PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
  • ไปวัดเป็นนิจ ชีวิตยืนยาว
ไปวัดเป็นนิจ ชีวิตยืนยาว รูปภาพ 1
  • Title
    ไปวัดเป็นนิจ ชีวิตยืนยาว
  • เสียง
  • 11614 ไปวัดเป็นนิจ ชีวิตยืนยาว /aj-visalo/2023-05-01-05-29-16.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันจันทร์, 01 พฤษภาคม 2566
ชุด
ธรรมะสั้นๆ ก่อนอาหารเช้า 2566
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 7 มีนาคม 2566

    การมาวัด ถ้าเราฉลาดเราก็จะได้ประโยชน์หลายอย่างจากการมาวัด ไม่ใช่แค่มาทำบุญ แต่ว่ายังสามารถจะได้สัมผัสกับความสงบ โดยเฉพาะวัดที่มีความร่มรื่น มีต้นไม้ให้ร่มเงา หรือบางคนอาจจะได้รับความสงบใจ จากการที่ไปนั่งพักใจในโบสถ์ในวิหาร ได้เห็นพระพักตร์ของพระพุทธรูปที่สงบ ก็อาจจะเกิดความปิติปราโมทย์ แม้จะเป็นเพียงแค่ชั่วขณะ หรือบางคนก็อาจจะได้มีโอกาสทำกิจกรรมกับผู้คน ซึ่งก็อาจจะกลายเป็นมิตร ถ้าหากว่าวัดนั้นมีกิจกรรมที่สามารถจะให้คนได้มาร่วมทำอย่างสม่ำเสมอ

    ที่จริงสมัยก่อน ชาวบ้านมาฟังธรรมทุกวันพระ ไม่ใช่แค่ได้ทำบุญถวายทาน ไม่ใช่แค่ฟังธรรม แต่ว่าได้พบปะผู้คน ได้มิตรได้เพื่อนฝูง หรือว่าได้มาปรับทุกข์ผูกมิตรกัน อันนี้เป็นประโยชน์ในทางโลกก็ว่าได้ ไม่ใช่แค่ประโยชน์ในทางธรรม เป็นประโยชน์ในทางโลกในความหมายที่ว่า ทำให้มีชุมชนมีหมู่มิตรที่ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกัน อันนี้ส่งผลทางจิตใจด้วย แล้วถ้าเกิดว่าทำสม่ำเสมอ ก็ส่งผลให้อายุยืนได้ อย่างน้อยๆ ทำให้อายุไม่สั้น

    มีความเจ็บป่วย ใช้คำว่าเจ็บป่วยที่ทำให้ผู้คนล้มตาย ความตายที่ว่านี่เขาเรียกว่าเป็นความตายที่เกิดจากความผิดหวัง อันนี้เป็นคำใหม่ความตายที่เกิดจากความผิดหวังนี่ ครอบคลุมถึงความตาย 3 ประเภท ตายเพราะเสพยามากเกินไป ตายเพราะติดสุรากินเหล้ามาก จนกระทั่งป่วยเป็นมะเร็ง หรือว่าเป็นโรคนานาชนิด รวมทั้งโรคที่เกี่ยวกับหัวใจและสมอง รวมทั้งการฆ่าตัวตาย เดี๋ยวนี้มีคนจัดกลุ่ม ว่าการตายเพราะ 3 สาเหตุนี่ เรียกว่าตายเพราะความสิ้นหวัง หรือตายเพราะความหมดหวัง ซึ่งก็สัมพันธ์กัน คนที่ฆ่าตัวตายก่อนที่จะฆ่าตัวตายก็อาจจะกินเหล้า อาจจะเสพยา แล้วพอถึงจุดหนึ่งก็ไม่ไหว ก็เลยฆ่าตัวตาย

    คราวนี้มีปรากฏการณ์หนึ่งในอเมริกา เขาพบว่าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา คนที่อยู่ในวัยกลางคน ผิวขาว ตายเพราะความผิดหวังหรือตายเพราะความสิ้นหวังเยอะมาก ก่อนหน้านั้นตัวเลขของคนที่ตายเพราะ ความสิ้นหวังมันตกลง ลดลงไปเรื่อยๆ แต่พอถึงช่วงปีสัก 1990 หรือเมื่อ 30 ปีที่แล้ว คนที่ตายเพราะความสิ้นหวังเพิ่มสูงขึ้น เส้นกราฟชันขึ้นเลย เขาก็สงสัยเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะว่ายาเสพติดมันแพร่ระบาดหรือเปล่า ซึ่งก็มีส่วน เพราะว่าช่วงนั้นมียาที่เขาใช้อ้างว่าบรรเทาปวด บรรเทาปวดอย่างชะงักเลย แต่เขาพบว่าพอกินไปๆ กลายเป็นติดยานี้ เพราะว่ามันมีสารเสพติด จนกระทั่งตายเพราะยาเสพติด แต่ว่าเขาต้องการศึกษาให้แน่ใจว่า คนที่ตายเพราะความสิ้นหวัง เป็นเพราะติดยามากหรือเพราะมีความทุกข์มาก จนกระทั่งเข้าหาเหล้าหรือว่าฆ่าตัวตาย

    แล้วเขาพบว่า ในรัฐที่ผู้คนเข้าโบสถ์เป็นประจำ รัฐไหนที่คนเข้าโบสถ์เป็นประจำทุกวันอาทิตย์ ถ้ามีมาก คนผิวขาวที่อยู่ในวัยกลางคนแล้วฆ่าตัวตายจะลดลงมากเลย ในทางตรงข้าม รัฐไหนที่คนไปเข้าโบสถ์น้อยทุกวันอาทิตย์ คนที่ตายเพราะความสิ้นหวังก็จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างสอดคล้องกัน คือในอเมริกามีธรรมเนียมว่าเข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ คนที่นับถือศาสนาคริสต์นี่ ก็คล้ายๆ กับชาวพุทธเราสมัยก่อน ก็มาฟังพระเทศน์หรือเข้าวัดทุกวันพระ แต่ของเขาทุกวันอาทิตย์

    ทีนี้เขาก็มีวิธีสังเกตว่าทำไมถึงสรุปแบบนี้ วิธีหนึ่งคือว่าศึกษาหรือเปรียบเทียบระหว่างรัฐที่มีการยกเลิกกฎหมายฉบับหนึ่ง ในอเมริกามีกฎหมายฉบับหนึ่งว่า วันอาทิตย์ให้หยุดค้าขาย ไม่มีการเปิดร้านค้า เพื่อคนจะได้ไปเข้าโบสถ์ ตอนหลังบางรัฐเขาก็ยกเลิกกฎหมายที่ว่า คือเปิดร้านเปิดห้างได้แม้กระทั่งวันอาทิตย์ ซึ่งก็มีผลทำให้คนเข้าโบสถ์น้อยลง เขาเปรียบเทียบระหว่างรัฐที่มีกฎหมายที่ว่านี้กับรัฐที่ไม่มีการยกเลิก พบว่ารัฐที่มีการยกเลิกกฎหมายนี้ คนที่ตายเพราะความสิ้นหวังจะสูงขึ้น เพราะอะไร เพราะว่าไม่ค่อยได้ไปโบสถ์แล้ว ไปเที่ยวห้างแทน หรือไม่ก็เจ่าจุกอยู่ที่บ้าน ส่วนรัฐที่ไม่มีการยกเลิกกฎหมายที่ว่านี้ หมายความว่าคนก็จะเข้าโบสถ์มากขึ้นหรือเป็นประจำ เพราะว่าวันอาทิตย์ไม่มีร้านค้าเปิด

    เขาเปรียบทียบสองรัฐนี้แหละ แล้วพบว่ามันมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ว่ารัฐที่ส่งเสริมให้คนเข้าโบสถ์ คนจะตายเพราะความสิ้นหวังน้อย ในขณะที่รัฐที่ไม่ส่งเสริมให้คนเข้าโบสถ์ คนจะตายเพราะความสิ้นหวังมาก เลยสรุปได้ว่า การที่คนเราได้มีโอกาสมาโบสถ์เป็นประจำทุกวันอาทิตย์ มีส่วนช่วยบรรเทาความทุกข์ในจิตใจของผู้คน เพราะว่ามีเพื่อน มีชุมชน เรียกว่ามีสังคม ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นแม้จะไม่ใกล้ชิดนัก  แต่ก็มีผลให้คนมีความรู้สึกมีจิตใจดีขึ้น มีความทุกข์ก็มีคนที่จะฟังรับรู้ความทุกข์ หรือว่าช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เอื้อเฟื้อแบ่งปันกัน ทำให้ความคิดที่จะฆ่าตัวตายลดลง หรือพูดง่ายๆ คือความทุกข์ในจิตใจบรรเทาลง จนไม่เลือกที่จะฆ่าตัวตาย

    อันนี้เขาเลยเป็นข้อสรุปว่า การที่คนเราเข้าวัดเป็นประจำ มีส่วนช่วยทำให้จิตใจคนดีขึ้น มีความทุกข์น้อยลง จนกระทั่งไม่คิดที่จะฆ่าตัวตาย แต่ถ้าหากว่าไม่มีกิจกรรมอย่างที่ว่า มีความทุกข์มาก สุดท้ายก็หาทางออกด้วยการจบชีวิตตัวเอง แล้วเขาพบว่า เพียงแค่ความศรัทธายังไม่พอ เพราะว่าคนที่สวดมนต์อยู่ในบ้าน อันนี้ไม่มีผลที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ได้ดีเท่ากับการที่ได้มาโบสถ์ ได้ทำกิจกรรม ได้มีมิตรมีสหาย เป็นประจำสม่ำเสมอทุกอาทิตย์ แล้วเขามีการวิจัยที่แห่งหนึ่งในอังกฤษ บุคลากรสุขภาพนับแสนคนเลยถ้าไปโบสถ์สม่ำเสมอ การที่จะป่วยเป็นโรคร้าย หรือฆ่าตัวตายก็น้อยลง เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นอานิสงส์ประการหนึ่งของการมาโบสถ์

    ถ้าเป็นบ้านเมืองเรา คือถ้าเรามีกิจกรรมสม่ำเสมอที่วัด ก็จะช่วยได้ แล้วมันก็มีผลต่อจิตใจมากกว่าการทำกิจกรรมในทางโลก หรือในสถานที่ที่เป็นสมาคมหรือว่าหน่วยงาน อันนี้ผลทางจิตใจจะน้อยกว่าการที่ได้มาทำกิจกรรมรวมกันสม่ำเสมอในวัด ซึ่งก็มีวัดหลายวัดที่ผู้คนนิยม เพราะว่าตอบสนองประโยชน์ด้านนี้ คือช่วยบรรเทาความทุกข์ในจิตใจได้.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service