พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 25 มีนาคม 2567
อากาศร้อนๆ แบบนี้ ถ้าเรารู้จักมองมันก็ได้ประโยชน์หลายอย่าง การที่เราบอกหรือแยกแยะว่า นี่ร้อน นี่เย็น นี่หนาว อันนี้ก็เรียกว่าสัญญา (ความจำได้หมายรู้) แต่ถ้าเมื่อใดเรารู้สึกร้อน อันนี้มันเวทนาแล้ว และส่วนใหญ่ก็เป็นทุกขเวทนาด้วย แต่มันก็ไม่แน่ เวลาเรากินก๋วยเตี๋ยว ถ้าก๋วยเตี๋ยวร้อน หรือกินข้าวต้ม แล้วข้าวต้มร้อน มันก็ให้สุขเวทนากับเราได้
ความรู้สึกว่าร้อนเป็นเวทนา ในยามนี้สำหรับคนส่วนใหญ่ก็คือทุกขเวทนา แต่ถ้าเกิดใจบ่นว่า “ร้อน ร้อนเหลือเกิน” อันนี้มันเจือไปด้วยความหงุดหงิด ความไม่พอใจ ตรงนี้เป็นสังขารแล้ว เวทนาอย่างเดียวเราจะมองว่าเป็นสัญญาก็ได้ เวทนาก็ได้ สังขารก็ได้
มันสำคัญยังไง สำคัญตรงที่ว่าเวลาเรารู้สึกร้อน แล้วมันไม่ใช่แค่รู้สึกร้อน แต่ใจมันบ่นว่า “ร้อน ร้อนเหลือเกิน” ตรงนี้มันแปลว่าไม่ใช่กายที่ร้อนอย่างเดียว ใจก็ร้อน ไม่ใช่กายที่ทุกข์อย่างเดียว ใจก็ทุกข์ด้วย แล้วถ้าเราปล่อยให้ใจทุกข์ มันก็เหมือนกับว่าทุกข์ 2 ชั้น หรือว่าร้อน 2 ต่อ ร้อนกายแล้วก็ร้อนใจ ถ้าร้อนแล้วมันทำให้ทุกข์กาย แล้วก็ทุกข์ใจตามไปด้วย
ในเมื่อจะร้อนทั้งที ก็ให้มันร้อนอย่างเดียวคือร้อนกายแต่ว่าใจอย่าร้อน ในเมื่อมันทุกข์ ก็ให้ทุกข์แค่กายแต่ว่าใจอย่าทุกข์ แต่คนส่วนใหญ่ปล่อยให้ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ ร้อนทั้งกาย ร้อนทั้งใจ แทนที่จะรู้สึกว่าร้อนเท่านั้น ใจมันก็บ่นว่าร้อน ร้อน มีความหงุดหงิด มีความไม่พอใจ
เราเห็นไหม เห็นใจที่มันบ่นไหม เห็นใจที่มันหงุดหงิดไหม เห็นใจที่มันโวยวายไหม ถ้าไม่เห็นนี้ขาดทุน เพราะถ้าไม่เห็น มันก็ทุกข์ 2 ต่อ ทุกข์กายด้วย ทุกข์ใจด้วย ร้อนทั้งกาย ร้อนทั้งใจ และถ้าไม่เห็น ไม่เห็นว่าใจมันบ่น ใจมันโวยวายตีโพยตีพาย นอกจากจะแยกไม่ออกระหว่างสัญญา เวทนา และสังขาร ที่สำคัญก็คือ กลายเป็นทุกข์ฟรี ๆ
ทุกข์ฟรี ๆ คือกายทุกข์แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ไหน ๆ จะทุกข์ทั้งทีเพราะอากาศร้อนก็ให้ได้ประโยชน์ คือได้ฝึก ฝึกมาดู ดูอะไร ดูใจ ฝึกมาเห็นใจที่มันบ่น ใจที่โวยวายตีโพยตีพาย ทำอย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นผู้ฉลาดหรือเป็นนักภาวนา
หลวงพ่อคำเขียนท่านพูดอยู่เสมอว่า “นักภาวนา ต้องเป็นนักฉวยโอกาส” ฉวยโอกาสเรียนรู้จากทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วฉวยโอกาสฝึกจิตทุกเวลา ทุกเหตุการณ์ ทุกอิริยาบถ ที่ได้เกิดขึ้นหรือที่ได้ทำ ไม่ว่าดีหรือร้าย สุขหรือทุกข์ ขึ้นหรือลง ร้อนหรือหนาว มันก็มีอะไรให้เราได้เรียนรู้ มีอะไรให้เราได้ฝึก หรือเป็นโอกาสให้เราได้ฝึก อย่างเช่น ได้ฝึกมาดู ยังไม่ต้องดูเวทนา เอาแค่ว่าดูจิตก็พอ เพราะดูจิตมันง่ายกว่าดูเวทนา
ดูจิต คือ ดูหรือเห็นใจที่มันบ่นโวยวาย ตีโพยตีพาย แล้วถ้าดูเป็นก็จะพบว่า 1) จิตที่โวยวายตีโพยตีพาย ที่มันไปซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับเรา กายทุกข์ไม่พอ ใจก็ทุกข์ตามไปด้วย เพราะตอนนั้นมันเกิดกู กูผู้ทุกข์แล้ว มันไม่ใช่แค่กายร้อน แต่มันมี “กูร้อน กูร้อน” ตัวนี้ที่มันซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ นี่คืออย่างแรกที่เราจะเห็นได้ ถ้าเราดูเป็น
แล้ว 2) ก็จะพบว่าเมื่อเราเห็นมัน เห็นใจที่บ่น เห็นใจที่โวยวายตีโพยตีพาย ใจก็จะกลับมาสู่ความปกติ มันจะหยุดบ่น มันจะหยุดโวยวาย มันจะหยุดตีโพยตีพาย ตอนนั้นเราเรียกว่ามันรู้สึกตัวแล้ว พอมันรู้สึกตัว มันก็หยุดบ่น หยุดโวยวาย หยุดซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับตนเอง แค่เห็นเท่านั้น
เห็นด้วยอะไร เห็นด้วยสติ เห็นมันหรือเปล่าเวลาอากาศร้อนๆ แม้ว่าจะไม่มีพัดลมเป่า ไม่มีเครื่องปรับอากาศทำความเย็น แต่เราก็จะเห็น “โอ้ มันไม่ใช่แค่กายร้อนเท่านั้น ใจก็ร้อน”
อาการที่แสดงออกของใจ คือ บ่น โวยวาย ตีโพยตีพาย หงุดหงิด ไม่พอใจเป็นพื้น แต่บางคนนี้ไม่เห็นเลย ไม่สังเกต ไม่รู้ว่าใจมันหงุดหงิด ไม่พอใจ เท่านั้นไม่พอ ก็ยังปล่อยให้ความหงุดหงิด ความไม่พอใจ มาบงการความคิด บงการจิตใจ บงการคำพูด คือพอหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว มันก็เลยหัวเสีย คุยกับใครก็เจือด้วยความไม่พอใจ โกรธง่าย ใครมาพูดกระทบก็เกิดความไม่พอใจ
อันนี้เพราะว่ามันมีความหงุดหงิด ความไม่พอใจในอากาศร้อนเป็นพื้น คนก็เลยทะเลาะกันบ่อยหรือทะเลาะกันง่ายมากในบรรยากาศแบบนี้ นั่นเป็นเพราะว่าปล่อยให้ความหงุดหงิด ความไม่พอใจ หรือโทสะ มันครอบงำบงการจิตใจ รวมทั้งการกระทำและคำพูด แล้วที่ปล่อยให้มันบงการจิตใจก็เพราะว่าไม่เห็นมัน ไม่เห็นอารมณ์หงุดหงิด ไม่เห็นอารมณ์คือโทสะที่มันเกิดขึ้น
เราจะทำให้กายนี้เย็นไม่ได้ เพราะว่าอุณหภูมิรอบตัวสูง แต่เราทำให้ใจปกติได้ คือทำให้ใจเย็นก็ได้ ถ้าเพียงแต่มีสติ เห็นอาการบ่นของใจ โวยวาย ตีโพยตีพาย แล้วต่อไปพอเราเห็น เห็นจิต เห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น ต่อไปเราก็จะมาเห็นมาดูเวทนาได้ง่าย
เวทนา คือ ความรู้สึกทุกข์ ทุกข์เพราะร้อน หรืออาจจะทุกข์เพราะเจ็บ ทุกข์เพราะปวด ทุกข์เพราะเมื่อย ส่วนใหญ่พอเกิดขึ้นแล้วไม่ได้เห็น เข้าไปเป็นเลย เป็นผู้ปวด เป็นผู้เมื่อย เป็นผู้ร้อน แล้วก็เห็นยาก จะเห็นเวทนานี้มันต้องเห็นผ่านการเห็นจิตอย่างคล่องแคล่ว เห็นความคิด เห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น และใจไม่ถลำเข้าไปในอารมณ์เหล่านั้น
เมื่อฝึกใจให้ไม่ถลำจมเข้าไปในอารมณ์เหล่านั้น หรือไม่เข้าไปยึดอารมณ์เหล่านั้นว่า เป็นกู เป็นของกู ต่อไปพอเจอเวทนา มันก็ไม่ถลำเข้าไปในอารมณ์ ในเวทนานั้น ในความร้อน ในความปวด ในความเมื่อย ไม่ไปยึดว่าเป็นกู เป็นของกู มันน่ายึดที่ไหน ความร้อน ความเจ็บ ความปวด ความเมื่อย มันน่ายึดที่ไหนว่าเป็นกู เป็นของกู
แต่ว่าส่วนใหญ่ก็เผลอเข้าไปยึด เรียกว่าเข้าไปเป็น ไม่ใช่เห็น แยกแยะให้ออกระหว่าง ‘เห็น’ กับ ‘เป็น’
แล้วก็เริ่มต้นจากการที่เห็นความคิด เห็นอารมณ์ อันนี้เรียกว่าไปเห็นจิต หรือไปดูจิต แล้วต่อไปมันก็จะเห็นเวทนา รู้เวทนา ไม่เข้าไปเป็นเวทนา แล้วต่อไปก็จะเข้าใจว่า ‘รู้ทุกข์’ กับ ‘เป็นทุกข์’ มันต่างกันอย่างไร
คนส่วนใหญ่พอมีทุกข์เกิดขึ้นก็เป็นทุกข์เลย แต่ว่าไม่ค่อยรู้ทุกข์เท่าไหร่ กิจที่ควรทำต่ออริยสัจข้อแรก อริยสัจข้อแรกเราก็รู้อยู่แล้วคือทุกข์ กิจที่ควรทำคืออะไร คือรู้ทุกข์ ไม่ใช่เป็นทุกข์ แค่นี้ส่วนใหญ่ก็สอบตกกันแล้ว แม้ว่าจะท่องจำได้ว่าอริยสัจ 4 มีอะไร ได้แก่อะไร แต่พอเจอทุกข์ทีไร เป็นทุกข์ทุกที แทนที่จะรู้ทุกข์หรือเห็นทุกข์
อย่างที่คุณครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า “ทุกข์มีไว้เห็น ไม่ใช่เข้าไปเป็น” ต้องแยกแยะความแตกต่างให้ได้แล้วทำให้มันเป็น แต่จะรู้ทุกข์ เห็นทุกข์ ไม่เข้าไปเป็นทุกข์นี้ ก็ต้องรู้ความคิด เห็นความคิด รู้อารมณ์ เห็นอารมณ์
เริ่มต้นจากการที่เห็นใจมันบ่น โวยวาย ตีโพยตีพาย ไม่ว่าอากาศร้อน อากาศหนาว ปวดเมื่อย หรือเวลาเพื่อนผิดนัดไม่มาตามนัด หรือว่ารถติด พวกนี้เป็นของดี มันเป็นโอกาสให้เราได้ฝึก ฝึกดูจิต
แล้วถ้าเราฝึกดู เห็นความคิด อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งอารมณ์ฝ่ายลบ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความหงุดหงิด ความไม่พอใจ ต่อไปมันก็จะมาเห็นเวทนาได้ง่าย
เวทนาอาจจะเป็นเวทนาที่มันไม่รุนแรง เช่น ความร้อน ความหนาว ความคัน ความปวด ความเมื่อย ฝึกเอาไว้เวลามันเกิดขึ้น อย่าไปหนีมันอย่างเดียว หรืออย่าไปเปลี่ยนอิริยาบถ ซึ่งก็เป็นธรรมดาพอปวด พอเมื่อย เราก็เปลี่ยนอิริยาบถก็หาย แต่มันก็หายชั่วคราว
แต่ถ้าเราลองไม่เปลี่ยน แล้วลองฝึกดู เออ เวลามันปวด เวลามันเมื่อย ใจมันเป็นอย่างไร มันรู้สึกยังไงกับความปวด ความเมื่อย มันบ่นโวยวายตีโพยตีพายหรือเปล่า แค่ไหน และใจมันเข้าไปเป็นผู้ปวดไหม หรือว่าสามารถจะฝึกให้เห็น ให้รู้เวทนา ปวดก็ปวดไปเป็นเรื่องของกาย แต่ใจไม่ปวด ใจไม่ทุกข์ มันทำได้
แล้วต่อไปมันไม่ใช่แค่ปวดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ต่อไปเวลาปวดหนักๆ เพราะว่าเจออุบัติเหตุหรือว่าเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคร้าย มีทุกขเวทนาคุกคามบีบคั้น ยาก็เอาไม่อยู่ ถึงตอนนั้นแหละเราก็จะได้เรียนรู้วิธีอยู่กับทุกข์ด้วยใจที่ไม่ทุกข์
อย่างน้อยก็ไม่ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง ด้วยการที่ไม่ปล่อยใจให้มันบ่นโวยวายตีโพยตีพาย เห็นความหงุดหงิด เห็นความไม่พอใจที่เกิดขึ้น อันนี้เรียกว่ามาดูจิต แล้วต่อไปก็มาดูเวทนา อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนท่านพูดอยู่เสมอ “ความปวดมันไม่ได้ลงโทษเรา ความเป็นผู้ปวดต่างหากที่มันลงโทษเรา”
เราเข้าใจไหม ความปวดไม่ได้ลงโทษเรา ความเป็นผู้ปวดต่างหากที่มันลงโทษเรา คือความปวดนี้มันไม่เท่าไหร่ แต่พอไปยึดว่าความปวดเป็นเรา เป็นของเรา มีกูผู้ปวดขึ้นมานี้มันทุกข์มากเลย ท่านก็บอกว่า “ความปวดมีไว้เห็น ไม่ใช่เข้าไปเป็น” ไม่ว่าเราเจอความปวด เจอความทุกข์กายนี้ ก็ให้ถือว่า เออ เป็นโอกาสดีมาฝึก มาฝึกดูเวทนา ฝึกดูจิต อย่าเอาแต่หนี อย่าเอาแต่กลบเกลื่อนด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถ หรือว่าด้วยการหาอะไรมาระงับกดข่มความปวด
อย่างเช่น กินยาระงับปวด กินมันก็ดี แต่ว่าไม่กินบ้างเพื่อฝึกก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าเราก็จะต้องฝึกจากของจริง ฝึกจากเวทนาเล็กๆ น้อยๆ ความปวดถ้าฝึกจากความปวดที่เขาให้คะแนน 2 หรือ 3 ฝึกเอาไว้ ต่อไปเราก็จะรับมือกับความปวดที่มันขึ้นไปถึง 4-5 ได้ บางคนความปวดมันขึ้นถึง 8-9 ก็ยังรักษาใจไม่ให้ปวดตามไปด้วย กายปวดแต่ว่าใจไม่ได้ปวดไม่ได้ทุกข์
ก็มีคนทำได้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้พึ่งยา บางครั้งยามันก็เอาไม่อยู่แต่ว่าสตินี้มันเอาอยู่ แต่ว่าต้องเป็นสติที่ฝึกเอาไว้ดี แล้วต่อมันไม่ใช่แค่ความปวดอย่างเดียว ความทุกข์ที่เกิดจากเหตุการณ์ในอดีตที่เจ็บปวด ที่ทำให้เกิดความโกรธ ความแค้น ความเสียใจ ความรู้สึกผิด พวกนี้มันก็เป็นสิ่งที่สร้างความทุกข์ใจให้กับคนจำนวนมาก จะเรียกว่าแทบจะร้อยทั้งร้อยต้องเจอกับความทุกข์แบบนี้
บางคนก็หลุดจากความทุกข์เหล่านี้ แต่บางคนก็ไม่หลุด แบกเอาไว้ แล้วก็ไม่รู้ตัวว่าแบก ทั้ง ๆ ที่เรื่องมันก็ผ่านไปแล้วแต่ก็ยังแบกเอาไว้ เวลาบอกให้ปล่อย ให้ปล่อย ไม่เข้าใจ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองนี้กำลังแบก กำลังยึดเรื่องราวเหตุการณ์เหล่านั้นเอาไว้ บางคนก็พอจะเข้าใจแต่ก็มักจะบอก “เออ ปล่อยนี่มันยาก”
ระหว่าง ‘การปล่อย’ กับ ‘การแบก’ อะไรมันยากกว่ากัน ระหว่าง ‘การแบก’ กับ ‘การวาง’ อะไรมันง่ายกว่ากัน แต่คนส่วนใหญ่ชอบทำสิ่งที่ยากๆ คือการแบกการยึด ส่วนการปล่อยการวางซึ่งเป็นเรื่องง่ายกว่ากลับไม่ยอมทำ แล้วก็บ่นว่ายาก ที่มันยากก็เพราะว่าไม่เคยทำมากกว่า อะไรที่ไม่เคยทำมันก็ยากทั้งนั้น ให้อาตมาไปขับรถ อย่าว่าแต่ขับรถ 6 ล้อเลย ขับรถเก๋งก็ยังรู้สึกยากเลย แต่ที่มันยากเพราะว่าไม่เคยขับ แล้วมันก็ยากเฉพาะทีแรก แต่พอทำไป ๆ มันก็น่าจะง่ายเพราะว่าคุ้นเคย
ฉะนั้นที่เราบอกว่าการปล่อย การวาง มันยาก เพราะว่าเราไม่คุ้นเคยกับมัน เราไม่เคยทำ อีกอย่างหนึ่งเป็นเพราะมันสวนทางกับความเคยชินด้วย อันนี้สำคัญมาก ความเคยชินของคนเราคืออะไร คือแบกคือยึดเอาไว้ หยิบฉวยทุกอย่างยึดว่าเป็นของกู ของกู ของกู มีเสียงอะไรที่ไม่ถูกใจมากระทบหู จิตก็ไปจดจ่อที่เสียงนั้น
ในเมื่อไม่ชอบเสียงนั้นก็ทำไมไม่ปล่อยไม่วาง ให้มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แต่เปล่า จิตยิ่งจดจ่อ ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดคุย หรือว่าเสียงโทรศัพท์มือถือในศาลา เสียงหมาเห่า หรือแม้แต่เสียงริงโทน ในบางขณะ บางจังหวะ เราไม่ชอบ แต่ยิ่งไม่ชอบยิ่งจดจ่อ นี่คือนิสัยของเรา มีเรื่องอะไรที่เคยเจ็บปวดในอดีต ก็จะไปจดจำแล้วก็แบกฉวยเอาไว้ ยิ่งใครทำอะไรให้ไม่พอใจ ก็ยิ่งแบก ยิ่งยึด ยิ่งจด ยิ่งจำ ยิ่งเครียด ยิ่งแค้น
มีคนบอกว่าให้อภัยก็ไม่ยอม รู้สึกว่ามันมีเหตุผลสมควรที่จะต้องโกรธ แต่แล้วก็บ่นว่าทุกข์เหลือเกิน ทุกข์เหลือเกิน เพราะความโกรธที่แบกเอาไว้ ครั้นจะบอกให้ปล่อยก็ไม่ยอมปล่อย เพราะว่ามันสวนทางกับความเคยชิน ของแบบนี้มันต้องฝึก แม้ว่าอยากจะปล่อย อยากจะวาง แต่ว่าถ้าไม่ฝึกมันก็ยังยึดเหมือนเดิม รู้ว่าแบกรู้ว่ายึดไม่ดีแต่ก็ยังทำ ก็อย่างที่บอกอยู่เสมอ “ดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ได้”
รู้ว่าแบกไม่ดีแต่ก็ยังแบก รู้ว่าโกรธไม่ดีก็ยังโกรธ รู้ว่าพยาบาทไม่ดีก็ยังพยาบาท เพราะว่าไม่ยอมฝึก ไม่ยอมฝึกทั้งๆ ที่รู้ว่าปล่อยและวางมันดีแต่ก็ไม่ยอมฝึกปล่อยวาง ฝึกปล่อยวางด้วยสติ อยากจะปล่อย อยากจะวาง ก็ต้องฝึกสติให้เข้มแข็ง แกร่งกล้า รวดเร็ว ฉับไว แต่จะฝึกสติได้มันก็ต้องให้เวลากับมัน
คนอยากจะปล่อยวางแต่ว่าไม่ยอมเสียเวลากับการฝึกสติ ที่จริงการฝึกสติมันก็ไม่ได้ใช้เวลาอะไรมาก แล้วก็ไม่ต้องเรียกร้องอะไรมากจากเรา ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมาวัด อยู่ที่บ้านก็ฝึกได้ ฝึกทุกวัน เก็บที่นอน ล้างหน้า ถูฟัน แต่งตัว สวมเสื้อผ้า ใส่กางเกง แม้กระทั่งกิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้ม อุจจาระ ปัสสาวะ อย่างที่สวดเมื่อสักครู่นี้ เราก็เอามาใช้เป็นโอกาสในการฝึกได้
ขณะอุจจาระปัสสาวะ ท่านยังบอกว่าให้ฝึกทำความรู้สึกตัวเลย ทำยังไง ก็คือเวลาทำอะไรก็ตาม จะอุจจาระ จะปัสสาวะ จะกิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้ม ล้างหน้า ถูฟัน ใจก็อย่าปล่อยให้มันลอยเตลิดเปิดเปิงไป แน่นอนมันลอยอยู่แล้ว เพราะว่ามันทำตั้งแต่เล็ก ตั้งแต่อ้อนแต่ออก กลายเป็นนิสัยไปเสียแล้ว แต่ฝึกได้ ฝึกให้มีสติรู้ ใจมันลอย ใจมันเผลอ ก็รู้ พามันกลับมาอยู่กับสิ่งที่ทำในปัจจุบัน
อาจจะรู้ตัวแค่ 5% ของเวลาที่ทำ แต่ก็อย่าท้อ อย่าถอย อย่าใจร้อน หลายคนอยากจะปล่อยอยากจะวางเร็วๆ พอให้ฝึก ใช้เวลา แถมฝึกก็ฟุ้งก็เลยเลิกทำ แล้วมักจะบ่นว่าไม่มีเวลา ไม่มีเวลา คนที่ทุกข์จำนวนไม่น้อยนี้ ทั้งๆ ที่ทุกข์เพราะแบก ทุกข์เพราะยึดกับเหตุการณ์ในอดีต พอบอกให้ฝึก แนะนำให้ปฏิบัติ ก็มักจะบอกว่า ไม่มีเวลา ไม่มีเวลาปฏิบัติ ไม่มีเวลาทำความรู้สึกตัว
แต่มีเวลาเคียดแค้น มีเวลาเศร้าโศก มีเวลากลัดกลุ้ม ทำไมเป็นอย่างนั้น คนที่บอกว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ แต่ให้เวลากับความทุกข์ ความเศร้าโศก ความโกรธแค้นมากเหลือเกิน ทำไมให้เวลากับมันได้ ให้เวลากระทั่งว่านอนก็ยังไม่ยอมนอน เอาแต่ครุ่นคิดหรือปล่อยใจให้จมอยู่กับอารมณ์เหล่านั้น
เรามีเวลาให้กับความโศก ความเศร้า ความโกรธ ความแค้น ได้มากมาย แต่ไม่มีเวลาให้กับการปฏิบัติ พอจะปฏิบัติ บอกว่าไม่มีเวลา ไม่มีเวลา แล้วก็บ่น แล้วก็วิงวอนร้องขอ “ขอให้หายโศก หายทุกข์ หายโกรธ หายแค้น” อันนี้เรียกว่าเป็นเพราะว่าไม่ได้ตั้งใจจริง ไม่ยอมให้เวลากับการปฏิบัติ แต่กลับให้เวลาหรือเสียเวลาไปกับความทุกข์
การปล่อยใจให้จมอยู่กับเรื่องราวที่เจ็บปวดไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ซึ่งที่จริงก็เป็นเพราะความหลง ความหลงก็พยายามหลอกล่อให้เราจมอยู่กับเรื่องอดีตหรือไปกังวลกับเรื่องอนาคต ให้หลงยึด หลงปรุง หลงแต่ง มากกว่าที่จะหันมาใส่ใจกับการปฏิบัติ หรือใส่ใจกับการปล่อยการวาง ถ้าไม่ฝึก ไม่ให้เวลากับมัน ก็คงยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้จักการปล่อยวาง ก็ปล่อยให้ความโกรธแค้น ความโศก ความเศร้า ความกลุ้ม มันทำร้ายจิตใจไปเรื่อย ๆ
ที่จริงการปฏิบัติมันควรจะทำก่อนที่จะเกิดความเครียด เกิดความทุกข์ คือ ตอนที่ยังไม่เกิดปัญหาอะไรกับชีวิตแรง ๆ มันคือเวลาที่เหมาะกับการปฏิบัติ เพราะทำให้เราสามารถปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่อง พอปฏิบัติได้ผล ถึงเวลาเกิดความทุกข์ มันก็ใช้สตินี้พาจิตออกจากความทุกข์
แต่พอไม่ปฏิบัติตอนที่ชีวิตราบรื่น เป็นปกติ ครั้นเกิดปัญหาขึ้นมา ก็ไม่สามารถจะเอาสติ เอาธรรมะมาใช้ได้ทันการ ยิ่งคนเจ็บคนป่วยด้วยแล้ว มาเห็นคุณค่าของสติ ของธรรมะ ก็ตอนที่ป่วย ไอ้ตอนที่สุขภาพดีก็ไม่สนใจ ชะล่าใจ เป็นอย่างนี้เรียกว่าแทบจะทุกคนเลย อันนี้เพราะประมาท
เพราะฉะนั้นต้องให้เวลากับการปฏิบัติเสียแต่เดี๋ยวนี้ ทำไปเรื่อย ๆ ฉวยโอกาสจากทุกอย่าง แม้กระทั่งเวลาที่อากาศร้อน ๆ อบอ้าวแบบนี้ ก็ฝึกได้ ฝึกสติ มาดูจิต มาดูเวทนา แล้วเรียนรู้ที่จะปล่อยวางความร้อน ไม่ให้มายึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา.