พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 7 มีนาคม 2566
มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นชาวอเมริกัน อายุ 21 อาชีพเป็นนางแบบ เธอดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของตัวเองดี ออกกำลังกาย กินมังสวิรัติ ดูจะมีอนาคต แต่แล้ววันหนึ่ง ชีวิตที่เหมือนราบรื่นมันก็พลิกผัน เพราะว่าเจ็บป่วยจะเรียกว่าโรคร้ายทีเดียวก็ไม่เชิง แต่ว่าอาการก็หนักมาก
หัวใจหยุดเต้นไป 3 ครั้ง มีช่วงหนึ่งโคม่า แถมยังต้องตัดขาทั้งสองข้างทิ้ง แล้วหัวใจก็อ่อนแอ เรียกได้ว่า ไม่สมประกอบก็ได้ เธอเฉียดตายมาหลายครั้งแล้ว ไม่รู้เลยว่าการรักษาที่เธอได้รับถึงขั้นผ่าตัดหัวใจนี่ มันจะทำให้เธอมีสุขภาพดีไปยืนยาวแค่ไหน
แต่เธอก็กลับบอกว่า นี่ฉันเป็นคนที่โชคดีที่สุดคนหนึ่งในโลกนี้เพราะว่าฉันยังมีอนาคต สามารถใช้ชีวิตไปข้างหน้าได้ สามารถที่จะมีลูก แล้วก็สามารถที่จะใช้ชีวิตได้ตามปรารถนา ก่อนที่เธอจะพูดแบบนี้ได้ก็ ผ่านอะไรต่ออะไรมามากมายเลวร้ายหลายอย่าง อย่างที่ว่าเฉียดตายไปหลายครั้ง หมอที่ดูแลเธอทึ่งมาก ทั้งๆ ที่เจออะไรต่ออะไรมากมายแต่ว่าตลอดเวลาก็ยังยิ้มได้ ใจสู้ ไม่มีอาการทดท้อสิ้นหวัง หรือก่นด่าชะตากรรมที่ตัวเองต้องมาเจออะไรร้ายๆ แบบนี้
คือเดิมทีเธอก็มีปัญหามาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว ลิ้นหัวใจที่ปกติของคนเราจะมี 3 ส่วน ของเธอมี 2 ส่วน ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักตั้งแต่เล็ก เวลาจะใช้แรงเช่น ออกกำลังกาย วิ่งก็ลำบาก แต่ก็ประคองตัวมาได้ จนกระทั่งเมื่อ 2 ปีที่แล้วปรากฏว่าติดเชื้อโควิด ทั้งๆ ที่ฉีดวัคซีนแล้ว โควิดนี่ไปทำอะไรกับร่างกายเธอหลายอย่าง รวมทั้งหัวใจด้วย
หัวใจที่ทั้งอ่อนแออยู่แล้ว พอเจอกับโรคโควิดเข้า ก็หมดสภาพเลย เป็นลม ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ต้องพาส่งโรงพยาบาล ในระหว่างนั้นหัวใจหยุดเต้นตั้ง 3 ครั้ง ปั๊มขึ้นมาแล้วก็หยุดเต้นอีก ปั๊มขึ้นมาอีก ก็หยุดเต้นอีก หยุดเต้นไป 3 ครั้ง สุดท้ายหัวใจก็เริ่มกลับมาทำงานได้ แต่อ่อนแอมาก ก็เลยต้องใช้เครื่องช่วยชีวิตหลายอย่างเช่น เครื่องฟอกไต เครื่องช่วยหายใจ เพราะว่าหัวใจมันทำงานได้ไม่เต็มที่
พอหัวใจทำงานได้ไม่เต็มที่ ทั้งๆ ที่ใช้เครื่องมือเครื่องไม้มากมาย ปรากฏว่าร่างกาย อวัยวะมันก็เริ่มชัตดาวน์ (หยุดทำงาน) ไปทีละส่วน ขณะที่อวัยวะส่วนที่อยู่ปลายๆ เช่น เท้า เลือดไปเลี้ยงไม่ถึง เพราะว่าหัวใจไม่มีกำลัง สุดท้ายเซลล์ตามปลายขามันก็เริ่มตาย
ทีแรกหมอก็ตัดข้อขาทิ้ง แต่ว่าตัดแล้วมันก็ยังไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น เพราะว่าท่อนขาเริ่มจะตาย ที่สุดก็ต้องตัดขาทั้งสองข้าง คนซึ่งเป็นนางแบบ คนซึ่งชอบออกกำลังกายถึงแม้จะไม่หนัก หรือถ้าแม้แต่เป็นคน ธรรมดาอย่าว่าแต่เป็นสาวเลย คนวัยกลางคนหรือแม้แต่คนชรา ถ้าตื่นมาแล้วพบว่าขาสองข้างมันหายไปนี่ โอ้ มันทำใจยากนะ แต่ผู้หญิงคนนี้เธอชื่อแคลร์ พอรู้ว่าขาทั้งสองข้างหายไป ไม่ได้ตกใจ ไม่ได้เศร้า โศก กลับบอกว่าขอบคุณนะที่ช่วยรักษาชีวิตฉันเอาไว้ ขอบคุณหมอ แล้วยังถามว่า แล้วฉันจะใช้ขาเทียมได้ไหม
ทั้งพ่อแม่ของเธอ เพื่อนๆ หรือแม้แต่หมอเองก็ประหลาดใจ เพราะว่าคนที่ฟื้นขึ้นมาแล้วพบว่าขาหายไปทั้งสองข้าง แทบจะร้อยทั้งร้อยก็จะต้องเสียอกเสียใจ มันเหมือนกับว่าอะไรบางอย่างที่สำคัญในชีวิต หรือตัวตนส่วนหนึ่งหายไป ยิ่งคนที่เป็นนางแบบด้วยแล้ว ยิ่งหวงแหนในขาของตัวมาก แต่แคลร์ทำใจได้ดีมาก สามารถที่จะรับมือกับการสูญขาทั้งสองข้างได้ โดยไม่เสียอกเสียใจหรือคับแค้น จะว่าไปก็เพราะมองบวกก็ได้
มองบวกคือ มองว่าอะไรคือสิ่งที่ยังเหลืออยู่ มองบวกคือมองสิ่งที่มีอยู่ ไม่สนใจสิ่งที่ไม่มีหรือสิ่งที่หายไป อันนี้คือลักษณะของการมองบวกอย่างหนึ่ง ให้ความสำคัญกับสิ่งที่มี ไม่สนใจกับสิ่งที่ไม่มี หรือสิ่งที่สูญหายไป พอรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ก็ขอบอกขอบใจหมอที่ช่วยรักษาชีวิตเอาไว้ได้
แต่ว่าก็ยังไม่หมดปัญหาเพราะว่าหัวใจที่ยังอ่อนแอ อวัยวะต่างๆ ที่แย่ มันค่อยๆ ส่งผลมาทีละอย่างสองอย่าง วันดีคืนดีก็พบว่าลำไส้เล็กฉีดขาด เลือดก็ไหล เลือดตกใน พูดง่ายๆ ร่างกายทรุดทันทีเลย ปรากฏว่าต้องมีการให้เลือดอย่างปัจจุบันทันด่วน ต้องให้เลือดแบบเร็วมากคือ ต้องใช้เครื่องปั๊ม ซึ่งมันก็เสี่ยงกับการที่หัวใจจะล้มเหลว แต่ว่าก็รอดมาได้
รอดมาได้ ส่วนหนึ่งเพราะว่าใจเธอสู้ด้วย คือมีความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิต ไม่ว่ามันจะทุกข์ มันจะยากอย่างไร ก็มีความหวังว่าฉันไหว ฉันไหว ปรากฏว่าสามารถที่จะให้เลือด แล้วก็ทำให้มีชีวิตยืนยาวต่อไปได้ แต่ก็ยังมีปัญหาตามมาก็คือร่างกายมันเกิดแปรปรวน เวลาให้อาหาร แม้แต่ให้ทางสายยาง ร่างกายไม่ยอมตอบรับ สารอาหารที่ให้เข้าไป ก็ทำให้เกิดอาการขาดอาหารขึ้น ร่างกายผ่ายผอม น้ำหนักลดไปเกือบ 30 กก.ได้
หัวใจที่อ่อนแออยู่แล้วก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ผมก็ร่วง ที่ผมร่วงไม่ใช่เพราะสารเคมีอะไร มันร่วงเพราะว่าร่างกายขาดสารอาหารมาก ก็ต้องช่วยปลุกปล้ำกันจนกระทั่งร่างกายพอจะค่อยๆ รับสารอาหารได้ทีละนิดๆ แต่ก็ยังผอมอยู่
แต่สุดท้ายร่างกายก็ค่อยๆ เริ่มฟื้นคืนตัวขึ้นมา ซึ่งก็ต้องใช้เวลานานมาก แต่ว่ามันไม่ได้อาศัยหมออาศัยยาอย่างเดียว เจ้าตัวก็ต้องมีกำลังใจด้วย ไม่ปล่อยให้ความกลัวหรือความเครียดมาเล่นงานจิตใจ เพราะว่าขืนเป็นอย่างนั้น อวัยวะที่บอบบางอยู่แล้วก็จะแย่ การรักษาที่มันค่อนข้างจะสุ่มเสี่ยงอยู่แล้ว เพราะว่ามันเป็นการรักษาในยามวิกฤต มันจะได้ผลช้า หรือไม่ได้ผลเลย
แต่เขาบอกว่าร่างกายของเธอก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมันก็เริ่มกลับมาทำงานได้ปกติ แต่ว่าปัญหาที่สำคัญก็ยังคงมีอยู่คือหัวใจที่มีลิ้นที่ไม่ครบ และทางเดียวที่จะทำได้ก็คือต้องเปลี่ยนลิ้นหัวใจ การเปลี่ยนลิ้น หัวใจนี่หมอบอกว่าต้องเอาลิ้นหัวใจของหลอดเลือดอีกหลอดเลือดหนึ่ง เอาลิ้นหัวใจของหลอดเลือดที่พาเลือดไปเลี้ยงปอดนี่มาใส่แทนลิ้นหัวใจที่เป็นหลอดเลือดแดงซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญ
การทำแบบนี้ก็ไม่ใช่ทำได้ง่าย เพราะมีไม่กี่คนที่ทำได้ เอาลิ้นหัวใจจากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงปอดมาใส่แทนลิ้นหัวใจของหลอดเลือดแดง แล้วก็ไปเอาลิ้นหัวใจของคนที่ตายแล้ว มาใส่แทนลิ้นหัวใจของ หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงปอด มีหมอไม่กี่คนที่ทำได้แต่ว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด แล้วหมอบอกว่า สภาพสังขารร่างกายของเธอแบบนี้ มันผ่าไม่ได้หรอก ผอม ต้องฟื้นฟูร่างกาย
ปรากฏว่าแคลร์ยอมที่จะทุ่มเทเพื่อให้ร่างกายดีขึ้น ออกกำลังกายเพื่อให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้นกว่าเดิม คนที่ไม่มีขา 2 ข้าง มีแต่ขาเทียม แค่เดินเหินก็ลำบากอยู่แล้ว แต่ว่าเธอพยายามออกกำลังกาย เธอชอบปีนเขา ออกกำลังกายด้วยการปีนเขา ด้วยขาที่เป็นขาเทียม เหนื่อยแค่ไหนก็ยอม เพื่อให้ร่างกายกลับมาแข็งแรง และทำให้มีน้ำหนักกลับมาเหมือนเดิม
ใช้เวลาไม่กี่เดือน น้ำหนักที่หายไป 30 กก.กว่า ก็กลับมา ซึ่งจะทำอย่างนี้ได้มันต้องมีวินัยมาก วินัยทั้งในการกิน ทั้งวินัยในการออกกำลังกาย เหนื่อยแค่ไหนก็ทำ เพื่ออะไร เพื่อจะได้สามารถผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจได้ สุดท้ายนี่ ร่างกายก็พร้อมสำหรับการผ่าลิ้นหัวใจ แล้วก็ผ่าได้สำเร็จ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการผ่าหัวใจในกรณีที่มันค่อนข้างเสี่ยงแบบนี้ มันต้องมีกำลังใจ ต้องมีความหวัง ใจสู้ ก็ปรากฏว่าผ่าได้ สำเร็จ แต่ก็ยังต้องประคับประคองกันต่อไป
ทั้งที่ชีวิตยังมีความไม่แน่นอน แต่เธอก็บอกว่าฉันเป็นคนที่โชคดีที่สุดคนหนึ่งในโลกนี้ โชคดีเพราะว่ายังสามารถใช้ชีวิตไปข้างหน้าได้ ยังมีอนาคต ยังสามารถมีลูกได้ เธอก็พยายามมองว่า ทั้งๆ ที่เสียขาไปสองข้าง แล้วก็ทั้งๆ ที่หัวใจยังไม่รู้ว่าจะใช้ได้นานแค่ไหนถึงแม้ว่ามันจะผ่าได้สำเร็จ อาจจะไม่เกิน 20 ปี แต่ว่าเธอก็ไม่มองว่าอะไรที่สูญเสียไป แต่มองว่าอะไรที่ฉันยังมีอยู่ และอะไรที่ฉันยังสามารถจะมีได้
มีคนจำนวนไม่น้อยที่หากว่าเจอความเจ็บป่วยแบบนี้ หรือเจอความพร่องของร่างกาย ก็คงหมดเรื่อวหมดแรงเลย หรือถึงไม่หมดเรี่ยวหมดแรงก็มีความเครียด มีความวิตกกังวลว่าฉันจะอยู่รอดไหม ฉันจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีขา 2 ข้างเหมือนเดิม มันจะวิตกกังวลสารพัด แค่ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นกับร่างกาย มันก็ทำให้หลายคนเกิดความรู้สึกที่ท้อแท้หมดหวัง แล้วก็มองลบมองร้าย ไม่ใช่แค่เครียดวิตกกังวลอย่างเดียว บางทีเกิดความคับแค้น ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเป็นฉัน
แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ เพื่อนๆ รวมทั้งครอบครัว รวมทั้งหมอทึ่งมากที่เธอมีกำลังใจ มีความหวัง แล้วก็มองบวกอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เจออะไรต่ออะไรที่แย่ๆ ทยอยกันมาทีละอย่างสองอย่าง ร่างกายของเธอมันอ่อนแอ แต่ว่าเพราะใจสู้ เพราะใจไม่ปล่อยให้ความทุกข์มันครอบงำ มันก็เลยช่วยฉุดกายที่ย่ำแย่ให้ค่อยๆ ดีขึ้น ทำให้ตอบสนองต่อการรักษาของหมอได้ ทั้งที่หัวใจหยุดเต้นไปแล้ว 3 ครั้ง โคม่าอีกต่างหาก แล้วก็เจอโรคสารพัด
ตอนที่เธอขาดอาหาร ก็ชักหลายครั้ง ขาดอาหารหนักมาก จากการที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่อสารอาหาร ทั้งชัก ทั้งกล้ามเนื้ออ่อนแรง สุดท้ายก็โคม่า แต่ว่าก็ไม่สิ้นหวัง คนจำนวนไม่น้อย พอเจอความทุกข์ แบบนี้มากๆ เข้า ทีแรกก็อาจจะมีความหวัง มีกำลังใจ แต่พอเจอซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันท้อเลย เพราะแค่ทุกขเวทนาจากโรคมันก็พอแรงอยู่แล้ว ยังต้องมาเจอทุกขเวทนาจากการรักษา แต่ว่าเธอก็มีความหวัง
กรณีนี้เป็นกรณีที่น่าประทับใจมาก มันชี้ให้เห็นเลยว่า การมองบวกเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยทำให้เราสามารถที่จะฟันฝ่าความทุกข์ ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้ แม้ว่าจะเจอโรคร้าย อย่างที่เคยเล่าถึงเด็กคนหนึ่งอายุน่าจะราว 12 หรือ 14 เป็นมะเร็งที่สมอง จิตอาสาไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล แต่เด็กคนนี้เนี่ยเขากลับดูยิ้มแย้มแจ่มใส โอภาปราศรัย ชวนจิตอาสาวาดรูป
จิตอาสาก็ยังอดสงสัยไม่ได้เลย เธอป่วยขนาดนี้ยังมีอารมณ์วาดรูปเหรอ แถมชวนจิตอาสาวาดรูปด้วย คุยไปคุยมาเธอบอกว่า หนูโชคดีนะที่เป็นแค่มะเร็งสมอง มีญาติคนหนึ่งป่วยเป็นมะเร็งมดลูก ทุกข์ทรมานมากเลย หนูโชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง โอ้ นี่ขนาดเป็นมะเร็งสมอง เป็นขนาดนี้ยังบอกว่าเป็นแค่มะเร็งสมอง
การมองบวกมันช่วยได้เยอะเลยในการที่จะช่วยให้คนรับมือกับอุปสรรคต่างๆได้ แต่นอกจากการมองบวกแล้วการมองอย่างหนึ่งที่สำคัญ หรือการทำใจอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ การทำใจให้ตรง หรือมองเห็นให้ตรง ตรงคืออะไร คือตรงตามความเป็นจริง หรือทำใจให้ถูกต้อง
การมองเห็นตรงตามความเป็นจริง มันไม่ใช่แค่มองให้เห็นว่าไม่มีอะไรที่เที่ยง ไม่มีอะไรที่เป็นสุขอย่างแท้จริง ไม่มีอะไรที่เป็นเราเป็นของเรา หรือว่ามองให้เข้าใจถึงอนัตตา เพียงแค่มองให้เห็นความจริงว่า มันไม่มีอะไรที่เราสามารถจะควบคุมไปได้ทุกอย่าง แล้วก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ชีวิตของเราจะราบรื่น มองเห็นความเป็นจริงว่า ชีวิตเรานี่ยากที่จะทำให้อุปสรรคทั้งหลายมันหมดสิ้นไปได้ หรือมองว่ามันไม่สามารถที่จะทำให้ความทุกข์มันหมดไปจากชีวิตของเราได้
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราทำได้ คือ การที่รักษาใจไม่ให้ทุกข์ รอบตัวมันจะลำบากอย่างไรแต่เรารักษาใจไม่ให้ทุกข์ได้ เหมือนกับเราห้ามฝนไม่ให้ตกไม่ได้ แต่เราสามารถที่จะดูแลตัวเองไม่ให้เปียกได้ด้วยการกางร่ม ฝนจะตกยังไงแต่เรามีร่มกาง ฝนก็ไม่สามารถทำให้กายเราเปียกได้
หรือเหมือนกับมีเรื่องเล่าว่า มีพระราชาองค์หนึ่ง เวลาเดินไปไหนนี่ มันมีหินมีกรวดมีทราย เดินก็เจ็บก็ปวดเพราะว่าเดินเท้าเปล่า ทำยังไงถึงจะเดินได้สะดวกสบาย ทีแรกก็คิดว่ามันต้องปูแผ่นหนังไปทุกหนทุกแห่งที่ย่างเท้าไป แต่ลองคิดดูถ้าหากว่าเราจะปูแผ่นหนังไปยังทุกหนทุกแห่งที่เราเดิน มันคงยากลำบาก
ปุโรหิตก็เสนอว่า มันจะไม่ดีกว่านี้หรือถ้าหากว่าเอาหนังนี่มาหุ้มเท้าแทน เดินไปไหนมันก็จะไม่เจ็บไม่ปวด จะมีหินจะมีกรวดยังไง เดินไปก็ไม่ถูกหินถูกกรวดทิ่มแทง เพราะว่าอะไร เพราะว่ามีหนังมาหุ้มเท้าไว้ แทนที่จะเอาผืนหนังวางแผ่ไปยังทุกหนทุกแห่ง แค่เราเอาแผ่นหนังมาหุ้มเท้าไว้ เราก็เดินไปที่ไหนสะดวก
เชื้อโรคนี่เราไม่สามารถที่จะกำจัดมันให้หมดไปได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้เพื่อที่เราจะได้ไม่เจ็บไม่ป่วยก็คือ สร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายของเรา พอภูมิคุ้มกันในร่างกายของเรามันเข้มแข็ง เชื้อโรคมันจะมีมากเพียงใด มันก็ทำให้เราเจ็บป่วยไม่ได้
ในทำนองเดียวกัน ในโลกนี้หรือรอบตัวเรา ในชีวิตของเรา มันก็จะมีสิ่งที่ไม่ถูกใจเรามากมาย การที่เราจะกำจัดสิ่งที่ไม่ถูกใจให้หมดไปจากชีวิตของเรา หรือให้พ้นหูพ้นตาเรานี่ มันเป็นไปได้ยากมาก คนที่พูดไม่ถูกใจ คนที่ทำอะไรไม่ถูกใจ หรือสิ่งที่ไม่ถูกใจเรา มันมีเยอะแยะไปหมด เราจะกำจัดมันให้หมดไป ไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือ ปรับเปลี่ยนที่ใจ หรือดูแลใจของเรา
เราปรับเปลี่ยนคน กำจัดสิ่งอื่นให้ออกไปจากชีวิตของเราไม่ได้หมดทุกอย่าง แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือ ทำใจของเราให้ถูกต้อง เจออะไรไม่ถูกใจก็แล้วแต่ แต่ถ้าเรารักษาใจให้ถูกต้อง มันก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้าเราไม่รู้จักรักษาใจให้ถูกต้อง มันจะถูกสิ่งที่ไม่ถูกใจมากระทำย่ำยีซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะกำจัดสิ่งที่ไม่ถูกใจให้หมดไปมันยาก แต่ว่าเรารักษาใจให้ถูกต้องได้
หลวงพ่อชาท่านก็เคยพูดว่า อะไรที่เกิดขึ้นมันก็ถูกต้องของมันอยู่แล้ว แต่ที่เราทุกข์เพราะเราวางใจผิด ทีนี้พอเราวางใจให้ถูกต้อง เจอความไม่ถูกใจอะไร มันก็ไม่ทำให้ใจเราทุกข์ รักษาใจให้ถูกต้องก็คือ รักษาใจให้เป็นปกติ อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่ปล่อยให้มันมาคุกคามจิตใจ มีความโกรธเกิดขึ้น มีความเกลียดเกิดขึ้น ถ้าปล่อยให้มันครอบงำใจ ใจก็ไม่ถูกต้องแล้ว
แต่ถ้าเรามีสติ ไม่ปล่อยให้ความโกรธความเกลียดมาครอบงำใจ ใจเราก็กลับคืนสู่ความถูกต้องได้ และจะว่าไปแล้ว จะให้คนอื่นทำอะไรที่ถูกต้อง มันก็ยากเหมือนกันนะ นอกจากการกระทำ คำพูดที่ไม่ถูกใจแล้ว จะคาดหวังให้ทุกคนทำสิ่งที่ถูกต้องไปเสียหมด มันก็ยาก สิ่งที่เราทำได้ก็คือ ทำใจของเราให้ถูกต้อง
มีโค้ชคนหนึ่งพวกเราอาจเคยรู้จัก โค้ชอ๊อด เป็นโค้ชทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย เวลาซ้อมระหว่างทีมเอกับทีมบี บ่อยครั้งที่โค้ชอ๊อดเป็นกรรมการ แกจะแกล้งตัดสินให้มันผิด ลูกออกก็บอกว่าลูกถูกต้องแล้ว โอเคแล้ว บางทีลูกดีก็บอกว่าลูกออก นักกีฬาก็ไม่พอใจนะ ไม่พอใจว่าทำไมกรรมการตัดสินอย่างนี้ ว่าลูกดีกลายเป็นลูกออก แล้วเวลาฝ่ายตรงข้ามตบลูกออกก็บอกว่าลูกดี โมโหกรรมการ หาว่ากรรมการไม่แฟร์
โค้ชอ๊อดก็บอกว่า แกตั้งใจ เพื่อให้รู้ว่าเวลาเล่นจริงๆ มันจะหวังความถูกต้องจากกรรมการไปทุกครั้ง มันไม่ได้ การตัดสินของกรรมการ บางทีก็ผิดพลาด บางทีก็ไม่แฟร์ แต่นี่คือความจริงในเกมกีฬาที่ทุกคน ต้องยอมรับและเข้าใจ และทำใจให้ได้ เพราะถ้าทำใจไม่ได้ จะหงุดหงิด พอหงุดหงิดหัวเสียแล้วก็จะเล่นผิดเล่นพลาด
เก่งแค่ไหนถ้าหัวเสียก็เล่นผิดเล่นพลาดได้ แพ้ในที่สุด ที่หัวเสียเพราะอะไร เพราะยอมรับไม่ได้ที่กรรมการตัดสินผิด กรรมการตัดสินไม่ถูกต้อง พอไปคาดหวังความถูกต้องจากกรรมการ จากเกมกีฬา อันนี้ แหละคือความพลั้งพลาดของนักกีฬา เพราะในเกมกีฬา มันจะหวังความถูกต้องไปเสียหมดก็ไม่ได้
แล้วมันไม่ใช่เกมกีฬาอย่างเดียว ในชีวิตจริงก็เหมือนกัน แม้ว่าความถูกต้องเป็นสิ่งดี แต่ว่าการกระทำที่ไม่ถูกต้องมันเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ เราไม่สามารถจะบังคับหรือบงการให้ทุกคนทำสิ่งที่ถูกต้องได้ แต่สิ่ง หนึ่งที่เราทำได้ ก็คือรักษาใจของเราให้ถูกต้อง คือเป็นปกติ ไม่ขึ้นไม่ลง หรือไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งที่มากระทบ
ฉะนั้นถ้าเรารักษาใจให้เป็นปกติหรือมีความถูกต้อง มันก็ทำให้เราไม่ทุกข์ได้แม้เจออะไรไม่ถูกใจก็เป็นเรื่องของเขา แต่ใจเราถูกต้อง แม้เจอคนทำอะไรไม่ถูกต้องเราก็ไม่ทุกข์ เพราะยังไงเราก็รักษาใจให้ถูกต้องอยู่แล้ว
และนี่ก็คือการทำความเห็นให้ตรง หรือทำใจให้ตรง ซึ่งก็เป็นธรรมะข้อหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ จะมีข้อสุดท้ายที่ว่าทิฏฐุชุกรรม คือความเห็นตรง เห็นตรงคือ ตรงตามความเป็นจริง หรือรวมไปถึงการวางใจให้ถูกต้องด้วย ซึ่งอันนี้มันก็จะไปเสริมกับการมองบวก
มองบวกแล้ว ต้องเห็นตรงหรือการวางใจให้ถูกต้องด้วย จะมองบวกอย่างเดียวอาจจะไม่พอ มันก็ต้องรู้จักวางใจให้ตรง ให้ถูกต้อง หรือมีความเห็นตรงด้วย แต่เห็นตรงแล้ว แต่ใจมันไม่ตรงไม่ถูกต้องก็ไม่ได้ มันต้องไปด้วยกัน เห็นตรงแล้ว ต้องวางใจให้ถูกต้องด้วย มันก็จะช่วยทำให้ไม่ว่าจะมีความทุกข์อย่างไรเกิดขึ้นกับร่างกาย กับทรัพย์สมบัติของเรา หรือกับคนที่เราเกี่ยวข้องด้วย มันก็ไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้
เราห้ามร่างกายไม่ให้ป่วยก็ยาก เราห้ามไม่ให้มีสิ่งที่ไม่ถูกใจเราเกิดขึ้นในชีวิตของเราเลยก็ยาก แล้วจะกำจัดมันให้หมดไปจากชีวิต หรือให้พ้นหูพ้นตาเราไปเสียทุกอย่างก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้ คือ รักษาใจของเรา.