พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 10 มีนาคม 2566
ที่ฝั่งธนแถวบางกอกใหญ่ ทุกเช้าจะมีคนรอใส่บาตรหลวงปู่ท่านหนึ่ง ท่านอายุเกือบ 90 แล้ว มาบิณฑบาตทุกเช้าเลย คนวัย 89 ส่วนใหญ่เขาก็เก็บตัวอยู่ที่บ้าน หรือเก็บตัวอยู่ที่วัดแล้ว แต่ว่าหลวงปู่ทองท่านมีอุตสาหะ ทั้งที่สังขารก็เสื่อมไปมากตามวัย แต่ก็มาบิณฑบาตทุกเช้า โดยที่ไม่มีลูกศิษย์วัดตามเลย แล้วก็ไม่มีพระรูปอื่นเดินตามด้วย
อย่างอาตมาอายุห่างจากท่านมาก แต่ว่าเวลาบิณฑบาตก็ยังมีพระหนุ่มเดินตาม คอยช่วยถือของ คอยช่วยรับพวกอาหารผลไม้ แต่หลวงปู่ทองท่านออกบิณฑบาตรูปเดียวเลย ไม่มีศิษย์วัด ไม่มีพระหนุ่มเดินตามช่วยบิณฑบาตด้วย แล้วท่านก็ทำอย่างนี้มานานแล้ว ตั้งแต่บวขใหม่ๆแล้ว คือตั้งแต่ยังหนุ่ม เกือบ 70 พรรษาแล้ว ท่านก็ยังบิณฑบาตอยู่เป็นประจำทุกวัน ท่านไม่เจ็บไม่ป่วย
อันนี้เรียกว่าเป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธามาก เพราะพระหลายรูปโดยเฉพาะในเมือง ถ้าหากว่ามีฉันแล้ว ก็ไม่ค่อยสนใจบิณฑบาตเท่าไหร่ เพราะว่าบางรูปหรือหลายรูปมีโยมมาถวายถึงที่วัด หรือมิฉะนั้นถ้าฉันรวมก็รอฉันอาหารจากที่พระรูปอื่นๆ บิณฑบาตมาได้ แต่หลวงปู่ทองนี่เป็นกิจวัตรเลย
แล้วยิ่งกว่านั้น ที่ทำได้ยากกว่าบิณฑบาต คือทุกวันนี้ท่านยังเรียนหนังสืออยู่เลย เรียนบาลี แล้วบาลีที่ท่านเรียนนี่ก็ประโยค 9 การเรียนภาษาบาลีหรือเรียกว่าพระปริยัติธรรม ขั้นสูงสุดคือประโยค 9 ท่านได้ ประโยค 8 แล้ว แต่ท่านก็ยังไม่ทิ้งการเรียนทั้งที่วัยนี้ คนที่อายุน้อยกว่าท่าน ก็เลิกหรือทิ้งเรื่องการเรียนปริยัติธรรมไปแล้ว แต่ท่านก็ยังเรียนอยู่ เรียกว่าแม้จะได้ประโยค 8 แล้ว
โดยเฉพาะช่วงนี้เรียกว่าท่านตั้งใจเรียนเป็นประจำเลย ทั้งนี้เพื่อที่จะสอบให้ได้ประโยค 9 แล้วท่านสอบมาแล้ว 15 ครั้งได้แล้ว คือสอบมาแล้ว 15 ปี ยังไม่ได้ ไม่ได้ท่านก็ไม่ท้อ ท่านก็ไม่หยุด ก็ยังเรียนต่อ เรียนต่อเพื่อจะได้มีความรู้พอที่จะสอบได้
แล้วการเรียนของท่านก็หนัก ท่านเล่าว่า ไปเรียนที่วัดโมลีโลก ลืมบอกไปว่าท่านอยู่ที่วัดราชสิทธาราม อยู่ฝั่งธน บางกอกใหญ่ ท่านไปเรียนบาลีที่วัดโมลีโลกยาราม ท่านบอกท่านไปเรียนตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม กว่าจะถึงวัดก็ต้อง 5 ทุ่ม บางทีก็ต้องอาศัยนอนที่วัดโมลีโลก หนุ่มๆกว่านี้ หรืออายุ 30, 40 เรียนแบบนี้ก็อาจจะทำได้แค่ไม่กี่เดือน ก็เลิกแล้ว แต่นี่ท่านทำมาหลายปีแล้ว
ท่านอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญมากกับการได้ประโยค 9 แต่ว่าท่านให้ความสำคัญกับการเรียนมากกว่า รวมทั้งเป็นแบบอย่างให้คนเห็นว่า คนเราไม่แก่เกินเรียน ไม่แก่เกินเรียนแม้จะเกือบ 90 แล้ว ก็ยังไม่แก่กว่าเกินที่จะเรียน
แล้วที่ท่านสอบปีแล้วปีเล่า อย่างที่บอกท่านอาจจะไม่ได้คิดว่า การได้ประโยค 9 เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของในชีวิต แต่ว่าก็เป็นแบบอย่างให้เห็นคนว่า คนเราไม่ควรท้อถอย โดยเฉพาะในเรื่องการเรียน เมื่อ สอบไม่ได้ก็สอบใหม่ แต่ก่อนจะสอบก็ต้องไปเรียนให้ได้ความรู้ที่แน่นพอ
นี่เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับพระเราในปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งญาติโยมด้วยว่า ประการแรก คนเราไม่แก่เกินเรียน สอง คนเราควรมีความเพียรพยายาม เมื่อมีเป้าที่ต้องการบรรลุแล้ว แม้จะทำไม่ได้ก็ไม่ท้อ จะทำเรื่อยไป
หาได้ยาก พระที่สอบแล้วสอบเล่าถึง 15 ครั้ง โดยเฉพาะประโยค 9 แล้วก็มีบางท่านเคยสอบมาแล้ว 20 กว่าครั้งก็มี กว่าจะได้ประโยชน์ 9 หลวงปู่ท่านตราบใดที่ยังมีกำลังวังชาก็ไม่หยุด ไม่หยุดเรียน แล้วก็ ไม่หยุดความเพียรที่จะสอบ นี่เป็นแบบอย่างที่ดี สำหรับทั้งพระทั้งเณรแล้วก็คนทั่วไป ว่าคนเราไม่ควรจะท้อถอย
สำหรับเรื่องการสอนให้คนเราเห็นว่า คนเราไม่แก่เกินเรียน มีอีกตัวอย่างหนึ่งน่าทึ่งมาก ที่ประเทศเคนย่า คุณยายอายุ 90 แล้ว เป็นหมอตำแยมาเกือบ 70 ปี แล้ววันหนึ่งก็สนใจที่จะเรียนหนังสือขึ้นมา แล้วก็เริ่มเรียน ป.1 คุณยายคนนี้ชื่อโกโก้ อายุ 90 ปี เรียน ป.1 กับเรียกว่ายิ่งกว่าเหลนอีกนะ เด็กๆ ที่มาเรียนด้วยก็เป็นเด็กที่คุณย่าหรือคุณยายนี่ทำคลอดมาทั้งนั้น เด็กอายุ 9 ขวบ 10 ขวบมาเรียน เป็นเพื่อนชั้นเดียวกับคุณยาย
คุณยายบอก แกอยากจะอ่านออกเขียนได้ เพื่อที่จะได้อ่านพระคัมภีร์ไบเบิล แกเป็นคริสต์ และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ แกอยากจะเป็นแรงกระตุ้นเป็นแรงบันดาลใจ ให้เด็กๆ สนใจเรียนหนังสือ เพราะคุณ ยายเห็นเด็กๆ ตัวเล็กๆ หลายคนไม่ยอมเข้าโรงเรียน บางทีก็ปล่อยตัวให้อายุเป็นวัยรุ่นแล้ว แต่งงานพอมีครอบครัวก็ยิ่งไม่สนใจการเรียน
คุณยายจึงถามว่าทำไมเธอไม่เรียนหนังสือ หลายคนจะบอกว่า หนูแก่แล้ว หนูอายุมากแล้วหรือผมอายุมากแล้ว คนที่พูดนี่บางทีแค่เป็นวัยรุ่นเท่านั้นแหละ หรือบางคนก็แต่งงานมีครอบครัวอายุ 17-18 แต่ เขาบอกว่าอายุมากแล้ว แก่เกินเรียนแล้ว คุณยายบอกว่า จะแก่เกินเรียนได้ยังไง ฉันนี่ 90 แล้ว ฉันยังเรียนหนังสืออยู่เลย
คุณยายบอกว่า ที่ไปเรียนนี่ส่วนหนึ่งก็เพื่อเป็นแบบอย่างกระตุ้นให้เด็กๆ ยิ่งกว่าคราวเหลน ได้มาสนใจเรียนหนังสือ อันนี้เรียกว่าทำไปเพื่อประโยชน์ท่าน ประโยชน์ตนก็มี อยากมีความรู้ อยากอ่านออกเขียนได้ ได้อ่านพระคัมภีร์ไบเบิล แต่ส่วนหนึ่งก็อยากจะเป็นแบบอย่างหรือเป็นแรงกระตุ้นเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับเด็กๆ ในหมู่บ้านหรือว่าในชุมชน สนใจใฝ่รู้ สนใจใฝ่ศึกษา
แล้วคุณยายเห็นว่า การศึกษานี่สำคัญ ไม่ว่าอายุแค่ไหนก็ไม่แก่เกินเรียน แล้วยิ่งเห็นเด็กอย่าว่าแต่ 6-7 ขวบ 9 ขวบ 10 ขวบเลย อายุ 20, 30 ไม่รู้หนังสือ ก็เลยต้องขายแรงงาน ใช้ชีวิตลำบาก สมควรที่จะ เรียนหนังสือ เพราะการรู้หนังสือจะเป็นเรียกว่าต้นทุนให้สามารถที่จะพัฒนาชีวิตของตนได้
คุณยายแทนที่จะพูด แทนที่จะกระตุ้น กลับลงมือทำให้เป็นแบบอย่าง เพราะถ้าพูดถ้ากระตุ้นแล้ว แต่ตัวเองไม่เคยเรียนหนังสือเลย ถ้าตัวเองพูดให้คนไปเรียนหนังสือ แต่ตัวเองอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ก็ไม่มีน้ำหนัก คุณยายเลยบอกว่า ฉันก็เข้าเรียนซะเลย เรียน ป.1 กับพวกเหลนๆ ก็ไม่อาย ไม่อายถือว่าฉันเรียนแล้วฉันได้ความรู้ แล้วความรู้เพียงแค่อ่านออกเขียนได้ก็ทำให้ชีวิตฉันดีขึ้นแล้ว พวกเธอก็ควรจะมาเรียนเหมือนกัน
อันนี้เป็นตัวอย่างของคนเฒ่าคนแก่ ที่เขาสอนให้เรารู้ว่า ไม่มีใครแก่เกินเรียน แล้วขณะเดียวกัน ก็ไม่ควรทิ้งความเพียรด้วย.