หวังว่าควรจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แต่พอท่านไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง อย่างที่ควรจะเป็น ก็มีความทุกข์ เกิดความรังเกียจ อันนี้เพราะว่าไปยึดติดกับความคาดหวังหรือสิ่งที่ควรจะเป็น จนยอมรับความเป็นจริงไม่ได้
หรือพ่อแม่มีลูก แต่ลูกก็ติดเกม ไม่เอาใจใส่การเรียน บางทีก็ชอบช็อป ชอบเที่ยว คนที่เป็นพ่อแม่ก็มองว่าเด็กไม่ควรจะเป็นอย่างนี้ ควรจะขยันเรียน ควรจะรับผิดชอบกับการเรียน พอลูกไม่เป็นอย่างที่ตัวเองคาดหวังก็เป็นทุกข์ แล้วก็ไปบังคับเขา ให้เขาเป็นอย่างที่ตัวเองคิดว่าควรจะเป็น ก็เลยเกิดความขัดแย้งขึ้นมา
แล้วบางทีลูกก็อาจจะไม่ได้เกเรอะไร อาจจะขยันเรียนด้วยซ้ำ แต่พ่อแม่คิดว่าลูกควรจะได้คะแนนมากกว่านี้ 3.5 มันน้อยไป ระดับสติปัญญาอย่างเธอควรจะได้ 4 แต่ได้ 3.5 นี่ไม่พอใจ เคี่ยวเข็ญบังคับให้ลูกขยันมากกว่านี้ ก็เกิดความขัดแย้งกันระหว่างพ่อแม่กับลูก
ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพ่อแม่ไม่สามารถจะยอมรับสิ่งที่ลูกเป็นได้ ไปเอาประสบการณ์ของตัวเองในอดีต หรือเอาความคาดหวังของตัวเองมากำหนด ก็กลายเป็นการบังคับ
แล้วเดี๋ยวนี้ก็แปลก สมัยที่อาตมายังเด็ก เพื่อนๆ มีพี่น้องกัน 5-6 คน 7-8 คน พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาเลี้ยงลูก ลูกตั้ง 7-8 คน อย่างต่ำๆ ก็ 5 คน พ่อแม่ก็ทำมาหากิน ไม่ค่อยมีเวลาเลี้ยงลูก แต่ปรากฏว่าลูกแต่ละคนก็ออกมาเป็นคนดี เรียบร้อย ขยันเรียน ประสบความสำเร็จในการงานในอาชีพ
แต่ว่าพ่อแม่สมัยนี้มีลูกแค่คนเดียวหรือสองคน แต่ว่าพฤติกรรมของลูกหรือว่านิสัยใจคอของลูก กลับสร้างปัญหาให้กับคนที่เป็นพ่อแม่ ทั้งที่พ่อแม่ก็มีเวลาให้กับลูกมาก เป็นไปได้หรือเปล่าว่า การที่พ่อแม่มีเวลาให้กับลูกมาก มันสร้างปัญหาให้กับลูกเอง
เพราะว่าพ่อแม่สมัยนี้เขามีความรู้เยอะ เขาก็มีความคาดหวังต่างๆ อยากจะให้ลูกเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้ พอคาดหวังแล้วไม่ได้คาดหวังอย่างเดียวว่าลูกควรจะเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ เข้าไปจัดการด้วย เข้าไปบังคับ เจ้ากี้เจ้าการ จนกระทั่งลูกรู้สึกอึดอัด
แล้วก็พอลูกไม่ได้เป็นไปอย่างที่พ่อแม่คาดหวัง พ่อแม่ก็ไม่พอใจ ด่าว่า หรือแสดงอาการให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ลูกก็เลยเป็นโรคซึมเศร้าบ้าง เป็นพวกต่อต้านสังคมบ้าง
อันนี้ก็แปลก สมัยก่อนพ่อแม่มีลูก 7-8 คน แต่ลูกทุกคนเติบโตมาก็ใช้ได้ ทั้งที่พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้กับลูก แต่เดี๋ยวนี้พ่อแม่มีเวลาให้กับลูกเยอะ เพราะลูกมีแค่คนเดียวแต่ทำไมลูกมีปัญหา ลูกเป็นโรคซึมเศร้า อยากจะฆ่าตัวตาย หรือว่าเกกมะเหรกเกเร
อันนี้ก็อาจจะเป็นเพราะว่าพ่อแม่เดี๋ยวนี้เขามีความรู้เยอะ มีความคาดหวังจากลูกสูง ก็พยายามเคี่ยวเข็ญบังคับให้ลูกเป็นไปอย่างที่ตัวเองคาดหวัง พอลูกไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังก็ทำใจไม่ได้ ไม่สามารถจะยอมรับลูกอย่างที่ลูกเป็นได้ มันก็เลยเกิดการขัดแย้งกัน จนกระทั่งลูกบางทีก็เสียศูนย์
เดี๋ยวนี้เรามีความคาดหวังสูงเพราะเรามีความรู้เยอะ มีรายได้สูง รวมทั้งบางทีเรามีความรู้ด้านธรรมะ คนที่มีความรู้ด้านธรรมะเยอะ ก็อาจจะสร้างปัญหาให้กับคนรอบข้างได้ ไปคาดหวังให้ลูกมีธรรมะ สนใจธรรมะเหมือนตัว เหมือนคนที่เป็นพ่อเป็นแม่
หรือไปคาดหวังว่าพ่อแม่ของตัวต้องสนใจธรรมะเหมือนตน หรือว่าไปคาดหวังว่าจะต้องมีพฤติกรรมที่เรียบร้อย ไม่กินดื่มเที่ยวเล่น ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทำกันโดยทั่วไป แต่พอเขากินดื่มเที่ยวเล่น ไม่รู้จักประหยัด ไม่รู้จักอดออม ไม่สนใจสวดมนต์ นั่งสมาธิ ก็เลยเกิดความขัดแย้งกัน เพราะไม่สามารถยอมรับเขาอย่างที่เขาเป็นได้
การที่คนเรารู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เป็นเรื่องดี แต่ถ้าไปคาดหวังกับสิ่งที่ควรอยากให้สิ่งต่างๆ เป็นไปยังที่ควรจะเป็น แต่ไม่สามารถที่จะยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้ ตรงนี้มันเกิดปัญหาขึ้นมา เกิดความทุกข์ แล้วสุดท้ายมันก็ไปคาดหวังกับตัวเองด้วย ไม่ได้คาดหวังคนอื่นอย่างเดียว
คนที่มาเจริญสติ ปฏิบัติที่นี่หลายคน เขาก็รู้ ว่าความสงบเป็นสิ่งที่ดี แต่พอมาปฏิบัติก็คาดหวังว่าจิตจะต้องสงบ ไม่คิดอะไร ไม่ฟุ้งซ่าน แต่พอมีความคิดขึ้นมาก็ยอมรับไม่ได้ รู้สึกหงุดหงิด ไม่พอใจตัวเอง หรือบางครั้งมันมีจิตคิดในทางลบต่อผู้มีพระคุณ
หรือว่ามีอารมณ์บางอย่างซึ่งมันไม่ควรจะเกิดขึ้น เช่น ความโลภ ความโกรธ ราคะ พอมันเกิดขึ้นมาก็ทำใจยอมรับไม่ได้ เพราะมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ความคิดแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับเรา มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่สามารถยอมรับตัวเองอย่างที่เป็นได้
แค่มีความฟุ้ง ความคิดมันผุดขึ้นมาเยอะแยะ มันไม่ควรเป็นอย่างนั้นเลย เราอุตส่าห์ปฏิบัติมาตั้งหลายวันแล้ว ทำไมยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ความจริงกับความคาดหวังมันสวนทางกัน ในเมื่อยอมรับความจริงหรือความเป็นจริงไม่ได้ มันก็เลยเกิดความทุกข์ ทั้งที่ถ้าเกิดยอมรับความเป็นจริงได้ มันเกิดขึ้นก็แค่ยอมรับแล้วก็แค่รู้ แค่รู้เฉยๆ การเจริญสติท่านก็สอนให้แค่รู้เฉยๆ
หลวงพ่อคำเขียนเคยบอกว่า คิดดีก็ช่าง คิดไม่ดีก็ช่าง บางคนพอมีความคิดไม่ดีเกิดขึ้นกับคนรอบข้าง กับพ่อแม่ กับครูบาอาจารย์ เป็นทุกข์มากเลย อันนี้เรียกว่าไม่รู้จักยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เพราะความเป็นจริงบางครั้งมันก็ห่างไกลจากสิ่งที่ควรจะเป็น แต่เราก็ต้องยอมรับความเป็นจริงให้ได้ เพราะถ้าไม่ยอมรับ เราก็จะทุกข์มาก
บางคนภาวนามาเยอะ แล้วก็คาดหวังว่าเวลาเจ็บเวลาป่วยจะสามารถใช้สติ ใช้สมาธิมากำกับใจไม่ให้ทุกข์ได้ กายทุกข์ก็ทุกข์ไป แต่ใจไม่ทุกข์ ใจไม่หงุดหงิด ใจสงบได้แม้กายจะเป็นทุกข์ แต่พอเจ็บป่วยเข้าจริงๆ แล้วป่วยหนักด้วย กายปวดอย่างเดียวไม่พอ ใจก็หงุดหงิดงุ่นง่าน เกิดโทสะ เกิดความทุกข์
ยอมรับไม่ได้ว่าในเมื่อเราปฏิบัติธรรม ทำไมมันยังมีความรู้สึกแบบนี้อยู่ ทำไมใจมันยังหงุดหงิดงุ่นง่าน ทำไมมันยังมีความทุกข์อยู่ มันไม่ควรเป็นอย่างนั้น เพราะเราปฏิบัติมานาน ธรรมะที่เราปฏิบัติมันควรจะทำให้ใจสงบได้ ก็เลยยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ ทุกข์เพราะยอมรับความเป็นจริงไม่ได้ ทุกข์เพราะว่าใจไม่สงบ
คนธรรมดาทุกข์เพราะว่ากายมีทุกขเวทนา ใจก็เลยเป็นทุกข์ แต่นักภาวนาหลายคน ใจเป็นทุกข์เพราะว่ามันไม่สงบอย่างที่ควรจะเป็น อันนี้เป็นเพราะไม่สามารถยอมรับความเป็นจริงของตัวเองได้ การภาวนาหรือว่าการมาสนใจธรรมะ มันทำให้เรารู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร มันทำให้เรามีเป้าหมายที่ดีงาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพฤติกรรมภายนอก เช่น กาย วาจา หรือพฤติกรรม คุณลักษณะของจิต ที่เรียกว่าสมาธิและปัญญา
แต่ถ้าหากว่าเราไปอยู่ไปสนใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ควรจะเป็น ในด้านหนึ่งก็ทำให้เรามีแรงผลักในการที่จะขับเคลื่อน เคี่ยวเข็ญ พัฒนาตัวเอง ให้ไปสู่สิ่งที่ควรจะเป็น แต่ขณะเดียวกัน ถ้ามันยังไปไม่ถึงสิ่งที่ควรจะเป็น อย่างน้อยๆ ก็ต้องฝึกใจให้ยอมรับความเป็นจริงได้ ว่าเรายังไปไม่ถึง เรายังทำได้แค่นี้
บางทีการสนใจธรรมะ มันทำให้เรามัวจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ควรจะเป็น จนลืมรู้จักทำใจยอมรับกับความเป็นจริง ซึ่งมันก็ไม่ได้เพียงแต่ทำให้เรามีปัญหากับตัวเอง อย่างที่พูดมา แต่มันยังทำให้เรามีปัญหากับคนอื่นด้วย
เวลาสอนลูกศิษย์ ลูกศิษย์ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมยังชอบเล่นเกม ทำไมยังสูบบุหรี่ ทำไมยังติดการพนัน หรือว่าทำไมชอบก่อกวนเพื่อน ยอมรับไม่ได้ว่าเขาเป็นอย่างนั้น พอยอมรับไม่ได้ก็เลยกดดัน ต่อว่า ลงโทษ ซึ่งก็ทำให้เขากลายเป็นมีปฏิกิริยาต่อต้าน ยิ่งเกกมะเหรกเกเรมากขึ้น หรือต่อต้านครูบาอาจารย์มากขึ้น
แต่ถ้าเกิดว่าครูยอมรับเขาอย่างที่เขาเป็น ว่าเด็กก็เป็นอย่างนี้แหละ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าพ่อแม่เขาไม่ค่อยมีเวลาดูแล หรืออาจเป็นเพราะว่าเขาขาดความอบอุ่น ยอมรับเขา เข้าใจเขา แล้วก็พยายามที่จะช่วยเขา ให้เขาพัฒนาขึ้น แต่ช่วยเขาไม่ใช่ด้วยการไปต่อว่าด่าทอ ว่าทำไมเธอเป็นอย่างนี้ วิธีนี้ไม่ได้ช่วย
ถ้าช่วยเขา ช่วยด้วยการยอมรับเขาอย่างที่เขาเป็น เขาจะเอะอะโวยวายบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ว่าก็ให้มีน้ำใจ ให้นึกถึงคนอื่น ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ค่อยๆ สอนไป โดยเริ่มต้นจากการที่ยอมรับเขาอย่างที่เขาเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้เขาเป็น หรือไม่ใช่อย่างที่เขาควรจะเป็น
การยอมรับความเป็นจริง ไม่ว่าความเป็นจริงของสิ่งแวดล้อม ความเป็นจริงของคนรอบข้าง คนที่เรารัก คนใกล้ตัว หรือความเป็นจริงของตัวเอง นี่สำคัญ เพราะถ้าเราไม่สามารถยอมรับความเป็นจริงได้ มันจะทุกข์มากเลย เพราะว่าโลกและชีวิตมันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นเสมอไป
บางทีเล่นกีฬา กรรมการตัดสินไม่เป็นธรรมก็มี นักกีฬาก็ควรที่จะรักษาใจให้เป็น เวลาเจอการตัดสินที่ไม่เป็นธรรม ไม่ใช่หัวเสียว่ากรรมการไม่ควรตัดสินอย่างนั้น กรรมการควรจะมีความยุติธรรมมากกว่านี้ พอทำใจไม่ได้กับความเป็นจริงของกรรมการ หงุดหงิดหัวเสีย ก็เลยเล่นผิดเล่นพลาด รวนไปหมดเลย
โค้ชที่ดีเวลาเขาซ้อม เขาจะให้นักกีฬาได้เจอกับบทเรียน คือการตัดสินที่ไม่ยุติธรรมของกรรมการ บางทีโค้ชเป็นกรรมการเองเลย แล้วก็แกล้งตัดสินผิดๆ พลาดๆ หรือว่าไม่เป็นธรรมกับฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งก็หัวเสีย ว่าทำไมโค้ชตัดสินอย่างนี้ โค้ชก็เลยเฉลยว่าความเป็นจริงก็อย่างนี้แหละ กรรมการใช่ว่าจะตัดสินได้ถูกต้องหรือว่าเป็นธรรมเสมอไป
ข้อสำคัญก็คือว่าเราต้องรู้จักวางใจให้เป็น เวลาเจอการตัดสินที่ไม่เป็นธรรม อย่าไปยึดติดแต่ความถูกต้องอย่างเดียว หรืออย่าไปยึดติดแต่ความเป็นธรรมอย่างเดียว ต้องรู้จักยอมรับความเป็นจริง แล้วก็พาตัวเองหลุดออกจากความไม่ถูกต้องให้ได้ เขาตัดสินจะผิดจะพลาดอย่างไร ไม่ควรตัดสินอย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขา แต่ข้อสำคัญก็คือเราต้องยอมรับความจริง แล้วก็ทำต่อไป
นี่คือบทเรียนชีวิตที่เราทุกคนต้องมี คือแม้ว่าเราจะรู้อะไรคือสิ่งที่ควรจะเป็น แต่ถ้าความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น ก็ต้องยอมรับมันให้ได้ ไม่ใช่เพื่อสยบ แต่เพื่อที่จะก้าวต่อไป จะได้มีกำลังในการแก้ไข ให้มันเกิดความถูกต้องอย่างที่มันควรจะเป็น.