การเป็นหมอในโรงพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐ เป็นงานหนักเพราะว่าคนไข้เยอะ โดยเฉพาะโรงพยาบาลระดับจังหวัดระดับศูนย์ หมอนอกจากต้องดูแลคนไข้ทั้งวันแล้ว วันไหนเข้าเวรเป็นหมอเวรก็หมายความว่ามีเวลาพักผ่อนน้อย เพราะฉะนั้นหมอหลายท่านเลยที่ตั้งใจทำงาน จะรู้สึกว่ามีปัญหาเรื่องอดหลับอดนอน โดยเฉพาะช่วงที่เป็นหมอเวร
มีหมอคนหนึ่งเล่าว่า คืนหนึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นหมอเวร หลังจากตรวจดูคนไข้เรียบร้อยก็ไปพัก กะว่าจะนอนสักหน่อยเพราะว่าทำงานเหนื่อย ปรากฏว่านอนได้ประเดี๋ยวเดียว ไม่ถึงชั่วโมง พยาบาลมาเรียกเพราะว่ามีผู้ป่วยเกิดอาการวิกฤต ตัวหมอเองรู้สึกว่าเพลีย ไม่ค่อยอยากตื่น แต่ว่าด้วยความสำนึกในหน้าที่ก็เลยลุกจากเตียง แล้วก็ไปหาคนไข้ พอไปถึงวอร์ดหรือหอผู้ป่วยคนไข้ สีหน้าท่าทีเปลี่ยนไปเลย ยิ้มให้กับพยาบาล แล้วก็คุยเล่นว่าณเดชน์มาแล้ว ก่อนหน้านี้หมอรู้สึกเพลีย แต่ว่าพอไปถึงหอผู้ป่วยนี่ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดเล่นกับพยาบาลว่าณเดชณ์มาแล้ว บิลลี่มาแล้ว แล้วก็ดูแลคนไข้อย่างตั้งใจ
มีคนสงสัยว่าทำไมคุณหมอท่านนี้ไม่มีอาการหงุดหงิดเลยเพราะว่าอดหลับอดนอน จะได้พักสักทีก็มีคนมาปลุกมาขัดขวาง หมอคนอื่นเขาจะมีอาการหงุดหงิดหรือว่าไม่ค่อยสดชื่นแจ่มใสเท่าไหร่ หมอคนนี้แกก็อธิบายว่า จริงๆ ก็เพลียนะ แล้วก็ไม่อยากลุกหรอก แต่ว่านึกถึงพยาบาล พยาบาลทำงานหนักกว่าเราเยอะ เขาทำงานดูแลคนไข้ทั้งคืน ไม่มีโอกาสมางีบ แล้วถ้าเขาไม่มีปัญหาเขาคงไม่มารบกวนเรา เราได้มีโอกาสมางีบ แล้วได้มาช่วยเขาก็ประเดี๋ยวประด๋าว เดี๋ยวเราก็กลับไปนอนต่อได้ แต่พยาบาลต้องทำงานต่ออีก แล้วที่สำคัญคือนึกถึงคนไข้ว่า คนไข้เขามีความทุกข์มีความทรมานมาก เขาลำบากกว่าเราเยอะเลย เราแค่อดหลับอดนอน แต่ว่าคนไข้อาจจะถึงตายก็ได้ถ้าเราไม่มาช่วยเขา ถึงแม้มาช่วยก็ไม่ใช่ว่าเขาจะสุขสบายเท่าไหร่ ก็ยังมีความทุกข์เพราะโรคเบียดเบียน พอนึกได้แบบนี้ก็เลยไม่ได้หงุดหงิดอะไร
พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ความทุกข์ของเรามันเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความทุกข์หรือความลำบากของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นพยาบาลหรือว่าคนไข้ โดยเฉพาะคนไข้สำคัญมาก การที่เราไปช่วยดูแลเขา อาจจะช่วย ทำให้เขารอดตายได้ หรืออย่างน้อยก็คลายความเจ็บปวด คลายความทุกข์ทรมาน ซึ่งหนักหนากว่าการอดหลับอดนอนเยอะ พอคิดขึ้นได้แบบนี้ก็เลยไม่รู้สึกหงุดหงิดอะไร ตรงข้ามเราก็ต้องทำให้เรารู้สึกสดชื่น ล้อเล่นกับพยาบาลเพื่อที่เขาจะได้มีกำลังใจทำงาน รวมทั้งพูดคุยดีๆ กับคนไข้ เขาจะได้รู้สึกดีขึ้น อันนี้ก็เป็นมุมมองหรือ วิธีคิดของคุณหมอท่านนี้ ซึ่งช่วยทำให้ไม่มีความหงุดหงิด ไม่มีความโกรธเคืองเวลามีคนมาขัดจังหวะการนอน หรือเวลามีความไม่สะดวกสบายอย่างอื่น
อันนี้เรียกว่ารู้จักคิดถึงคนอื่นเป็น เป็นเพราะรู้จักนึกถึงคนอื่น นึกถึงพยาบาลที่ลำบากกว่าเรา หรือนึกถึงคนไข้ที่เขาทุกข์ทรมานกว่าเรา ก็ทำให้ความทุกข์ของเรากลายเป็นเรื่องเล็ก ทำให้ไม่มีเชื้อให้กับความโกรธความหงุดหงิด คนเราถ้าคิดถึงคนอื่นมากเท่าไหร่ ความโกรธเคืองหรือความหงุดหงิดที่ไม่รู้สึกสบายก็จะลดลง รวมทั้งความทุกข์อย่างอื่นด้วย
มีผู้หญิงคนหนึ่งเล่าว่า บ่ายวันหนึ่งมีรถแท็กซี่คันหนึ่งจอดหน้าบ้าน แล้วมาจอดตรงประตูรั้วบ้านพอดีซึ่งเป็นทางเข้าออกรถของเธอ เธอไม่พอใจมาก แล้วยิ่งเขามาหลบอยู่ใต้ร่มไม้ของพ่อที่พ่อเธอปลูก เธอก็ไม่พอใจว่าที่พ่อเจอปลูกต้นไม้มาไม่ใช่เพื่อให้ใครมาหลบอยู่ใต้ร่มไม้ ไม่ใช่ให้ใครมาจอดรถพักอยู่ที่หน้าบ้าน แต่สักพักเธอก็เปลี่ยนความรู้สึก เมื่อมาคิดได้ว่า หน้าบ้านของเธอมีต้นไม้ มันให้ร่มเงาที่ร่มรื่นน่าพักผ่อน แล้วพอคิดถึงต้นไม้ที่พ่อเธอปลูกก็รู้สึกดีใจ ที่ต้นไม้ที่พ่อปลูกและดูแล มันเป็นประโยชน์กับผู้คน ให้คนเขาได้มาพักผ่อนเติมพลัง
แล้วเธอยิ่งรู้สึกดีเมื่อเห็นแท็กซี่เอาข้าวกล่องมากิน ก็เลยได้คิดว่าเขาคงเหนื่อย คงทำงานมาเหนื่อย เขาได้มีโอกาสมาพัก แล้วก็ได้เติมพลังเติมกำลังโดยอาศัยร่มเงาของพ่อของต้นไม้ที่พ่อปลูก อีกอย่าง หนึ่งถนนนั้นก็กว้างพอ ถ้าเราจะขับรถออกจากบ้านก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แล้วตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่เราต้องใช้รถด้วย ไม่มีธุระปะปังอะไร พอเธอคิดได้แบบนี้ แทนที่จะเกิดความหงุดหงิดเกิดความไม่พอใจ กลายเป็นความรู้สึกสบาย ความรู้สึกโปร่งโล่ง มีความภูมิใจ มีความสุข รู้สึกดีใจ ความคิดความรู้สึกมันเปลี่ยนไปได้อย่างไร ก็เพราะนึกถึงคนอื่น นึกถึงแท็กซี่ที่เขาได้มาพักอาศัยร่มเงาของต้นไม้ที่พ่อปลูก นึกถึงต้นไม้ของพ่อว่ามันได้ทำประโยชน์กับผู้คน
พอนึกถึงคนอื่น นึกถึงสิ่งดีๆ ที่พ่อได้ทำให้เป็นประโยชน์กับผู้อื่น นึกถึงคนที่เขาเหนื่อยแล้วเขาได้มีโอกาสมาพักใต้ร่มไม้นั้น มันเกิดความรู้สึกที่เป็นกุศล เกิดเมตตา ก็ขับไล่ความโกรธความไม่พอใจออกไป เกิดความสุขมาแทนที่ อันนี้เพราะคิดถึงคนอื่น
การคิดถึงแต่ตัวเอง มันมีเหตุผลมากมายที่จะโกรธที่จะไม่พอใจ มันที่ของฉัน มันหน้าบ้านของฉัน แล้วฉันจะออกได้อย่างไร เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เกิดความรู้สึกหวงแหนขึ้นมา แต่พอนึกถึงความทุกข์ความลำบากของผู้อื่น แล้วความสุขที่เขาจะได้ ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับเขานี่ มันเกิดความรู้สึกที่ดี
คนเราเวลามีความทุกข์อะไร ลองนึกถึงประโยชน์ของผู้อื่น หรือนึกถึงความทุกข์ของเขาดู บางทีช่วยทำให้ความทุกข์ของเราเล็กลง แล้วทำให้เราเกิดความรู้สึกดีขึ้นมา เป็นความรู้สึกดีที่เกิดจากเมตตากรุณา.
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 18 พฤษภาคม 2566