หลายคนคงรู้ว่าตอนนี้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่กำลังมาแรงคือโปรแกรมอะไร ไม่ใช่ติ๊กต๊อก (tiktok) แต่ว่าเป็นโปรแกรมที่ชื่อ แชทจีพีที (ChatGPT) เปิดตัวเมื่อปลายปีที่แล้ว คนนิยมมากพูดกล่าวขานกันมากมาย ตอนนี้ 6 เดือนแล้วก็มีคนเอาไปใช้หลายร้อยล้านคนแล้ว แล้วเอาไปใช้จริงๆ ไม่ได้เอาไปแค่ดูเล่นเหมือนติ๊กต๊อก เพราะว่าโปรแกรมนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยสิ่งที่เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ เพราะว่ามันสามารถที่จะตอบคำถามสารพัดของผู้คนได้ เรียกว่าแทบทุกเรื่องเลย ใครจะสงสัยอยากรู้เรื่องอะไรก็ถาม แล้วไม่ใช่ตอบคำถามอย่างเดียว เขาสามารถที่จะทำงานแทนเราได้ในหลายเรื่อง เข่น สั่งให้เขียนโปรแกรม หรือว่าสั่งให้เขียนนิยายเรื่องสั้น หรือว่าแก้โจทย์คณิตศาสตร์
เพราะฉะนั้นนักศึกษานักเรียนหลายคนจะทำรายงานก็ไม่ต้องใช้หัวสมองตัวแล้ว ใช้แชทจีพีทีนี่แหละช่วย จนเดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าผลงานที่ออกมาเป็นงานของใครกันแน่ ของคน หรือว่าของแชทจีพีทีซึ่งเป็นเหมือนกับสมองกลหรือปัญญาประดิษฐ์ มันทำงานได้สารพัด ความผิดพลาดก็มีเยอะ แต่ว่ามันก็คงจะดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็มันทำอะไรที่น่าพิศวงหลายอย่าง
เมื่อเร็วๆ นี้ มีหมอกลุ่มหนึ่งเขาอยากจะทดสอบว่า แชทจีพีทีสามารถจะให้คำแนะนำทางการแพทย์แก่คนทั่วไปได้ดีแค่ไหน เขาก็เลยป้อนคำถามประมาณ 200 คำถาม เกี่ยวกับสุขภาพการแพทย์ลงไปในเว็บไซต์หรือว่าในเวทีออนไลน์ คำถามสารพัดเกี่ยวกับโรคหัวใจ เกี่ยวกับโรคปอด เกี่ยวกับเรื่องปัญหาสายตา ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเบาหวาน แล้วก็พอส่งคำถามไปแล้วก็ให้หมอตอบคำถาม แต่ว่าไม่ใช่หมออย่างเดียวเขาให้แชทจีพีทีตอบด้วย คำตอบที่ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์หรือว่าอยู่ในเวทีสาธารณะออนไลน์ ไม่มีใครรู้ว่าอันไหนเป็นของมนุษย์ของหมอ อันไหนเป็นของแชทจีพีที เพราะว่าแชทจีพีทีเดี๋ยวนี้เขาตอบด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายเหมือนกับคนพูดคนพิมพ์เลยทีเดียว
อันนี้ไม่ใช่แค่นั้น เขาก็ให้คนอ่านรวมทั้งหมอด้วยให้คะแนนต่อคำตอบคำแนะนำ ว่าระหว่างคำแนะนำของแชทจีพีทีกับของหมอใครแนะนำได้ดีกว่า คนให้คะแนนก็ไม่รู้ว่าคำแนะนำนี้เป็นของใครเพราะมันเหมือนๆ กันหมด แต่ว่าคนที่ส่งคำถามไปเขารู้ว่าคำตอบนี้อันไหนเป็นของคน อันไหนเป็นของปัญญาประดิษฐ์ เขาพบว่าคำแนะนำที่มาจากปัญญาประดิษฐ์หรือแชทจีพีที มันดีกว่า ดีกว่าที่หมอหรือคนแท้ๆ แนะนำ อย่างเช่นเขาพบว่า ประมาณครึ่งหนึ่งคือ 46% ของคำแนะนำที่มาจากแชทจีพีที มีคนให้คะแนนว่ามีความเข้าอกเข้าใจคนที่มีปัญหา ขณะที่คำตอบหรือคำแนะนำของหมอที่เข้าอกเข้าใจคนป่วย มีคนให้คะแนนเพียงแค่ 5% แล้วเขาก็ดูว่า คำถามหรือคำแนะนำอันไหนที่ไม่ได้เรื่องบ้างหรือรับไม่ได้ เขาพบว่าคำแนะนำของหมอ 1 ใน 4 เขาบอกว่ารับไม่ได้ มันห้วน มันไม่มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ขณะที่ของแชทจีพีทีมีแค่ 3% ที่เขาบอกว่ารับไม่ได้
สรุปคือ คำแนะนำของแชทจีพีทีในแง่คุณภาพเฉพาะตัวเนื้อหาดีกว่าคำแนะนำของหมอ 20% กว่า แล้วก็ถ้าพิจารณาถึงความเข้าอกเข้าใจความเห็นใจ คำแนะนำของแชทจีพีทีดีกว่าของหมอถึง 40%
นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก ปัญญาประดิษฐ์ซึ่งมันไม่มีจิตไม่มีใจหรือว่าเป็นเครื่องยนต์(อาตมาใช้คำนี้) มันสามารถจะให้คำแนะนำทางสุขภาพทางการแพทย์ได้ดีกว่าคน ทั้งในแง่เนื้อหาข้อมูลแล้วก็ความเข้าใจความเห็นอกเห็นใจ เขาก็เลยบอกว่า ต่อไปคนเราโดยเฉพาะคนที่ต้องให้คำแนะนำเช่นหมอ จะต้องเรียนรู้จากแชทจีพีที เรียนรู้จากปัญญาประดิษฐ์ เรียนรู้จากโปรแกรมว่าเขามีวิธีการอย่างไร ในการพูด ในการสื่อสาร ในแง่ความรู้ แชทจีพีทีก็มีมากกว่าอยู่แล้ว เพราะว่ามันเป็นปัญญาประดิษฐ์เข้าถึงข้อมูลได้มากมายสารพัด แต่ทั้งนี้ก็สุดแท้แต่ว่าคนจะป้อนได้แค่ไหน ที่น่าทึ่งกว่าคือความเห็นอกเห็นใจ
แต่ว่านี่ก็เป็นเพียงด้านดีของแชทจีพีที ด้านที่ไม่ดีหรือด้านที่น่าห่วงก็มีเยอะ เพราะว่าข้อมูลที่เขาให้ที่ผิดก็มี สุดแท้แต่จะป้อนอะไรเข้าไป ป้อนขยะ สิ่งที่ออกมาก็คือขยะ ป้อนคำตอบที่ถูกจริง สิ่งที่ออกมาก็คือข้อความคำแนะนำที่ถูก
ตอนนี้แชทจีพีทีหรือปัญญาประดิษฐ์มันทำอะไรได้มากกว่านั้นเยอะเลย ซึ่งทำให้หลายคนเป็นห่วงมาก เพราะว่าข้อมูลที่ออกมาก็มีทั้งผิดและถูก และเดี๋ยวนี้ปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่แค่ให้ข้อมูลอย่างเดียว มันสามารถที่จะประดิษฐ์ภาพ รูป และเสียงเลียนแบบคนได้ เดี๋ยวนี้มีภาพของคนนั้นคนนี้ซึ่งคนที่ไม่รู้ก็นึกว่าเป็นภาพจริง แต่ที่จริงป้ญญาประดิษฐ์มันสร้างขึ้น แล้วต่อไปเราก็ไม่รู้ว่า ข้อมูลที่เราได้รับจากปัญญาประดิษฐ์จริงหรือเปล่า รวมทั้งคลิปวีดีโอด้วย ต่อไปถ้ามีคลิปอาตมาบรรยายอยู่ อาจจะแยกแยะไม่ถูกว่าเป็นคลิปที่อาตมาพูดจริงหรือเปล่า หรือว่าเป็นคลิปที่ปัญญาประดิษฐ์สร้างขึ้นมา ทั้งภาพและเสียง ข้อความ เผลอๆ อาจจะคล้ายคลึงกันหรือว่าไปคนละทิศคนละทางก็ได้
ทีนี้คนเราถ้าหากว่าไม่มีวิจารณญาณก็หลงเชื่อง่าย หลงเชื่อสิ่งที่ปัญญาประดิษฐ์ป้อนให้เรา แล้วไม่ใช่แค่นั้น เดี๋ยวนี้ปัญญาประดิษฐ์มีแนวโน้มที่จะสามารถที่จะทำอะไรได้หลายอย่าง รวมทั้งเจาะข้อมูล เจาะข้อมูลเข้าไปในบัญชีเงินของเรา หลอกเอาเงินเราไป เจาะข้อมูลส่วนตัวของเราเอาไปใช้ในทางที่ไม่ถูก แต่นั่นก็ยังไม่เสียหายเท่ากับการเจาะข้อมูลเพื่อบงการระบบ ระบบไฟฟ้า ระบบพลังงาน ระบบขนส่ง ซึ่งเดี๋ยวนี้มันออนไลน์หรือทำด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งนั้นแหละ ถึงแม้จะมีการเฝ้าระวังอย่างสูง ไม่ให้ใครแอบเจาะข้อมูลเข้าไป แต่ต่อไปแชทจีพีทีหรือปัญญาประดิษฐ์มันก็คงจะทำได้ แล้วคนก็เลยมีความเป็นห่วงว่าต่อไปโลกจะวุ่นวาย ถ้าหากว่าคนที่ประสงค์ร้ายเอาปัญญาประดิษฐ์ไปใช้ในทางที่ผิด
ตอนนี้ก็เลยมีนักคิด ผู้นำ นักธุรกิจจำนวนมาก รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ด้วย ทำจดหมายเรียกร้องให้ระงับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์สักระยะหนึ่ง เพื่อจะได้พัฒนาระเบียบกฎเกณฑ์กติกาเกี่ยวกับปัญญา ประดิษฐ์ รวมทั้งกฎหมายด้วย เพื่อควบคุมให้มันอยู่ในร่องในรอยอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง แต่ว่าก็เป็นแค่ความเห็น เพราะว่าไม่มีใครที่จะหยุดยั้งระงับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ เพราะคิดว่าถ้าเขาไปถึงก่อน ทำได้ก่อน ก็จะได้เปรียบกว่า
ในขณะที่ปัญญาประดิษฐ์จะพัฒนาไปเรื่อยๆ แล้วก็มีการถูกใช้ในทางที่อาจจะน่าวิตกน่ากลัว โดยเฉพาะตอนนี้มันสามารถจะให้ข้อมูลหรือป้อนข้อมูลที่ผิดๆ ได้ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้คือต้องมีสติ ต้องมีวิจารณญาณมากขึ้น อย่าไปหลงเชื่อ สิ่งที่ข้อความปรากฎออกมา เราไม่รู้เลยว่าเป็นคนที่ทำหรือว่าเป็นปัญญาประดิษฐ์ทำ
เดี๋ยวนี้ ถึงกับมีการเสนอว่า บทความหรือข้อความหรือข้อเขียนใดๆ ก็ตาม รวมทั้งข้อมูลข่าวสารใดๆ ที่ผลิตโดยปัญญาประดิษฐ์ จะต้องมีการระบุว่าผลิตโดยปัญญาประดิษฐ์ ให้คนรู้ จะได้แยกแยะได้ว่าเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ว่าก็ไม่รู้ว่าจะมีคนปฏิบัติหรือว่ายอมรับแค่ไหน
เพราะฉะนั้นในยุคนี้ ยิ่งอะไรที่มันพัฒนาเร็ว เทคโนโลยีก้าวหน้านี่ ยิ่งต้องมีสติมากขึ้น สติในที่นี้รวมไปถึงการที่ไม่เพียงแต่มีวิจารณญาณ แต่รวมถึงการไม่หนุนหันพลันแล่น ไม่หุนหันพลันแล่นเชื่อนั่นเชื่อนี่ง่ายๆ ฟังหูไว้หูไว้ก่อน เพราะไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม หรือว่าเป็นข้อมูลเท็จหรือเฟค หรือว่าเป็นความจริง อันนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องไตร่ตรองมากขึ้น มันน่ากลัวยิ่งกว่ามิจฉาชีพพวกคอลเซ็นเตอร์ พวกคอลเซ็นเตอร์หลอกเงินเราไป เรายังพอรู้ว่าถูกหลอก แต่ว่าถ้าหากปัญญาประดิษฐ์หลอกเรานี่ บางทีไม่รู้เลยเพราะมันเนียนมาก แล้วคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองถูกหลอกถูกป้อนข้อมูลผิดๆ ไปนี่ น่ากลัวกว่าการรู้ว่าตัวเองถูกหลอก แล้วก็ระมัดระวังตัวมากขึ้น.
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 19 พฤษภาคม 2566