มีคลิปวีดีโอสั้นๆ อยู่คลิปหนึ่ง ความยาวก็แค่ 1 นาที หลายๆ คนดูคลิปนี้แล้วโดยเฉพาะผู้หลักผู้ใหญ่ ส่ายหัวแล้วก็รู้สึกไม่พอใจ คลิปนี้เขาสัมภาษณ์ชายหนุ่มคนหนึ่ง เริ่มต้นด้วยคำถามว่า เคยได้ยินไหมบุญคุณพ่อแม่ต้องชดใช้ แกบอกว่าเคย แล้วแกก็ตอบว่าไม่ได้รู้สึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ หรือไม่ได้รู้สึกว่าพ่อแม่มีบุญคุณอะไรกับตัวเขาเลย ประโยคนี้ประโยคเดียวก็ทำให้หลายคนเกิดอาการไม่พอใจ
เขาไม่รู้สึกเลยว่าพ่อแม่มีบุญคุณอะไรกับเขาเลย แล้วเขาอธิบายว่า สิ่งที่พ่อแม่ให้กับเขามันเป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่ขั้นพื้นฐาน เป็นความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม สิ่งแวดล้อม การศึกษา เป็นหน้าที่ของพ่อแม่อยู่แล้วที่จะต้องให้กับเรา แล้วเขาก็โยงไปถึงว่าก็เหมือนกับเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว เมื่อเอาหมาแมวมาเลี้ยงก็ต้องมีหน้าที่ให้อาหารให้การดูแล นี่เป็นเหตุผลของเขาว่าทำไมเขาจึงรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ได้มีบุญคุณอะไรกับเขา โดยการเน้นว่ามันเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดูเขา
ที่จริงฟังดูมีเหตุมีผล แต่ว่าเป็นเหตุผลที่ยังไม่ครบถ้วนเท่าไหร่ เพราะว่ามีหลายคนที่เรารู้สึกสำนึกในบุญคุณของเขา ทั้งๆ ที่สิ่งเขาทำก็อาจจะเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่ง เช่น ครู หมอ แล้วครูหลายคนหมอหลายคนเขาก็ทำหน้าที่ของเขา เขามีเงินเดือนด้วย เขาไม่ได้สอนฟรี ไม่ได้รักษาฟรี แต่ทำไมเรารู้สึกสำนึกในบุญคุณของเขา เพราะว่าเขาไม่ได้ทำตามหน้าที่อย่างเดียว แต่ว่าเขามีอย่างอื่นให้ด้วย เช่น ความรัก ความเมตตา ความเสียสละ
แล้วครูที่เราเรียนมาตั้งแต่เล็กจนโต หลายคนที่เราเคารพนับถือ เราสำนึกในบุคคลของครูเหล่านั้น ทั้งที่ท่านก็มีเงินเดือนสอนเรา แต่เราก็ซาบซึ้งบุญคุณของท่าน เพราะว่าท่านมีความรักความเมตตา เขาไม่ได้ทำตามหน้าที่อย่างเดียว หมอก็เหมือนกัน หมอหลายคนเขาก็มีความรักความเมตตาต่อคนไข้ เอาใจใส่ ไม่ได้ทำเพราะว่าเป็นหน้าที่ล้วนๆ หรือเป็นเพราะว่าเขามีเงินเดือนเราจึงเห็นว่าไม่มีเหตุผลที่เราจะต้องสำนึกในบุญคุณของเขา
พ่อแม่ก็เหมือนกัน ในด้านหนึ่งท่านตระหนักว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องเลี้ยงดูลูกให้อยู่รอดปลอดภัยและเติบใหญ่ แต่ว่าท่านก็ไม่ได้ทำเท่านั้น ท่านให้ความรักความเมตตา ซึ่งตรงนี้แหละที่มันกินใจหรือว่าสร้างความซาบซึ้งใจให้กับผู้เป็นลูก การที่ผู้เป็นลูกไม่มีความรู้สึกสำนึกในบุญคุณของพ่อแม่เพราว่าเห็นเป็นหน้าที่ ก็อาจจะเป็นไปได้ว่ามีพ่อแม่จำนวนหนึ่งที่เรียกว่า ยังให้ความรักความเมตตากับลูกไม่เพียงพอ
ในแง่นี้ก็อาจจะต้องกลับมามองว่า การที่วัยรุ่นคนนี้หรือว่าเด็กจำนวนหนึ่งมีความคิดแบบนี้ เป็นเพราะการเลี้ยงลูกที่ผิดหรือเปล่า เพราะเราก็ต้องยอมรับว่ามีพ่อแม่จำนวนไม่น้อยเลยที่เขาเรียกว่าเลี้ยงลูกด้วยเงิน มีพ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่เลี้ยงลูกด้วยเงิน จนกระทั่งมีความพูดว่า คนสมัยนี้ไม่ได้เป็นสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแล้ว แต่เลี้ยงลูกด้วยเงิน เป็นไปได้ว่าการที่พ่อแม่จำนวนหนึ่งเรื่องลูกด้วยเงิน แต่ว่าไม่มีเวลาให้ลูก หรือว่าไม่สามารถแสดงความรักให้กับลูกได้อย่างถูกต้อง มีความรักก็จริงแต่ว่าใช้วิธีการบังคับเคี่ยวเข่นกดดันด้วยความปรารถนาดี
แต่ว่าสำหรับลูกแล้วเขาไม่รู้สึกถึงความรักที่พ่อแม่มีต่อเขา พ่อแม่อาจจะมีแต่ว่าความเรียกร้องคาดหวังไปบดบังความรักของพ่อแม่ ก็ทำให้เด็กหรือวัยรุ่นจำนวนหนึ่งเขารู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ได้รักเขา แต่ว่าเลี้ยงดูเขาเพราะรู้สึกว่าเป็นหน้าที่เป็นอย่างนี้ก็เป็นธรรมดาที่จะมีเด็กหรือวัยรุ่นจำนวนหนึ่งเขารู้สึกว่าไม่เห็นจะต้องเป็นบุญเป็นคุณกันเลย เพราะเป็นหน้าที่ แต่ที่น่าสนใจคือ เขาไปเปรียบเทียบการเลี้ยงลูกกับการเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว ที่จริงเปรียบเทียบแบบนี้ก็น่าคิด เพราะว่าหมาแมวไม่ว่าเจ้านายจะเลี้ยงยังไง มันก็รักเจ้าของ ยิ่งหมาแล้วด้วยมันภักดีเลยกับเจ้าของ เจ้าของอาจจะเลี้ยงเพราะว่าเป็นหน้าที่ แต่ว่าในสำนึกของหมาแล้วก็รวมทั้งแมวด้วย มันจะรู้สึกรักภักดีกับเจ้าของ จะเรียกว่ามีควากตัญญูก็ได้ มีตัวอย่างมากมายว่า หมาแมวเวลาเห็นเจ้านายเป็นทุกข์ มันก็เดือดร้อน มันก็พยายามช่วยเหลือ ตัวอย่างที่อาตมาเคยเล่ามาเยอะแยะ หมาแมวที่ช่วยเจ้าของด้วยความสำนึกในบุญคุณ
ถ้าหนุ่มคนนี้เปรียบเทียบตัวเองเหมือนกับหมาแมว ก็ยังเปรียบเทียบไม่ถูกต้อง เพราะว่าหมาแมวเขายังรักเจ้าของ ยังสำนึกในบุญคุณเจ้าของ ถ้าเปรียบเทียบหมาแมวอย่างถูกต้องก็หมายความว่า ควรจะมีสำนึกในบุญคุณต่อพ่อแม่ เช่นเดียวกับหมาแแมวที่สำนึกในบุญคุณต่อเจ้าของด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าคิด
คนที่เป็นพ่อแม่เวลาดูคลิปนี้แล้วบางทีเราอย่าพึ่งไปโทษเด็กอย่างเดียว ต้องกลับมาดูตัวเราเองด้วยแล้วว่า เราเลี้ยงดูลูกนี่ถูกหรือเปล่า เราเลี้ยงลูกด้วยเงิน หรือว่าเราเลี้ยงลูกด้วยความรัก ให้เวลากับเขา หรือว่าเอาแต่กดดันให้เรียกร้อง ที่จริงเราสามารถเรียนรู้ได้จากการเลี้ยงแมว แล้วคนจำนวนไม่น้อยเลี้ยงแมว แมวมันไม่ได้เชื่อฟังเจ้าของเสมอไป เลี้ยงแมวดีอย่างไงแมวก็ไม่ค่อยเชื่อฟัง สั่งนั่นสั่งนี่มันก็ไม่ค่อยทำตาม บางทีมันกัดมันข่วนด้วยซ้ำ แต่เจ้าของก็ยังรัก แล้วก็บางทีถึงกับยอมตนเป็นทาสแมวเลย คือแมวจะทำอย่างไงก็ไม่ว่า เพราะอะไร เพราะความรัก มันเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่คาดหวังแมวว่าจะต้องเชื่อฟังเจ้าของ
บางทีพ่อแม่ควรจะต้องมีความรักแบบนี้บ้าง รักลูกเหมือนกับรักแมว ปฏิบัติต่อลูกเหมือนกับปฏิบัติต่อแมว คือไม่คาดหวัง มีแต่ความรักให้ แล้วคนเราถ้าหากว่าเราทำดีแล้วเราคาดหวังจากใครก็ตามมันก็เป็นทุกข์ โดยเฉพาะการไปคาดหวังจากลูก โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้นเป็นวัยรุ่น
บางทีพ่อแม่อาจจะไม่รู้ว่าความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อลูกไปสร้างแรงกดดันให้กับลูก แล้วพอลูกไม่เป็นไปตามความคาดหวัง พ่อแม่ก็โกรธ ไม่ใช่แค่เสียใจ พอโกรธแล้วก็เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน ที่จริงถ้า หากว่าปฏิบัติกับลูกเหมือนกับปฏิบัติกับแมว มันจะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ได้เยอะเลย เพราะว่าถ้าไม่คาดหวังจากลูก ความขัดแย้งก็จะมีน้อยลง
ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่คนที่เป็นพ่อแม่ต้องกลับมาถามตัวเองว่า เราเลี้ยงลูกดีหรือเปล่า ที่ลูกเป็นอย่างนี้ไม่ใช่เพราะว่าเขาอาจจะมีสันดานอกตัญญู อาจจะเป็นเพราะการเลี้ยงลูกที่ผิดพลาดก็ได้ ฉะนั้นท่าทีของคนที่เป็นพ่อแม่เมื่อเจอคำพูดของลูกแบบนี้ นอกจากหันมามองตัวเองแล้ว อย่างหนึ่งที่ต้องมีคือความอดทน มีความใจกว้างเพราะว่าเรามีวุฒิภาวะมากกว่า
เด็กอาจจะไม่มีวุฒิภาวะเขาจึงพูดแบบนั้น แต่เราก็เชื่อว่าเขายังเปลี่ยนแปลงได้ วัยรุ่นหลายคนคนก็คิดแบบนี้แหละแต่พอเป็นพ่อเป็นแม่เปลี่ยนไปเลยความรู้สึกความนึกคิด พอเป็นพ่อคนแม่คนถึงรู้ถึงสำนึกในความรู้สึกของพ่อแม่ที่ให้กับตน ตอนเป็นวัยรุ่นไม่รู้สึกหรอก แต่พอเป็นพ่อเป็นแม่แล้วมารู้สึก
หรือเวลาไปช่วยเหลือใครแล้วเขาไม่ทำดีตอบ หลายคนโกรธ เราทำดีกับเขา เราช่วยเขา ทำไมเขาไม่สำนึกในบุญคุณของเราเลย ถึงตรงนี้แหละถ้าเรารู้จักมองแล้วก็จะพบว่า เออแล้วทำไมเราไม่สำนึกบุญคุณของพ่อแม่
เราเรียกร้องให้คนอื่นมาสำนึกในบุญคุณของเรา ที่เราช่วยเขาไม่ได้ช่วยเพราะเป็นหน้าที่ แต่เราช่วยเขาเพราะเป็นความรักความเมตตา ตรงนี้แหละจะทำให้หลายคนพอโตขึ้นเปลี่ยนใจ มีวุฒิภาวะมากขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น เพราะฉะนั้นคนที่เป็นพ่อเป็นแม่เจอลูกพูดแบบนี้อย่าไปโกรธ อย่าไปเกลียด อย่าไปตีอกชกหัว เพราะว่าคนเปลี่ยนแปลงได้ ปล่อยให้เขามีประสบการณ์
แล้วที่จริงอาตมาก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าคลิปนี้เป็นการแสดงหรือเป็นการสัมภาษณ์จริง เพราะเดี๋ยวนี้มีคลิปมากมายโดยเราไม่รู้เลยว่ามันจริงหรือปลอม อาจจะเป็นการแสดงก็ได้ เพื่อสะท้อนความรู้สึกของคนหนุ่มสาว ซึ่งอาจจะไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงไปหมด และถึงแม้ว่าเป็นความจริง เขาให้สัมภาษณ์จริง ก็อย่าไปเหมารวมว่าวัยรุ่นหนุ่มสาวทุกคนเป็นอย่างนั้น อาจจะมีคนคิดแบบนี้บ้างแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะถ้าไปเหมารวมว่าวัยรุ่นสมัยนี้เป็นอย่างนี้ ก็ทำให้เกิดความรู้สึกที่เป็นอคติต่อวัยรุ่นหนุ่มสาวได้ อย่าไปเหมารวม ต้องมีความใจกว้างด้วย ไม่อย่างนั้นจะเกิดความขัดแย้งกันระหว่างรุ่นระหว่างวัย แล้วก็ทำให้ปัญหามันลุกลามขึ้น แทนที่จะเกิดความเข้าใจกัน มีเมตตา มีกรุณา มีความใจกว้าง มันสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงคนได้
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 16 พฤษภาคม 2566