พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 28 เมษายน 2566
มีชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง อายุก็เกือบ 80 ปีแล้ว เรียกว่าเป็นคุณปู่ก็ว่าได้ ทุกวันแกจะมีกิจวัตรอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือเดินขึ้นหน้าผา หน้าผาก็สูงด้วย ก็ไม่ใช่ง่ายนะ คนแก่อายุ 79 จะขึ้นหน้าผาทุกวันๆ ถามว่าขึ้นไปทำไม ไม่ได้ขึ้นไปออกกำลังกาย ไม่ได้ขึ้นไปชมวิว แต่ขึ้นไปทำภารกิจบางอย่าง แล้วก็เป็นภารกิจที่ทำมาเกือบ 20 ปีแล้ว ภารกิจนั้นคืออะไร ก็คือสอดส่องมองหาคนที่คิดจะฆ่าตัวตาย
หน้าผานั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นคนหนุ่มสาวเลือกที่จะปีนหน้าผาแล้วกระโดดลงมาเพื่อฆ่าตัวตาย เรียกว่ามีคนทำอย่างนั้นบ่อยมากเลย ปีหนึ่งก็เกือบ 30 คน เฉลี่ยก็เดือนละ 2-3 คน คงจะมีการแนะนำบอกต่อๆ กันมาว่า ถ้าจะฆ่าตัวตาย ก็ให้มาที่หน้าผานี้ ก็เลยมีคนหนุ่มคนสาวหลายคนมาจบชีวิตที่นี่ คุณปู่ท่านนี้แกก็เลยขึ้นมาที่หน้าผานี้เป็นประจำทุกวัน แล้วถ้ามองเห็นว่าใครทำท่าว่าจะฆ่าตัวตาย โดยกระโดดลงจากหน้าผา แกก็จะเข้าไปหา ไปพูดคุย ชวนไปดื่มน้ำชาที่บ้าน บางทีก็หาที่หลับที่นอนให้ ที่บ้านแกนั่นแหละ
แล้วแกพบว่าการทำเช่นนี้ สามารถที่จะช่วยให้หลายคนเลิกคิดสั้น เลิกฆ่าตัวตายได้ แกทำมา 19 ปีแล้ว เรียกว่าทำตั้งแต่อายุ 60 อาจจะเกษียณตอน 60 ด้วยความเป็นห่วงคนที่คิดสั้น แกคิดว่าคนเรานี่หากว่าหยุดไตร่ตรองสักหน่อย ก็สามารถที่จะเปลี่ยนใจได้ แล้วแกก็พบว่าความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อ ความเป็นมิตรนี่ มันช่วยให้คนหลายคนเปลี่ยนใจไม่ฆ่าตัวตายได้
เพราะว่าคนที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่ เขาก็รู้สึกว่าชีวิตนี้เขาไม่มีใครแล้ว เหลือเขาคนเดียว อาจจะประสบความผิดหวัง ประสบความล้มเหลว รู้สึกว่าตัวเองไร้คุณค่า แล้วก็อยู่โดดเดี่ยวลำพัง แม้จะมีคนรู้จักแต่ว่าไม่มีใครใส่ใจ มันก็ทำให้เกิดความอยากจะตาย แต่พอมีใครสักคนเข้ามาพูดคุยทักทายด้วยรอยยิ้ม ด้วยความใส่ใจ มันก็ทำให้หลายคนได้สติ พอได้สติแล้วก็มองเห็นทางออกของชีวิต หรือมองเห็นความหวัง แม้ว่าปัญหามันจะยังไม่ได้แก้ทันที แต่ก็เชื่อว่าจะสามารถก้าวข้ามผ่านวิกฤตชีวิตได้
ก็มีคนไปทำเรื่องราวของคุณปู่คนนี้ แล้วเขาก็ถามคุณปู่ว่าแกช่วยชีวิตคนมาได้เท่าไหร่แล้ว แกบอกว่าเกือบ 800 คน ตัวเลขจริงๆ คือ 789 อันนี้ก็ไม่รู้ว่าจนถึงวันนี้ช่วยได้อาจจะเกิน 800 แล้วก็ได้ คลิปวีดีโอนี้ก็เผยแพร่ช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา มีคนแชร์ มีคนส่งมา เพราะประทับใจคุณปู่คนนี้ เพราะแกเป็นคนมีน้ำใจ ห่วงใยผู้อื่น แม้อายุมากแล้วก็ไม่เห็นแก่ความเหน็ดความเหนื่อย
ช่วงเวลาเดียวกัน ก็คือเมื่อประมาณช่วงสงกรานต์ หรือ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ไล่ๆ กับการเผยแพร่คลิปเกี่ยวกับคุณปู่คนนี้ ก็มีข่าวเกิดขึ้นในประเทศอเมริกา เกิดขึ้นไล่ๆ กันเลย 3 กรณี คือผู้หญิงคนหนึ่งกับเพื่อน ขับรถจะไปหาเพื่อน ปรากฏว่าเลี้ยวเข้าผิดบ้าน คือบ้านในอเมริกาเขาไม่มีรั้ว แต่เขาจะมีทางเล็กๆ ให้รถขับไปจนถึงหน้าบ้าน หนุ่มสาว 3-4 คนกลุ่มนี้ ก็เข้าใจว่านั่นเป็นบ้านเพื่อน ก็เลยขับรถเข้าไปในบ้านของชายคนหนึ่ง
ชายคนนั้นก็เผอิญอยู่ตรงระเบียงพอดี อายุ 84 ปี พอเห็นรถคันหนึ่งที่ไม่รู้จักตรงเข้ามา ที่จริงรถเขาหยุดแล้วนะ เพราะเขารู้แล้วว่าเลี้ยวเข้าผิดบ้าน เขากำลังจะถอย แต่ว่าชายอายุ 84 อายุก็ไล่ๆ กับคุณปู่ชาวญี่ปุ่น แกมีปืนอยู่ใกล้ๆ แกก็เอาปืนนี่ยิงเข้าไปในรถเลย โดยที่ไม่มีการซักถามอะไรทั้งสิ้น ยิงเข้าไปในรถ ปรากฏว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งตาย
ไล่ๆ กันวันสองวันหลังจากนั้น ก็มีชายหนุ่มผิวดำคนหนึ่งจะไปรับน้องชาย ปรากฏว่าเดินเข้าผิดบ้าน บ้านของคนอเมริกันก็อย่างที่บอก เขาไม่มีรั้ว เดินเข้าไปได้เลย พอเขากดกริ่ง เจ้าของบ้านก็รู้ขึ้นมาทันทีว่ามีคนมา แล้วคงจะมองแต่ไกลก็พบว่าเป็นคนที่ไม่รู้จัก เป็นคนผิวดำ แกก็หยิบปืนขึ้นมาเลย แล้วพอหนุ่มผิวดำคนนั้นบิดลูกประตูเตรียมจะเปิด พอประตูเปิดแกก็ยิงปืนสวนเข้าไปทันที ยิง 2 ครั้ง เขาล้มแล้วยิงซ้ำอีก แต่ว่ารายนี้ไม่ตาย แต่ก็สาหัส ก็เหมือนกัน ไม่มีการซักถามว่าเป็นใคร เพียงแค่เขาเปิดประตูบ้าน หรือที่จริง เขาไม่ทันได้เปิดหรอก แต่ว่าเจ้าของบ้านเปิดประตู พอเปิดประตูเสร็จก็ยิงสวนเข้าไปเลย
อีกรายหนึ่งใกล้ๆ กัน มีชายหนุ่มหญิงสาวกลุ่มหนึ่งออกจากห้าง จะเดินไปที่รถ ปรากฏว่าเดินไปแต่ไปหารถผิดคัน รถที่คิดว่าเป็นของตัวเองมันมีชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ พอเห็นคนกลุ่มหนึ่งตรงมาที่รถของตัว ก็ยิงสวนไปเลย ตายนะ มีคนหนึ่งตาย
ทั้ง 3 กรณีนี้คล้ายๆ กันอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือว่าผู้ที่ถูกยิงหรือเรียกว่าเหยื่อนี่ เขาไม่ได้ถืออาวุธอะไรเลย แล้วก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะคุกคาม หรือเป็นอันตรายต่อเจ้าของบ้านหรือเจ้าของรถ แล้วเจ้าของบ้านเจ้าของรถก็ไม่ได้มีการสอบถามว่าเป็นใคร หรือมีการเตือนล่วงหน้า แต่เพียงแค่เห็นว่าเข้ามาในพื้นที่ของตัว เขตบ้านของตัว หรือเข้ามาใกล้ชิดรถของตัว ก็ยิงเข้าไปเลย
คือแทนที่จะถามก่อน หรือเช็คให้แน่ใจว่าเป็นผู้ร้ายหรือเปล่า ไม่สนใจนะว่าเป็นผู้ร้ายหรือไม่ ไม่สนใจว่าเป็นผู้ที่จะปองร้ายตัวเองหรือไม่ ขอยิงก่อน เพื่ออะไร เพื่อให้ตัวเองปลอดภัยก่อน คนอื่นจะตายไม่เป็นไร แต่ขอให้ฉันปลอดภัย อันนี้เป็นความคิดหรือทัศนคติที่ตรงข้ามกับคุณปู่ชาวญี่ปุ่นคนนั้นเลย คุณปู่ชาวญี่ปุ่นคนนั้นแกยอมเหนื่อยยาก เพื่อช่วยชีวิตผู้คน แต่ว่ามือปืนในอเมริกาทั้ง 3 กรณีนี้ กลับคิดว่าใครจะเป็นยังไง จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ฉันไม่สนใจ ฉันขอปลอดภัยเอาไว้ก่อน ไม่รู้นะเขาเป็นผู้ร้ายหรือไม่ แต่ยิงก่อน เพื่อ ความปลอดภัย เขาเรียกว่ายิงก่อนถามทีหลัง
อันนี้มันเป็นทัศนคติที่สะท้อนความเห็นแก่ตัว หรือว่าความนึกถึงตัวเองอย่างสุดโต่งเลย ฉันขอปลอดภัยก่อน ส่วนคนอื่นจะเป็นอย่างไร ช่างมัน เป็นผู้ร้ายหรือเปล่า กูไม่รู้ แต่กูขอปลอดภัยไว้ก่อน อันนี้เป็นทัศนคติที่เรียกว่าเห็นแก่ตัวเองอย่างเต็มที่เลย ซึ่งส่วนหนึ่งก็ เกิดจากความกลัว คนอเมริกันเดี๋ยวนี้มีความกลัวสูงมาก กลัวคนจะมาทำร้าย แล้วยิ่งมีข่าวการกราดยิง คนตายมากมาย ก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่
แล้วกฎหมายก็เปิดช่องด้วย ว่าสามารถจะถือครองอาวุธได้อย่างอิสระ บางรัฐอนุญาตให้ถือครองอาวุธอย่างเปิดเผยบนท้องถนนเลย ปืนนี่ไม่ใช่ปืนธรรมดานะ บางทีก็เป็นปืนเอชเค 33 เลย นี่ก็ถือปืนเกลื่อนกลาดอนุญาตให้ทำได้ เพื่อป้องกันตัว แล้วมันมีกฎหมายข้อหนึ่ง ในหลายรัฐเขาอนุญาตว่า ถ้ามีใครมารุกล้ำในในเขตพื้นที่ของตัวเอง ถ้าหากว่ามีท่าทีคุกคาม สามารถที่จะตอบโต้ด้วยการยิงหรือฆ่าก็ได้ กฎหมายอนุญาตให้ทำได้ ไม่ผิด ทั้งๆ ที่ผู้ที่เป็นเหยื่อก็อาจจะไม่ได้มีความคิดที่จะมุ่งร้าย แต่ถ้ามาล่วงล้ำในพื้นที่ที่เป็นส่วน ตัว ถือว่ารุกล้ำแล้ว ลุกล้ำเขตบ้านนี่ก็ถือว่าผิดกฎหมายแล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าของบ้านมีสิทธิ์ยิง ทำร้าย ด้วยเหตุผลว่าเพื่อป้องกันตัว
ที่จริงในประเทศอื่นถ้าหากมีภัยคุกคาม อย่างแรกที่ควรทำคือหนี หรือมิฉะนั้นก็ปิดบ้านให้แน่นหนา แต่ว่าในอเมริกานี่เขาอนุญาตให้ทำยิ่งกว่านั้นได้ คือยิงสวนไปเลย ไม่ถือว่าทำเกินกว่าเหตุ พอมีกฎหมายแบบนี้เข้า ก็เลยทำให้คนถือสิทธิ์ในการที่จะทำร้ายใครก็ได้ เพียงแค่ให้ตัวเองปลอดภัยไว้ก่อน
มันก็น่าคิดนะ คนหนึ่งยอมเสียสละเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น แต่คนอีกคนหนึ่งพร้อมที่จะทำร้ายคนอื่น เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง คน 2 ประเภทนี้ดูเหมือนตรงข้าม แต่ว่าเราก็สามารถที่จะเป็นอย่างคนใดคนหนึ่งก็ได้ เราแต่ละคนๆ สามารถจะเป็นอย่างคุณปู่คนนั้นก็ได้ หรือจะเป็นอย่างเจ้าของบ้านหรือเจ้าของรถ ที่สามารถที่จะยิงคนที่เข้ามาในอาณาเขตของตัวได้ โดยที่กฎหมายคุ้มครอง หรืออาจจะโดยไม่รู้สึกผิดก็ได้
ทำไมคนเราสามารถจะเป็นอย่างนั้นได้ ก็เพราะมีความกลัว คนเราถ้ามีความกลัว ก็พร้อมที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อปกป้องตัวเอง แต่ไม่ใช่แค่ความกลัวอย่างเดียว ต้องเกิดจากการที่มีความเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง คือนึกถึงแต่ตัวเอง พอนึกถึงแต่ตัวเองแล้ว ถ้านึกถึงแต่ตัวเองอย่างสุดโต่ง ก็ไม่สนใจคนอื่นแล้ว คนอื่นจะตายอย่างไร ฉันไม่สนใจ ฉันปลอดภัยไว้ก่อน
คนเราก็สามารถจะเป็นอย่างนั้นได้ เพราะว่าทัศนคติแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่สามารถจะสะสมขึ้นมาได้ทีละนิดๆ อาจจะเริ่มจากระดับที่มันไม่อันตราย อย่างเช่นทิ้งขยะไม่เป็นที่ ไม่ว่าจะเป็นวัด จะเป็นโรงพยาบาล จะเป็นมหาวิทยาลัย โรงเรียน สถานที่สาธารณะ สวนสาธารณะ มีหลายคนก็ทิ้งตามสบาย ขยะนี่ โดยที่ไม่ได้สนใจคนอื่นว่าเขาจะเดือดร้อนอย่างไร จากการกระทำของตัวเอง อันนี้มันเกิดจากอะไร
เกิดจากความคิด หรือทัศนคติที่เอาตัวเองเป็นใหญ่ ฉันขอสบายก่อน ฉันขี้เกียจถือขยะ ถือถุงพลาสติก ถือขวดเปล่า ที่จริงแค่ถือสักหน่อย สักพักแล้วก็เดินไปที่ถังขยะ มันก็ไม่ยากอะไร แต่หลายคนก็ถือว่ามันเสียเวลา ไม่อยากเดินไปถังขยะ แล้วก็ไม่อยากถือนาน ทิ้งมันตรงนั้นแหละ แล้วก็มีคนเป็นอย่างนี้เยอะนะ อันนี้เกิดจากความคิดที่เอาตัวเองเป็นใหญ่ เอาความสะดวกสบาย โดยที่ไม่นึกถึงคนอื่น ไม่ได้นึกถึงสิ่งแวดล้อม
ต่อมาก็อาจจะทำสิ่งที่มันเพิ่มระดับความเห็นแก่ตัวมากขึ้น เช่นเวลาไปตักอาหารในร้านอาหาร เขามีบุฟเฟ่ต์ หรือแม้แต่ตักอาหารในวัดก็ตาม ตักเยอะๆ ไว้ก่อน กินหมดหรือเปล่าไม่รู้ แต่ฉันชอบ ฉันขอตักไว้ก่อน ไม่สนใจคนอื่น คนที่มาข้างหลังว่าเขาจะมีกินไหม หรือจะเหลือให้เขาได้กินไหม ไม่สนใจ อันนี้ก็มีเยอะนะ ตักเยอะๆ ไว้ก่อน จนกระทั่งบางร้านเดี๋ยวนี้ก็มีระเบียบด้วย ถ้าบุฟเฟ่ต์จะตักเท่าไหร่ก็ได้ แต่ถ้ากินไม่หมดนี่ถูกปรับ ขนาดนี้ก็ยังหาทาง ซ่อนอาหาร กินไม่หมดก็เอาไปซ่อน ไปแอบไว้ตามมุมกำแพง เจ้าหน้าที่หรือ เจ้าพนักงานเขาจะไม่ได้เห็น จะได้ไม่ถูกปรับ แบบนี้ก็มีเยอะ นี่มันสะท้อนทัศนคติที่นึกถึงแต่ตัวเอง ไม่นึกถึงคนอื่น
ต่อไปก็อาจจะประเภทว่าเวลาเปิดเพลง เวลาจัดปาร์ตี้ เวลาเลี้ยงฉลองวันเกิด ก็เปิดเพลงเสียงดัง ฉันขอสนุกก่อน คนอื่นจะเป็นอย่างไร ฉันไม่สนใจ เพื่อนบ้านจะเป็นอย่างไร เขานอนหลับหรือไม่ กูไม่สน มันก็เริ่มค่อยไต่ระดับขึ้นมา สะสมหรือว่าเสริมสร้างนิสัยที่คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่สนใจคนอื่น แล้วพออย่างนี้มากเข้าๆ ต่อไปมันก็จะแสดงอาการที่รุนแรงมากขึ้น
วัยรุ่นหลายคนไปชำเราผู้หญิง โดยที่ไม่สนใจเลยว่ามันจะสร้างความเดือดร้อนให้เขาอย่างไร ไม่สนใจว่าเขาจะทุกข์ระทมอย่างไร เพราะฉันขอสบายไว้ก่อน ฉันขอสนองความอยาก หรือระบายความกลัดมัน บางทีก็ไปฆ่าคน หลายคนที่ติดคุกมา พอมีคนไปถามว่า ทำไมถึงทำร้ายเขา ทำไมถึงไปฆ่า เขาบอกไม่ได้คิดเลย แค่อยากจะแสดงให้เพื่อนเห็นว่าผมกล้าหาญ ผมกล้าทำ อยากให้เพื่อนยอมรับ ส่วนคนอื่นจะเดือดร้อนอย่างไร ไม่เคยคิด ไม่เคยสนใจ
คนเราอยู่ดีๆ จะกลายเป็นฆาตกร ที่ยิงคนแปลกหน้าที่เข้ามาในเขตบ้าน มันไม่ใช่ว่าทำได้ง่ายๆ มันต้องผ่านการสะสมนิสัยที่คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่สนใจคนอื่น อย่างตัวอย่างที่พูดมา อันนี้มันต่างจากคนที่เป็นผู้ร้าย แล้วไปฆ่าคนเพื่อไปปล้นเอาทรัพย์ หรือไปวางยาพิษเพื่อจะเอาเงิน อย่างที่เป็นข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ คนเหล่านั้นมีนิสัยเป็นฆาตกร เป็นผู้ร้าย ซึ่งก็แน่นอนนะ มันก็เป็นนิสัยที่สะสมมา
แต่ตัวอย่างที่ยกมานี่ 3 คนที่ไปยิงคนที่เข้ามาในเขตบ้าน หรือเข้ามาใกล้รถของตัว พวกนี้จริงๆ ก็เหมือนเป็นคนทั่วไป ไม่ได้เป็นผู้ร้ายอะไรเลย แต่เพราะความกลัว ใครเข้ามาใกล้ๆ ใครเข้ามาในเขตบ้าน ต้องสันนิษฐานว่าเป็นผู้ร้ายไว้ก่อน หรืออีกอย่างหนึ่งคือว่า จะเป็นผู้ร้ายหรือเปล่าไม่รู้ แต่ยิงก่อน เพื่อให้ตัวเองปลอดภัย กูปลอดภัยก่อน ส่วนคนอื่นเขาจะเป็นอย่างไร กูไม่สน
อันนี้มันไม่ใช่เป็นนิสัยของผู้ร้าย ที่ฆ่าคนเพื่อจ้องเอาทรัพย์ แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับคนทั่วไป ที่คิดถึงแต่ตัวเองมากๆ แล้วถ้าเกิดว่าคนเราคิดถึงแต่ตัวเองบ่อยๆ มันง่ายมากที่จะสะสมนิสัยที่ทำให้เราเป็นฆาตกรหรือเป็นผู้รายได้อย่างง่ายดาย แล้วเดี๋ยวนี้สภาพสังคมก็ส่งเสริมให้คนคิดแบบนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
การที่คิดถึงแต่ตัวเอง มันคนละอย่างกับการรู้จักมองตน พุทธศาสนาท่านบอกว่าให้รู้จักมองตน ให้รู้จักรักตน จริงๆ ถ้ามองตนหรือรักตนอย่างถูกต้อง มันจะไม่ทำอย่างนั้น คนที่มองตน คนที่รักตน เขาจะนึกถึงผู้อื่น เขาจะมีเมตตากรุณา คนที่ไม่นึกถึงผู้อื่น เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้มองตนเท่าไหร่ ถ้ามาใคร่ครวญหรือมองตนอยู่เสมอ มันจะไม่ปล่อยให้ความเห็นแก่ตัวหรือความกลัวครอบงำ จนกระทั่งทำร้ายคน โดยที่ไม่ยับยั้งชั่งใจ
การมองตน ถ้ามองตนเป็น มันจะนำไปสู่ความเอื้อเฟื้อ จะนึกถึงผู้อื่น คนที่ยิ่งปฏิบัติธรรมแล้วก็ยิ่งนึกถึงแต่ตัวเองมากขึ้น หรือนึกถึงคนอื่นน้อยลง อันนี้เรียกว่าไม่ได้ปฏิบัติถูกต้องเท่าไหร่ อาจจะคิดว่าเขากำลังมองตน แต่ที่จริงเขาเห็นแก่ตัวมากกว่า หรือว่าไม่ได้มองตนอย่างถูกต้อง มันไม่ได้ขัดแย้งกันนะ ระหว่างการนึกถึงคนอื่น กับการหมั่นมองตน มันไปด้วยกันเลยทีเดียว
เพราะหมั่นมองตนนั่นแหละ จึงนึกถึงผู้อื่นหรือเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น เพราะว่าทำให้ความเห็นแก่ตัวน้อยลง แต่ถ้ามองตนน้อยเท่าไหร่ ก็นึกถึงคนอื่นน้อยเท่านั้น เพราะว่าจิตใจก็เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ยิ่งมีความกลัวเป็นเจ้าเรือน มันยิ่งง่ายมากที่จะทำร้ายคน ถ้าหากว่ามีโอกาส เพียงเพื่อให้ตัวเองมีความปลอดภัย หรือว่าไม่มีภัยมาคุกคาม หรือหนักกว่านั้นก็คือไปทำร้ายคน เพื่อที่จะปรนเปรอตน ด้วยเงิน ด้วยทรัพย์ ด้วยความสุขชั่วครูชั่วยาม
ถ้าเราปฏิบัติธรรม หัวใจของการปฏิบัติธรรมคือการหมั่นมองตน หมั่นมองตนก็คือหมั่นรู้ความทันความคิด รู้ทันกิเลส รู้ทันความเห็นแก่ตัว แล้วมันจะช่วยทำให้ความเห็นแก่ตัวเบาบาง มีอำนาจครอบงำจิตใจเราน้อยลง แล้วเปิดช่องให้ความเมตตากรุณา ความมีน้ำใจเจริญงอกงามขึ้น
แล้วยิ่งทำก็จะยิ่งพบว่ามีความสุข อย่างคุณปู่แม้ว่าจะดูเหนื่อยกาย แต่ว่าแกมีความสุข จากการที่ได้ช่วยคนไม่ให้ฆ่าตัวตาย แกมีความสุข แกจึงทำทุกวัน แล้วยิ่งทำทุกวัน แล้วยิ่งมีความสุขมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเกิดแรงจูงใจที่จะทำเพื่อผู้อื่นมากขึ้น แล้วมันก็ไปด้วยกัน ถ้าเราหมั่นมองตน เราก็จะนึกถึงผู้อื่น แล้วเมื่อเราทำเพื่อผู้อื่น เราก็จะมีความสุข แล้วความสุขที่สัมผัสในใจได้ มันก็จะทำให้เกิดแรงจูงใจที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นมากขึ้น.