เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีเหตุการณ์เล็กๆ เหตุการณ์หนึ่ง จะว่าเล็กก็คงไม่เชิงแต่ว่ามันไม่ค่อยเป็นข่าวเท่าไหร่ เกิดขึ้นในประเทศอเมริกา รถนักเรียนบรรทุกนักเรียนเต็มคันรถเลย เป็นนักเรียนระดับประถม จะพานักเรียนกลับบ้าน คนขับเป็นคุณป้า ในอเมริกาโชเฟอร์ก็มีทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย ขณะที่กำลังขับปรากฏว่าแกเริ่มอาการไม่ดี แล้วรถก็เริ่มจะชะลอ ปรากฏว่ารถลดความเร็วไปได้ไม่เท่าไหร่ คุณป้าแกก็ฟลุบลงเพราะว่าแกเป็นโรคหัวใจ พอฟลุบลงรถก็เริ่มแส่ส่ายปัดไปปัดมา เด็กนักเรียนทั้งรถเลยร้องกรี๊ดเลย ตกใจ เพราะว่ารถก็ยังเร็วอยู่แล้ว ก็ไม่ค่อยเป็นที่เป็นทางเท่าไหร่ เพราะรถปัดไปปัดมา
ขณะที่เด็กในรถกำลังร้องตกใจ เด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุ 13 แกนั่งอยู่ประมาณแถวที่ 5 จากประตู แกรีบลุกเลย วิ่งไปที่คนขับ แล้วก็จับพวงมาลัยเพื่อบังคับไม่ให้ปัดไปปัดมา แล้วแกก็เหยียบเบรค ค่อยๆ เหยียบ ปรากฏว่ารถสามารถจะหยุดได้โดยที่ไม่เกิดอันตราย ไม่ได้ชนเสาไฟฟ้า ไม่ได้ชนรถที่สวนมา เด็กทั้งรถซึ่งมีประมาณ 50 คนปลอดภัย แล้วคนก็ชื่นชมเด็กคนนี้มาก มันเป็นเหตุการ์ณเล็กๆ แม้จะเป็นเหตุการณ์เล็กๆ ไม่มีใครตาย แต่ว่าถ้ามีใครตายก็คงเป็นข่าวดัง ข่าวที่ซึ่งควรจะเป็นข่าวใหญ่แต่มันกลายเป็นข่าวเล็กก็เพราะเด็กผู้ชายคนนี้แกช่วยกอบกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ แกจะทำอย่างนั้นต้องมีสติ เพราะถ้าไม่มีสติ ขวัญจะเสียเพราะว่ารอบตัวก็มีแต่เสียงกรีดร้อง คนเราเวลาอยู่ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง เสียงตกใจ บางทีก็เผลอ ตกใจไปด้วย
เด็กคนนี้เรียกว่าใจแข็ง ใจแข็งในที่นี้คือเข้มแข็ง หมายความว่าไม่หวั่นไหว ใจกระเพื่อมง่ายๆ แล้วแกก็รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร ก็มีคนถามว่าทำไมถึงรู้ว่าต้องไปจับพวงมาลัยแล้วก็เหยียบเบรค แกก็บอกว่าสังเกตไง นั่งรถคันนี้หรือว่านั่งรถโรงเรียนมาหลายครั้ง ก็สังเกตว่าจะออกรถอย่างไร และก็หยุดรถอย่างไร
เด็กคนนี้นอกจากจะมีสติดีแล้ว ยังเป็นคนช่างสังเกต เด็กบางคนขึ้นรถ ไม่ได้สนใจว่าคนขับรถเขาขับอย่างไร เอาแต่จ้องดูโทรศัพท์มือถือ หรือไม่ก็คุยกัน แต่เด็กคนนี้แกเป็นคนเรียกว่าเป็นคนช่างสังเกต อะไรที่เกิดขึ้นในแต่ละวันๆ ก็ใส่ใจรับรู้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือการมีสติ เพราะว่าถึงจะรู้ว่าจะหยุดรถยังไง จะบังคับรถยังไง ถ้าสติแตก มันลืมหมดนะ
คนก็รู้ว่าเวลารถยางแตก อย่าเหยียบเบรค แต่ว่าหลายคนพอขับรถแล้วยางแตก เหยียบเบรคทันทีเลย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าการเหยียบเบรคมันอันตรายเพราะทำให้รถพลิกคว่ำได้ แต่มันขาดสติ ไอ้ที่รู้นี่ลืมหมดเลย แต่เด็กคนนี้มีสติซึ่งน่านับถือมาก ซึ่งก็ไม่ใช่เพราะมีสติเฉพาะเหตุการณ์นั้น คงจะมีสติที่สะสมมาอยู่เรื่อยๆ
เรื่องคนขับรถเกิดหัวใจวายหรือเป็นลมหมดสติ มันเกิดขึ้นบ่อย มีครอบครัวหนึ่ง พ่อแม่ลูกนั่งรถไปต่างจังหวัด ที่บ้านก็มีคนขับรถก็อายุมากแล้ว 60 กว่า คนที่เป็นพ่อก็นั่งเบาะหน้าใกล้คนขับ ส่วนภรรยา ลูกยังเล็กอยู่ก็นั่งอยู่เบาะหลัง ระหว่างที่ขับรถอยู่ ซึ่งก็เร็วเพราะขับไปต่างจังหวัด คนขับรถเกิดหัวใจวาย ล้มฟลุ๊ปกับพวงมาลัย เท้าก็เหยียบคันเร่ง คนทั้งรถตกใจเลย พ่อตั้งสติได้ ที่จริงแม่ไม่ค่อยได้สติเท่าไร แต่พ่อได้สติ แต่จะทำอย่างไรล่ะ เพราะว่าคนขับเขา มือก็จับพวงมาลัย ตัวก็ฟลุบอยู่หน้าพวงมาลัยและเท้าก็เหยียบคันเร่ง ตัวสามีหรือผู้ชายจะพยายามเหยียบเบรคก็เหยียบไม่ได้ แล้วก็ถ้าเหยียบเบรคในขณะที่คันเร่งเหยียบมิดก็อันตรายมาก ก็อยู่ในสถานการณ์อันตราย จะทำอย่างไรนะ
ปรากฏว่าสามีได้สติขึ้นมา ก็เลยขยับเบาะของคนขับให้มันถอยหลังไปสักหน่อย จะได้มีที่ให้ตัวเองยื่นเท้าไปเหยียบเบรคได้ แต่ก่อนที่จะเหยียบเบรค ก็ต้องปล่อยให้เท้าของคนขับมันถอนออกจากคันเร่ง เพราะฉะนั้นการที่ขยับเบาะให้มันถอยลงไป มันก็ทำให้คนขับซึ่งเท้ากำลังเหยียบคันเร่งอยู่ มันก็คลายตัวลง พอเท้าคลายจากคันเร่ง มันก็เริ่มชะลอแล้ว แล้วขณะเดียวกันก็มีช่องว่างที่จะให้สามีหรือผู้ชายยื่นเท้าไปเหยียบเบรค ค่อยๆ เหยียบ จนกระทั่งรถหยุดได้โดยปลอดภัย กลายเป็นว่าครอบครัวนี้ไม่ประสบอันตราย ทั้งๆ ที่คนขับหมดสภาพไปแล้ว ทำอย่างนี้ได้ต้องมีสติ การที่จะคิดถึงหนทางว่าต้องขยับเบาะของคนขับ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากถ้ามีสติ หรือถ้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น ถ้าเป็นโจทย์ในกระดาษมาถามเรา เราก็อาจจะลองใช้วิธีนี้แหละ ต้องขยับเบาะ แต่พออยู่ในสถานการณ์นั้นมันจะนึกไม่ออก จะต้องมีสติ ชายคนนี้เขามีสติ จึงช่วยทำให้สถานการณ์วิกฤตนั้นปลอดภัยได้
สตินี้จำเป็นนะโดยเฉพาะในยุคนี้ที่เราเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่มันทั้งเร็วทั้งแรง เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่ประกอบไปด้วยเครื่องจักรอย่างรถยนต์ หรือว่าอันตรายอย่างเครื่องไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือก็เป็น เทคโนโลยีที่มันสามารถจะก่ออันตรายได้ทั้งกับตัวเราเองและกับผู้อื่น กดข้อความอย่างไม่มีสติ ก็สร้างปัญหาให้กับตัวเอง หรือว่ากดลิงก์ที่คนส่งข้อความเข้ามาด้วยความกลัว เพราะคนส่งอ้างว่าเป็นตำรวจ กดเข้าไป อ้าวโดนแฮกข้อมูล
ฉะนั้นการมีสติสำคัญนะ เราจึงจะต้องพร้อมที่จะเผชิญอุบัติเหตุหรือภัยอันตรายต่างๆ ได้ ซึ่งอันนี้ก็รวมไปถึงไฟไหม้ด้วย ไฟไหม้ที่เกิดตามอาคารถ้าไม่มีสตินี่ตายกันเยอะ เพราะเหยียบกันตายไม่ใช่ว่าเพราะไฟ หรือมิฉะนั้นก็เพราะวิ่งตามกัน
เขาจึงแนะนำว่า เวลาไฟไหม้ตึก อย่าวิ่งตามฝูงชน เพราะวิ่งตามจะอันตราย เพราะฝูงชนที่วิ่งไป ถ้าวิ่งไปแล้วไม่เจอประตู เขาจะถอยหลังกลับมา เราซึ่งวิ่งตามหลังเขาไป เราก็จะโดนฝูงชนเหยียบเอา ก็ต้องดูก่อนว่าฝูงชนนั้นวิ่งกลับมาหรือเปล่า ถ้าไม่วิ่งกลับมา แสดงว่าเขาเจอทางออกแล้ว เราก็ค่อยวิ่งตามเขาไป แต่ว่าถ้าเขายังวิ่ง อย่าไปตาม เราอยู่เฉยๆ ขณะเดียวกันก็ยืนอยู่ติดฝาผนัง เพราะถ้าฝูงชนวิ่งกลับมา ถ้าเรายืนอยู่กลางทางเดิน เราก็โดนเหยียบได้ แต่ถ้าเรายืนแอบๆ อยู่ตรงกำแพง ฝาผนังริมทางเดิน ถ้าเขาวิ่งกลับมา เราก็รอดพ้นจากการถูกเหยียบได้ แต่ถ้าเขาไม่วิ่งกลับมา แสดงว่าเขาเจอทางแล้ว เราก็ค่อยๆวิ่งไปทางนั้น แต่ธรรมดา คนเราเวลาเกิดไฟไหม้ อดไม่ได้ที่จะวิ่งตามฝูงชน เรียกว่าเฮไปไหนก็เฮไปนั่น อันนี้ก็เป็นเหตุเดียวกันกับการที่มีไทยมุง เวลามีเหตุการณ์อะไรก็มุงกันเข้าไป เวลาไฟไหม้ เขาวิ่งไปทางไหน เราก็วิ่งไปทางนั้น เหยียบกันตายบ้างล่ะ หรือมิฉะนั้นก็ไม่รู้ เขาจะพาไปไหน
เพราะฉะนั้นสติสำคัญมาก ไม่ใช่เฉพาะสำหรับการปฏิบัติธรรม สำหรับการพ้นทุกข์ แม้กระทั่งการที่จะรักษาช่วยให้รอดปลอดภัยในยุคที่อะไรๆก็เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ก็ต้องพร้อมที่จะมีสติอยู่เสมอ แล้วสติจะพาให้เกิดปัญญา ที่แก้ไขวิกฤตได้
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 2 พฤษภาคม 2566