แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 4 มีนาคม 2567
ถ้าหากว่าเราได้ลาภก้อนใหญ่ จะทำอย่างไรกับลาภที่ได้มา มันมากกว่ารางวัลจากลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่ 10 ล้าน 100 ล้าน หรือแม้แต่พันล้าน แต่ว่าเป็นเงินหมื่นล้าน ได้ลาภมาแบบไม่ทันตั้งตัวเลย เราจะใช้เงินก้อนนี้อย่างไร แค่คิดก็เครียดแล้ว เพราะว่าหลายคนมีอะไรต่ออะไรที่อยากจะเอาเงินก้อนนี้มาใช้
ที่อเมริกา คุณยายรูธ ก็อทเทสแมน เมื่อเร็วๆ นี้ แกได้มรดกจากสามี เป็นเงินถึงพันล้านเหรียญคิดเป็นเงินไทยก็ 35,000 ล้านบาท คุณยายก็อายุ 93 แล้ว และทั้งชีวิตนี้ก็ทำแต่งานวิชาการ สอนหนังสือ ทำงานวิจัย พอได้เงิน 35,000 ล้านบาท คุณยายไม่คิดมากเลย นำเงินก้อนนี้บริจาคเพื่อเป็นทุนการศึกษาของนักศึกษาแพทย์ทั้งวิทยาลัยเลย วิทยาลัยนี้ชื่อวิทยาลัยอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นวิทยาลัยการแพทย์ คุณยายประกาศต่อหน้านักศึกษาเลย คงจะหลายร้อย อาจจะเป็นพันว่า ต่อไปนี้เรียนฟรีแล้ว ทั้งนักศึกษาปัจจุบัน แล้วก็นักศึกษาในอนาคต คุณยายคงจะผูกพันกับนักศึกษาในวิทยาลัยนี้ เพราะคุณยายก็ทำงานที่วิทยาลัยนี้มานานอาจจะ 50-60 ปีด้วยซ้ำ จนกระทั่งเกษียณ เกษียณแล้วก็คงจะช่วยงานอยู่ แล้วก็คงรู้ว่านักศึกษาจำนวนไม่น้อยหัวดีก็จริง แต่ว่าทุนทรัพย์ไม่ค่อยมีเท่าไหร่
ที่จริงนักศึกษาในอเมริกา ไม่ว่าที่ไหน ๆ เรียนหนังสือต้องจ่ายค่าเล่าเรียนเอง พ่อแม่ไม่ได้ช่วย แล้วยิ่งเรียนแพทย์ด้วยแล้ว ค่าใช้จ่ายสูงมาก ปีละ 2 ล้านบาท นักศึกษาทำอย่างไรถึงจะได้เรียน ก็ต้องทำงาน ขณะเดียวกันก็กู้เงินมาด้วย กู้เงินมาเป็นทุนการศึกษา แล้วก็หางานทำเพื่อผ่อนหนี้ กว่าจะเรียนจบก็เป็นหนี้ 7-8 ล้านบาท นักศึกษาหลายคนก็ยากจน คุณยายคงเห็นใจ อีกอย่างหนึ่ง นักศึกษาเหล่านี้จำนวนไม่น้อย จบแล้วก็จะไปช่วยคนยากคนจน ก็เลยไม่คิดมากเลย มอบเงิน 35,000 ล้านบาทให้กับวิทยาลัย เพื่อจ่ายเป็นค่าเล่าเรียนของนักศึกษาทั้งหมด ใครที่จ่ายไปแล้วก็จะได้คืน 35,000 ล้านบาท มันมากมายมหาศาลเลยทีเดียว
คนส่วนใหญ่ถ้าได้เงินก้อนนี้มาก็นอนไม่หลับ นอนไม่หลับไม่ใช่เพราะว่าอะไร แต่นอนไม่หลับเพราะว่าจะเอาเงินก้อนนี้มาใช้อย่างไรดี ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน ซื้อรถ ซื้อแล้วก็ยังเหลืออีกตั้งเยอะ แล้วจะทำอย่างไร ตอนนี้ก็เริ่มเครียดแล้ว
แต่คุณยายได้เงินมหาศาลเป็นลาภก้อนโต ไม่ได้นึกถึงตัวเองเลย ไม่ได้นึกเลยว่าจะเอาเงินก้อนนี้มาใช้ปรนเปรอตนอย่างไร จะเอาเงินที่ว่านี้ไปซื้ออะไร คนทั่วไปคิดแบบนั้นล่ะ ถ้าได้ลาภก้อนโตมาก็จะซื้อนั่นซื้อ แต่ว่าคุณยายไม่ได้นึกถึงแต่ตัวเอง ไม่นึกถึงตัวเองเลย นึกถึงคนอื่น แล้วก็ไม่ใช่แค่นึกถึงคนอื่นอย่างเดียว มีปัญญาที่รู้ว่าจะใช้เงินก้อนนี้ให้มีคุณค่าต่อชีวิตผู้คนได้อย่างไร เงินก้อนนี้เป็นเงินมรดกที่สามีมอบให้ สามีนี้รวยมาก ธุรกิจมีสินทรัพย์จะเรียกว่าแสนล้านบาทก็ว่าได้ แต่ตอนตายก็มอบหุ้นทั้งหมดที่มีให้กับภรรยา สามีอายุ 96 ภรรยาอายุ 93 ภรรยาไม่รู้มาก่อนเลยว่าสามีมอบมรดกก้อนนี้ให้ พอได้มาก็อย่างที่บอก ไม่ได้นึกถึงตัวเองเลย นึกถึงคนอื่นว่าจะเอาเงินก้อนนี้ไปช่วยเขาได้อย่างไร แล้วก็นึกถึงนักศึกษาที่ตัวเองคุ้นเคย เกี่ยวข้องมานาน นี้เรียกว่ารู้จักทำเงินให้มีคุณค่าต่อชีวิตของผู้คน และที่สำคัญก็คือว่า รู้จักทำให้ความตายของคนที่ตัวเองรักมีความหมาย
เวลาเรารักใคร แล้วเขาเกิดล้มหายตายจากไป ถ้าเรามัวแต่เสียใจ เศร้าโศก เจ่าจุก ไม่เป็นอันทำอะไร แปลว่าทำให้ความตายของคนที่เรารักมันเกิดโทษขึ้นมา
แต่คุณยาย รู้จักทำความตายของคนที่ตัวเองรักคือสามี ให้เกิดคุณค่า ด้วยการเอาไปใช้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น คุณยายบอกว่า ถ้าสามีรู้ ก็คงจะดีใจ ที่ตนเองเอาเงินมหาศาลก้อนนี้ ที่เป็นมรดกของสามี มาทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น แล้วมันไม่ใช่แค่เป็นประโยชน์กับผู้อื่นเท่านั้น มันเป็นประโยชน์กับตัวเองด้วย ในที่สุดแล้ว แต่เป็นประโยชน์ทางใจ คือ เป็นการเติมสุขให้ใจ ช่วยผู้อื่นให้เขามีความสุข เราก็พลอยมีความสุขไปด้วย คุณยายคงมีความสุขมาก ตอนที่เห็นนักศึกษาทั้งห้องประชุมเลย ดีใจ เฮกันใหญ่เลย เพราะไม่คิดว่าจะได้ข่าวดี เหมือนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 เพราะอย่างที่บอก ค่าเล่าเรียนปีหนึ่งก็ 2 ล้าน ถ้าเรียน 4 ปี 5 ปีก็ 10 ล้าน ถ้า 6 ปีก็ 12 ล้าน มันมากกว่ารางวัลที่ 1 เสียอีก แต่เป็นรางวัลที่ 1 ที่ทุกคนได้พร้อมๆ กัน ได้ทั้งวิทยาลัยเลย พอคุณยายเห็นนักศึกษามีความสุข ตัวเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย เป็นการต่ออายุให้ตัวเอง ไม่ใช่แค่มีอายุยืนอย่างเดียว แต่ว่ามีสุขภาพใจที่ดีด้วย
อันนี้ก็เป็นแบบอย่างที่น่าสนใจ เมื่อได้มรดก ลาภก้อนโตมา แทนที่จะนึกถึงตัวเอง ว่าจะเอาเงินไปใช้อะไร กลับเอาไปใช้ช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งก็ดี เพราะถ้าเก็บเอาไว้ มันก็เกิดความเครียดขึ้นมา เครียดอย่างหนึ่งก็คือว่า มีคนมาขอ มีคนมาขอแล้วจะให้อย่างไร ให้เท่าไหร่คนก็ยังรู้สึกว่าได้น้อย เพราะคิดว่า หรือคาดหวังว่าจะได้มากกว่านี้ ให้ไปแล้ว คนก็ไม่พอใจ สู้บริจาคให้เป็นประโยชน์ของสาธารณะไปเลย หมดปัญหา แล้วก็ไม่ต้องมากลัวว่าใครจะมาขโมย เรียกว่าเป็นประโยชน์ตนด้วย ทำให้ชีวิตนี้ง่ายขึ้น ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว ก็ยังทำให้ชีวิตของตัวเองนี้ง่ายขึ้น
ทรัพย์แทนที่จะเป็นทุกขลาภ ก็กลายเป็นสุขลาภ คือลาภที่นำความสุขให้กับผู้อื่น และกับตัวเองด้วย.