แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 8 มีนาคม 2566
มีผู้หญิงคนนึงเธอเล่าว่า บ้านอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรในกรุงเทพฯ ก็อยู่อย่างปกติสุขมาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเพื่อนบ้านที่อยู่ตรงข้ามเขาก็เปิดกิจการเป็นร้านทำอาหาร แล้วก็มีการส่งแบบเดลิเวอรี่ คือไม่ได้มีลูกค้ามากินในร้าน แต่ทำส่งไปตามบ้านของลูกค้า ทุกวันก็จะมีพวกไรเดอร์หรือมอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าบ้านของเพื่อนบ้านตรงข้าม ระหว่างที่นั่งคอยอาหาร บางทีพวกไรเดอร์เหล่านี้ก็มองมาที่บ้านของเธอ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับร้านอาหารหรือบ้านที่ทำอาหารนี้
ไรเดอร์มาตั้งแต่เช้า เก้าโมงจนถึงค่ำ มีทยอยมาเรื่อยๆ ก็ล้วนแต่เป็นคนแปลกหน้า เวลาเขามารออาหาร บางคนก็ถ่ายรูปบ้านเธอ ทำให้เธอเกิดความระแวงว่าจะมีคนที่คิดไม่ดีมิร้าย เป็นพวกมิจฉาชีพแฝงเข้ามา หรืออาจจะมาทำอะไรไม่ชอบมาพากล จึงเกิดความวิตก ความกังวล ความระแวง ผ่านไปไม่กี่เดือนก็เครียดจนกระทั่งต้องไปหาจิตแพทย์ เธอเล่าว่าเคยบอกเพื่อนบ้านว่าอยากให้ย้ายกิจการไปทำข้างนอก เพราะมีพวกไรเดอร์มาอยู่ที่หน้าบ้านเธอ เธอรู้สึกไม่ปลอดภัย เพื่อนบ้านก็บอกว่าคิดจะขยับขยายอยู่ เล็งห้องเช่าตรงหน้าหมู่บ้านไว้ แต่จนแล้วจนรอดเพื่อนบ้านก็ยังไม่ย้ายกิจการทำอาหาร ยังคงมีไรเดอร์มานั่งมาออกันอยู่ตรงหน้าบ้านเธอ
บังเอิญกิจการของเพื่อนบ้านก็ขายดีด้วย ก็เลยมีไรเดอร์ที่เป็นคนแปลกหน้าทยอยมาทั้งวันจนเย็นจนค่ำ เลย เธอเห็นว่าขอร้องเพื่อนบ้านแล้วแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เลยไปแจ้งนิติกรหรือส่วนกลางให้ช่วย จัดการปัญหานี้หน่อย ว่ามันรบกวนความสงบสุขของเธอ ตอนหลังทางหมู่บ้านก็เลยมีระเบียบให้พวกไรเดอร์มาจอดรถที่หน้าหมู่บ้านแล้วเดินไปรับอาหารจากร้านนั้น ปรากฏว่ากิจการก็ได้รับผลกระทบขายอาหารได้น้อยลง เพื่อนบ้านก็เลยมีความไม่พอใจ ตัวเธอเองก็เกิดความไม่สบายใจว่าที่เธอทำไปอย่างนั้นมันบาปไหม ก็เลยเขียนข้อความมาถาม
อาตมาตอบไปว่ามันไม่บาปหรอก เพราะว่าเราไม่ได้มีเจตนาจะกลั่นแกล้งเขา เราเพียงแต่ทำสิ่งที่ควรทำ ก็คือปกป้องสิทธิของเรา เพราะเราก็ต้องการความสงบสุขหรือความเป็นส่วนตัว ในเมื่อเราไม่ได้มีเจตนาจะไปกลั่นแกล้งเขา ถึงแม้ว่าร้านเขาจะได้รับผลกระทบ มีลูกค้าน้อยลง ขายได้น้อยลง ก็ไม่ถือว่าเป็นบาป แต่ปัญหาของเธอจริงๆ มันไม่ใช่ข้อนี้ เท่าที่จับได้คือเธอรู้สึกเครียด ไม่สบายใจที่เพื่อนบ้านแสดงอาการไม่พอใจเธอ เช่น พอเห็นเธอก็หันหลัง ไม่พูดไม่คุย บางทีก็ปิดประตูบ้านใส่ ก็เลยเกิดความเครียดขึ้นมา เธอถามว่าทำยังไงเธอถึงจะอยู่บ้านอย่างมีความปกติสุข เพราะทนไม่ได้กับปฏิกิริยาของเพื่อนบ้านที่โกรธ ไม่คุยกับเธอ หันหลังให้
อาตมาก็ตอบไปว่า การทำอะไรก็ตาม แม้มันจะมีผลดีกับเรา แต่มันก็อาจมีผลกระทบที่ไม่ดีกับเราตามมาด้วยเหมือนกัน เช่น เราไปบอกนิติกรให้ช่วยจัดการปัญหา ปัญหาก็ได้รับการแก้คือ ไรเดอร์ไม่ได้มาจอดรถหน้าบ้านหรือมานั่งแช่ส่องมองบ้านเธอ ถ่ายรูปบ้านเธอ อันนี้คือสิ่งที่เธอต้องการ แล้วก็ได้จากการที่ไปบอกนิติกรหรือส่วนกลางของหมู่บ้าน
แต่ทำอะไรก็ตาม มันก็ไม่ได้มีแต่ผลดีอย่างเดียว มันก็ต้องมีผลกระทบที่ไม่ดี หรือที่ไม่พึงประสงค์ หรือไม่ถูกใจเราตามมา นี่เป็นธรรมดา
ไรเดอร์ไม่มารบกวนเราอีกต่อไป แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าของร้านก็จะไม่พอใจ ทำอะไรมันไม่ใช่มีแต่ได้อย่างเดียว มันก็ต้องมีเสีย เราได้สิ่งที่ปรารถนาก็ต้องยอมรับผลเสียหรือผลกระทบที่ตามมา ซึ่งก็คือการที่เพื่อนบ้านไม่พอใจ เขาอาจจะเข้าใจผิดหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เขาก็ไม่พอใจ อันนี้มันเป็นสิ่งที่ตามมาจากการที่ไรเดอร์เขาไม่มารบกวนเราอีกต่อไป ก็ต้องยอมรับ
เราจะไปคิดว่าทำอะไรแล้วมันจะมีแต่ผลดี หรือมีแต่ได้อย่างเดียวนี่มันไม่ได้หรอก ทำอะไรก็ตาม ผลดีเกิดขึ้น แต่มันก็ต้องมีผลกระทบที่ไม่ดี ที่ไม่ถูกใจเรา นี้เป็นธรรมดา ฉะนั้นเวลาจะทำอะไรก็ต้อง ใคร่ครวญก่อนด้วยซ้ำนะว่า เออ ถ้าเราไปบอกนิติกร แล้วไรเดอร์เขาไม่มานั่งแช่ที่ร้านบ้านตรงข้าม มันจะเกิดผลกระทบอะไรตามมา ก็ต้องใคร่ครวญแล้วชั่งตรอง หรือชั่งน้ำหนักว่าโอเคไหม ถ้าอยากให้ไรเดอร์เขาไม่มาตรงข้ามบ้านเรา แล้วเจ้าของบ้านหรือเจ้าของร้านเขาไม่พอใจเรา อันนี้ก็ต้องใคร่ครวญดู จะทำอะไรโดยที่มันมีแต่ผลได้หรือสิ่งที่ถูกใจเราล้วนๆ มันไม่มีนะ มันยาก คราวนี้มาเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจ เราก็ต้องยอมรับ เราอาจจะไม่เครียดเรื่องไรเดอร์อีกต่อไป แต่ก็ต้องเจอกับปฏิกิริยาในทางลบ หรือความไม่เข้าใจของเพื่อนบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
คนเราถ้าหากทำอะไรแล้วคิดแต่ว่ามันมีแต่ผลดีอย่างเดียว ไม่มีผลเสียเลย อันนี้ก็ถือว่าไม่ได้เข้าใจความเป็นจริงของโลก
มีผู้ชายคนหนึ่งแกขับแท็กซี่ แต่ก่อนเคยทำงานบริษัทกินเงินเดือน แต่พบว่าไม่ค่อยมีอิสระ แกชอบอิสระ ก็เลยเลือกที่จะมาขับแท็กซี่ แต่พอขับแท็กซี่แล้วก็ต้องเจอกับสิ่งที่ไม่ชอบ อาจจะได้แก่ลูกค้าผู้โดยสารที่ไม่เรียบร้อยไม่น่ารัก หรือที่หนีไม่พ้นคือเจอรถติด แต่คนขับแท็กซี่คนนี้แกก็ทำใจได้นะ รถติดแกก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร
จนกระทั่งผู้โดยสารคนหนึ่งถามว่า ทำไมพี่ไม่เห็นเดือดร้อนหงุดหงิดเลยที่รถติด ผู้โดยสารถามเพราะตัวเองร้อนใจมากที่รถติดขนาดนี้ เห็นแท็กซี่ไมมีอาการหงุดหงิดเลย สบายๆ ทั้งที่ธรรมดาแท็กซี่ก็ต้องทำเวลา แกก็อธิบายว่า คนเราจะทำอะไรมันก็ต้องรู้ว่าต้องเจออะไร เช่น จะมีอาชีพอะไรก็ต้องรู้ว่าจะต้องเจออะไรบ้าง ผมเลือกแท็กซี่เพราะผมรู้ตั้งแต่แรกว่าจะต้องเจอรถติด ในเมื่อผมเลือกที่จะเป็นแท็กซี่ ผมก็ต้องยอมรับว่าการเจอรถติดเป็นเรื่องธรรมดา เป็นแท็กซี่ก็อิสระกว่าการเป็นพนักงานกินเงินเดือน แต่ก็ต้องเจอกับรถติด จราจรแน่นขนัดเป็นประจำ
พอแกยอมรับได้ แกก็ไม่ทุกข์ เพราะเลือกแล้ว อันนี้เป็นวิสัยของคนที่ใคร่ครวญ จะทำอะไรก็ต้องดูว่ามันมีข้อดีอย่างไร มีข้อเสียอย่างไร หรือถึงแม้จะไม่ได้ใคร่ครวญ แต่เมื่อเราได้รับข้อดี ได้รับสิ่ีงที่ปรารถนา ก็ต้องยอมรับสิ่งที่ไม่ถูกใจที่เกิดขึ้นตามมาจากการกระทำของเรา
อย่างเช่นกรณีผู้หญิงคนนี้ก็คือ เจ้าของร้านหรือเพื่อนบ้านตรงข้ามเขาก็ไม่พอใจ แล้วที่จริงอาตมาก็บอกเขาต่อไปว่า เราก็ต้องรู้จักปล่อยวางบ้าง เขาไม่พอใจเรามันก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าโลกนี้มันจะมีแต่คนที่รักเรา เข้าใจเราทุกคน มันเป็นไปไม่ได้ มันก็ต้องมีคนที่เข้าใจเรา ชอบเรา และคนที่ไม่เข้าใจเรา ไม่ชอบเรา ถ้าไปคาดหวังให้ทุกคนชอบเราหมดก็ต้องทุกข์แน่นอน เมื่อยอมรับว่าโลกนี้มันก็ต้องมีทั้งคนที่ชอบเรา ไม่ชอบเรา เข้าใจเราถูก เข้าใจเราผิด ก็มีทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถ้ามีคน ที่เขาไม่ชอบเรา เขาไม่อยากคุยกับเรา ก็อย่าไปเอาจริงเอาจังกับมันมาก เพราะมันเป็นธรรมดาโลก
มันก็ไม่ต่างจากคำนินทา ทำดีแค่ไหนก็ถูกคนนินทา แม้ไม่ทำเลยก็ยังถูกคนนินทา ขนาดพระพุทธเจ้าก็ยังมีคนนินทา แล้วไม่ใช่นินทาอย่างเดียว ว่าร้าย แล้วไม่ใช่ว่าร้ายอย่างเดียว ใส่ร้าย ที่จริงยิ่งกว่านั้นอีก คือทำร้ายเลย หรือมุ่งหมายชีวิต อันนี้เป็นธรรมดาโลก เรื่องคนที่ไม่ชอบเรา คนที่หันหลังให้เรา
ที่เราทุกข์ไม่ใช่เพราะเขาทำอย่างนั้นกับเราหรอก ที่เราทุกข์เพราะไปคาดหวังว่าเขาควรจะทำดีกับเรา
เขาควรจะยิ้มให้เรา เพราะเป็นเพื่อนบ้านกันแต่ถ้าเราไม่คาดหวังว่าเขาต้องดีกับเรา ต้องมีคนที่เข้าใจเราถูกหมด เราก็ไม่ทุกข์หรอกนะที่มีคนบางคนที่เขาไม่เข้าใจเรา โดยเฉพาะเมื่อเราทำสิ่งที่สมควรทำ ไม่ได้ไปกลั่นแกล้งอะไรเขา ไม่ได้ทำผิดคิดร้ายกับใคร แต่ก็ยังมีคนที่ไม่เข้าใจเรา ก็เป็นเรื่องธรรมดาเรียกว่าธรรมดาโลก จะไปทุกข์ร้อนกับมันทำไม
อีกอย่างหนึ่งก็บอกเขา จริงๆ ปัญหาของเขามันไม่ได้อยู่ที่ไรเดอร์ มันไม่ได้อยู่ที่เพื่อนบ้านหรอก อยู่ที่ใจของเขาเองที่ชอบคิดลบคิดร้าย นอกจากไปคาดหวังว่าเพื่อนบ้านต้องพูดดีกับเรา หรือคาดหวังว่าต้องมีคนทำดีกับเราแล้ว อีกปัญหาหนึ่งก็คือการที่ชอบคิดลบคิดร้าย เห็นไรเดอร์มาอยู่หน้าบ้านก็เกิดความระแวงว่า จะมีบางคนที่คิดไม่ดีกับเราหรือเปล่า ถ่ายรูปหน้าบ้านเราเพื่ออะไร
ระวังนี่มันดีนะ แต่ถ้าระแวงมันไม่ดีแล้วล่ะ คนส่วนใหญ่แยกไม่ออกระหว่างระวังกับระแวง พอระวังมากไปกลายเป็นระแวง พอระแวงเราทุกข์แล้ว โดยที่ระแวงไรเดอร์จนกระทั่งเครียดต้องไปหาจิตแพทย์ มัน เป็นที่ตัวเอง เพราะไรเดอร์ตลอดสามสี่เดือนที่เขามาอยู่หน้าบ้าน ก็ไม่ได้มีใครที่ทำอะไรไม่ดีกับเรา ไม่ได้มีมิจฉาชีพมาสวมรอย ทุกอย่างก็ปกติ แต่เจ้าตัวหรือตัวเธอเองกลับเครียดจนต้องไปหาจิตแพทย์ มันแสดงว่าเป็นที่ใจของเธอที่คิดลบคิดร้าย คิดระแวง ถามว่าทำยังไงถึงจะอยู่อย่างปกติสุข ก็คงไม่ใช่ว่าไปขอให้เพื่อนบ้านกลับมายิ้มให้เรา กลับมาดีกับเรา เพราะมันไม่สามารถจะควบคุมบงการเขาได้ แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือ รักษาใจของเรา
เวลามีความคิดลบ คิดร้าย คิดระแวง ก็ให้มันรู้ทัน อย่าให้มันมาครอบงำใจ อย่าไปหลงเชื่อความคิดเหล่านั้น หรือยอมรับความจริงว่าทำอะไรมันจะไม่ใช่มีแต่ข้อดีสมใจ สมปรารถนาอย่างเดียว สิ่งที่ไม่ สมปรารถนาหรือสิ่งที่ไม่ชอบก็สามารถจะเกิดขึ้นได้ ทำอะไรมันไม่ใช่จะมีแต่ผลได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่เป็นข้อเสียหรือข้อไม่ดีก็ต้องเกิดขึ้น นี่เป็นธรรมดาโลกที่เขาเรียกว่าทำอะไรก็มีทั้งได้และเสีย ดีกับเสียนี่เป็นของคู่กัน
อย่างเช่นทุกวันนี้เรามีความสะดวกสบายในชีวิตมากขึ้น และสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามีความสะดวกสบายมากขึ้นก็คือ โทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์มือถือนี่ทำให้เรามีความสะดวกสบายมากกว่าแต่ก่อนเยอะ แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้มิจฉาชีพสะดวกในการที่จะมารบกวน มารังควาญหรือมาล้วงเอาเงินของเราไป แล้วเดี๋ยวนี้มันก็มาหลายรูปแบบ ในระหว่างที่เรามีความสะดวกในการซื้อนั่นซื้อนี่ ติดต่อคนนั้นคนนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันมีสิ่งที่เราต้องยอมแลก
อย่างที่อาตมาเคยพูดว่า ความสะดวกมันมาพร้อมกับความเสี่ยง เราได้ความสะดวกแต่ก็เสี่ยงต่อการที่มิจฉาชีพจะเข้ามาถึงตัวเราได้ง่ายกว่าแต่ก่อน เดี๋ยวนี้ก็มาหลายรูปแบบ อย่างเช่นการทำบุญเป็นเรื่องที่สะดวกมากขึ้น เราสามารถที่จะทำบุญบริจาคเงินออนไลน์ แต่ปรากฏว่าถ้าไม่ระวัง บัญชีเงินที่เราโอนไปอาจจะเป็นบัญชีปลอมก็ได้ อนุโมทนาบัตรเดี๋ยวนี้เราสามารถจะขอทางออนไลน์ได้ ปรากฏว่าเดี๋ยวนี้ก็ต้องระวัง เพราะเขาอาจจะหลอกให้เราใส่ข้อมูลส่วนตัวซึ่งเป็นประโยชน์กับเขา เช่น เลขที่บัตรประชาชน
เดี๋ยวนี้เวียนเทียนก็ง่าย เวียนเทียนทางอินเทอร์เน็ตเรียกว่าเวียนเทียนออนไลน์ แต่ปรากฏว่ามิจฉาชีพมันก็มาเหมือนกัน ชวนเราเวียนเทียนออนไลน์ แต่พอเราโหลดแอปไป ปรากฏว่ามันเป็นแอปโจรนะ ที่ สามารถจะล้วงหรือควบคุมโทรศัพท์มือถือของเราจากทางไกลที่เขาเรียกว่ารีโมตได้ อยากจะเวียนเทียนโดยที่ไม่ต้องมาวัด เวียนเทียนโดยอยู่บ้านนี่สะดวก แต่มันก็เพิ่มความเสี่ยงเหมือนกัน เหมือนกับเดี๋ยวนี้จะซื้อวัตถุมงคล ซื้อพระเครื่อง ซื้อได้ง่ายเลยทางออนไลน์ แต่พอได้ของมาอาจจะไม่ตรงกับที่ต้องการ อาจจะเป็นของปลอมด้วยซ้ำ แม้กระทั่งสะเดาะเคราะห์แก้กรรม ไม่ต้องไปหาพระแล้ว ไม่ต้องไปวัดแล้ว ออนไลน์เลย สะเดาะเคราะห์ แก้กรรม หรือดูดวง แต่ปรากฏว่าเราอาจจะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ที่เขาให้เรากรอกข้อมูลส่วนตัว รวมทั้งวันเดือนปีเกิด เสร็จแล้วเขาก็มาแฮกเอาเงินในบัญชีธนาคารของเราไป
ความสะดวกที่มาพร้อมกับโทรศัพท์มือถือ ทำให้เราทำบุญได้สะดวก แต่ข้อเสียคือมันทำให้เรามีความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าเราไม่ระมัดระวัง มันไม่มีความสะดวกอะไรที่ได้มาฟรีๆ เราได้ความสะดวกอย่างหนึ่ง เราก็ต้องเสียอะไรไปบางอย่าง หรือต้องยอมแลกอะไรไปบางอย่าง เช่น มีความเสี่ยงมากขึ้น
ให้ลองพิจารณาดูดีๆ นะ การที่เราทำอะไรก็ตาม อาจจะได้สิ่งที่ประสงค์ แต่ก็ต้องแลกกับอะไรบางอย่าง หรือาจจะต้องเจอกับทุกข์ตามมา อันนี้ไม่เว้นแม้กระทั่งความสุข ความสุขที่ได้จากเงินทอง ได้จากวัตถุสิ่งเสพ ความสุขที่ได้จากคำสรรเสริญ ชื่อเสียงเกียรติยศ อาจจะเป็นความสุขที่หอมหวนมาก ที่มีเสน่ห์มาก ที่ผู้คนพากันแสวงหาความสุขจากวัตถุสิ่งเสพ ส่วนหนึ่งเพราะมันเป็นสุขที่เกิดขึ้นได้เร็ว แค่กินอาหารอร่อยก็มีความสุขแล้ว แค่ได้ฟังเพลงไม่กี่วินาทีก็มีความสุขแล้ว หรือพอได้เงินมา ได้รางวัล ได้ทรัพย์ ได้โชค ได้ลาภ มันก็มีความสุขแล้ว อันนี้คือข้อดีหรือเสน่ห์ของความสุขจากวัตถุสิ่งเสพ ที่เราเรียกว่ากามสุข
แต่มันไม่มีอะไรที่ดีล้วนๆ ความสุขแบบนี้เราก็ต้องแลก แลกกับความทุกข์ที่จะต้องตามมา เพราะสุขแบบนี้นอกจากมันจะหายเร็วแล้ว มันยังเป็นสุขที่เจือไปด้วยทุกข์ เมื่อได้เงินมีความสุข เมื่อได้รับชื่อเสียงมีความสุข เมื่อมีเกียรติยศก็เกิดความสุขขึ้นมา แต่พอเราสุขเมื่อไหร่ก็เตรียมใจทุกข์ได้เลย ไม่ช้าก็เร็ว เพราะมันเป็นของไม่เที่ยง มันเป็นของที่ไม่ยั่งยืน มันเป็นของที่ชั่วคราว ได้อะไรมาสุดท้ายก็ต้องเสียมันไป
ได้ชื่อเสียงเกียรติยศ ได้คำชม ได้คำสรรเสร้ญ วันหนึ่งคนที่ให้เขาก็ดึงไป ได้รับชื่อเสียง ได้รับเกียรติยศ หรือได้ตำแหน่ง วันหนึ่งก็ต้องเสียมันไปเพราะเขาเอาคืน
อันนี้คือสิ่งที่เราต้องยอมรับ หรือต้องเห็นให้มันทะลุ คนที่แสวงหาความสุขหรือได้ความสุขชนิดนี้ ถ้าหากไม่ตระหนักว่ามันมีทุกข์ที่เจอปนอยู่ หรือมันมีทุกข์ที่ตามมา หรือไม่ตระหนักว่าของอย่างนี้มันไม่เที่ยง ถึงเวลาที่เสื่อมลาภเลื่อมยศ ก็จะทุกข์ เช่นเดียวกัน ความสมหวังในรักก็เหมือนกัน มันให้ความสุขที่ดื่มด่ำ แต่รักกับเลิกมันเป็นของคู่กัน เมื่อคิดที่จะอยู่กับความสุขชนิดนี้ ก็ต้องเตรียมใจรับกับความสูญเสียที่จะตามมา หรือความผิดหวังที่จะตามมา แต่เป็นพราะคนส่วนใหญ่เห็นแต่ด้านดีของมัน หรือคิดแต่จะเอาคิดแต่จะได้ แต่ไม่ได้คิดว่ามันจะมีผลเสียอะไรตามมา พอถึงเวลาที่สูญเสียมันไป ถึงเวลาที่ต้องเสื่อมจากสิ่งที่มีก็เลยทุกข์ระทม เรียกว่าคับ แค้นใจ เศร้าโศก บางทีก็เสียศูนย์ไปเลย
อันนี้เป็นเพราะผู้คนไปคิดว่า ความสุขที่มีมันเป็นของฟรี แต่ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ เราต้องเสียอะไรบางอย่างไป ที่เสียนี่ไม่ใช่แค่เสียเงินเพื่อให้ได้รถได้บ้าน หรือเสียเวลากับโทรศัพท์กับสิ่งเสพ เราเสียยิ่ง กว่านั้น เสียอิสรภาพ ทำให้เราต้องผูกติดอยู่กับสิ่งนั้น ความสุขของเราผูกติดอยู่กับสิ่งนั้น พอสิ่งนั้นหายไป เสื่อมไป เสียไป ความสุขที่มีก็สูญสลายไปด้วย เกิดความทุกข์ขึ้นมาแทนที่ ถ้ารักจะหาความสุขจากสิ่งเหล่านี้ ก็ต้องเตรียมใจพร้อมรับความทุกข์ด้วย หรือเตรียมใจพร้อมรับความสูญเสีย ความไม่เที่ยง ถ้าเตรียมใจได้มันก็ไม่ทุกข์ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมใจ เพราะคิดว่ามันมีแต่ดีล้วนๆ อันนี้ก็เป็นความเข้าใจผิดหรือความหลงอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผู้คนต้องจมอยู่ในความทุกข์.