แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 10 มีนาคม 2566
มีคำถามหนึ่งที่โยมหลายคนมักจะถามอาตมา ก็คือขอคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันควรจะทำอย่างไร นอกจากเรื่องของการมีศีล 5 ให้ครบแล้ว อาตมาก็มักจะแนะนำไปว่าให้ทำอะไรอย่างมีสติ ไม่ว่าทำอะไรในชีวิตประจำวันก็ให้ทำอย่างมีสติ
ก็จะมีคำถามต่อไปว่า ทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าทำอย่างมีสติ คำแนะนำข้อหนึ่งก็คือว่าเวลาทำอะไร ตัวอยู่ไหนใจก็อยู่นั่น ตัวอยู่ในห้องน้ำ ใจก็อยู่ที่ห้องน้ำ ไม่ต้องไปคิดถึงที่อื่น ตัวอยู่ในห้องกินข้าว ใจก็อยู่ที่ ห้องกินข้าว ไม่ใช่ไปอยู่ที่ห้องนอน หรือไม่ใช่ไปอยู่ที่นอกบ้าน ตัวอยู่ที่ทำงาน ใจก็อยู่ที่ทำงาน ไม่ใช่ใจไปอยู่ที่บ้าน นึกห่วงลูก ห่วงพ่อแม่ หรือว่าห่วงเรื่องประตูหน้าต่าง ว่าลงกลอนปิดล็อคดีหรือยัง มันเป็น หลักง่ายๆ ตัวอยู่ไหนใจอยู่นั่น เพราะถ้าตัวอยู่ที่หนึ่ง ใจไปอยู่อีกที่หนึ่ง ก็เรียกว่าใจลอยแล้ว ก็คือไม่มีสติ
คำแนะนำอีกข้อหนึ่งก็คือว่า ทำอะไรให้ก็ให้ทำทีละอย่าง อย่าทำ 2 อย่าง อย่าทำ 3 อย่างพร้อมกัน เดี๋ยวนี้ผู้คนส่วนใหญ่ทำหลายอย่างพร้อมกัน อาจจะไม่รู้ตัว เช่นเวลากินข้าว ใจก็คิดไปแล้วว่าเดี๋ยวไปทำงานนี่ เราจะพูดอะไรดีกับเจ้านาย หรือเราจะประชุมอย่างไรดี บางทีก็คิดถึงเรื่องการวางแผนงานขณะที่กำลังอาบน้ำอยู่ อันนี้เรียกว่าทำ 2 อย่างพร้อมกัน ซึ่งมันทำให้ไม่มีสติอยู่กับอะไรสักอย่าง เวลาอาบน้ำ เวลากินข้าวก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่ากำลังอาบน้ำกำลังกินข้าว เพราะใจมันไปอยู่ที่อื่น หรือไม่ใจก็กำลังคิดเรื่องงานเรื่องการ หรือบางทีก็คิดเรื่องการไปประเทศอินเดีย จะไปสักการะสังเวชนียสถาน มันก็เป็นเรื่องบุญเรื่องกุศลดีแล้ว แต่ว่าถ้าหากว่าคิดเรื่องนั้นในขณะที่กำลังกินข้าว ในขณะกำลังอาบน้ำ ในขณะที่กำลังถูกฟัน มันก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้เกิดมีสติขึ้นมา
แล้วเดี๋ยวนี้สิ่งที่ผู้คนมักจะทำคู่กับการทำกิจอื่นก็คือการดูโทรศัพท์ กินข้าวไปก็ดูโทรศัพท์ไป หรือว่าขับรถไปก็ดูโทรศัพท์ไป หรือพูดโทรศัพท์ บางทีทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ก็ดูโทรศัพท์ไปด้วย ทำงานไปด้วย หรือแม้แต่รดน้ำต้นไม้หรือว่าล้างจาน บางทีก็ดูโทรศัพท์ไปด้วย ยุคนี้เป็นยุคที่คนทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน และสิ่งหนึ่งที่ทำไปคู่กับการทำสิ่งอื่นก็คือดูโทรศัพท์ มันกลายเป็นนิสัยประจำชาติหรือประจำยุคสมัยไปเสียแล้ว แล้วคนไม่ค่อยตระหนักว่ามันมีผลเสียอย่างไรบ้าง ไม่ใช่ต่อจิตใจอย่างเดียว บางทีก็มีผลเสียต่องานที่กำลังทำอยู่ควบคู่กันไปด้วย ปกติแค่ดูโทรศัพท์อย่างเดียวคนก็ไม่ค่อยมีสติอยู่แล้ว ยิ่งทำอะไรควบคู่ไปกับการดูโทรศัพท์ก็ยิ่งขาดสติเข้าไปใหญ่ ไม่มีสติกับการทำสิ่งนั้น
เมื่อเร็วๆ นี้มีเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 10 ขวบ แกทำความสะอาดบ้าน ใช้ไม้กวาดดอกหญ้ากวาดขยะบนพื้น มือขวาก็กวาดขยะ มือซ้ายก็ถือโทรศัพท์ แล้วตาก็จ้องมองโทรศัพท์ ไม่ค่อยได้เหลียวมาดูพื้นเท่าไหร่ ที่ดูก็อาจจะเป็นเพลง อาจจะเป็นการ์ตูน พอกวาดไปได้สักพักก็ไปหยิบที่โกยขยะ เพราะว่าขยะมันเยอะแล้ว ทั้งเศษกระดาษ ทั้งถุงพลาสติก แล้วก็ขวดน้ำที่ไม่ใช้แล้ว ก็เดินไปที่โกยขยะ แต่มือของตัวนี่ไม่ว่าง เพราะมือหนึ่งถือไม้กวาด อีกมือหนึ่ง ก็ถือโทรศัพท์มือถือ จะให้มือว่างเพื่อที่จะหยิบที่โกยขยะ ก็ต้องเอาไม้กวาดนี่ไปหนีบไว้ที่ใต้แขนข้างที่ถือโทรศัพท์
เสร็จแล้วก็เดินไปหยิบที่โกยขยะ ทีนี้พอจะโกยขยะ หาไม้กวาดไม่เจอ ไม้กวาดมันหายไปไหน เหลียวหน้าเหลียวหลัง ไม่เห็นไม้กวาด เอ๊ะ ไม้กวาดเราไปวางไว้ที่ไหน งงเลยนะ ไม้กวาดไปวางไว้ที่ไหน แปลกใจมากเลย สุดท้ายต้องไปหยิบไม้กวาดอันใหม่มา แล้วก็โกยขยะใส่ที่โกยขยะ ระหว่างที่ทำอยู่ ก็ปรากฏว่าไม้กวาดที่หนีบเอาไว้ใต้แขนอีกข้างหนึ่ง มันก็ตกลงมา แกสะดุ้งเลยนะ เอ๊ะ มันมาได้อย่างไรนี่ ไม้กวาดนี่มันหล่นมาจากหลังคาหรือเปล่า งงเลยนะ
แล้วที่มันน่าแปลกคือเมื่อสัก 4-5 เดือนก่อน ก็มีเหตุการณ์คล้ายๆ กัน แต่คราวนี้ไม่ใช่เด็ก 10 ขวบ แต่เป็นพระ อายุประมาณ 30-40 ก็เหมือนกันเลย กวาดฝุ่นบนศาลาการเปรียญ มือหนึ่งก็ถือไม้กวาดดอกหญ้า อีกมือหนึ่งก็ถือโทรศัพท์ แล้วใจก็จดจ่อ ตาก็จ้องมองที่โทรศัพท์มือถือ ส่วนมืออีกข้างก็กวาดไป กวาดแบบไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัวเท่าไหร่ เรียกว่ากวาดไปตามความเคยชิน จนกระทั่งไปถึงหน้าโต๊ะหมู่บูชา ก็เห็นตรงอาสนะที่หลวงพ่อท่านนั่งเป็นประจำ มีหนังสือหนังหาวางไม่เป็นที่ พระรูปนี้ก็เลยก้มลงเพื่อที่จะจัดหนังสือ แต่สองมือไม่ว่าง มือหนึ่งถือโทรศัพท์ อีกมือหนึ่งก็ถือไม้กวาด จะให้มีมือว่างสักมือหนึ่งก็ต้องเอาไม้กวาดไปหนีบไว้ที่ใต้แขนอีกข้างหนึ่งที่ถือโทรศัพท์
แล้วก็จัดหนังสือเป็นระเบียบ ลุกขึ้นมาพอจะกวาดต่อ เอ้า ไม้กวาดหายไปไหน ไม่รู้ว่าไม้กวาดมันอยู่ใต้รักแร้ มองไปรอบๆ ไม่เจอไม้กวาด เอ๊ะ เราวางไว้ตรงไหน สุดท้ายก็ไปหยิบไม้กวาดด้ามใหม่มา กวาดไปๆ สักพัก ไม้กวาดที่หนีบไว้ใต้แขนก็ตกลงมา กระแทกกับพื้นศาลา แกตกใจเลย เอ๊ะ มันมาได้ยังไง มองไปที่หลังคา มันตกมาจากหลังคา ไม่เชื่อสายตาว่าไม้กวาดจริงหรือเปล่า เอาด้ามไม้กวาดที่ถือ ในมือที่เขี่ยๆ ดู เขี่ยไม้กวาดที่กองอยู่บนพื้นศาลา เอ๊ะ มันจริงหรือเปล่านี่ ไม้กวาดจริงมันมาจากไหนนี่ ผีหลอกหรือเปล่านี่ พระรูปนี้พนมมือเลย พนมมือไหว้ไม้กวาด คล้ายๆ ว่าอย่าหลอกผมเลยนะ
มันก็คงจะไม่ใช่มีแค่สองกรณี ก็คงจะมีกรณีแบบนี้คล้ายๆ กัน อันนี้มันชี้ให้เห็นเลยว่า คนเราเวลาทำอะไรสองอย่าง โดยเฉพาะถ้าอีกอย่างหนึ่งคือดูโทรศัพท์ โอกาสที่มันจะทำอะไรโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็มีมาก ก็ยังดีนะเป็นแค่กวาดขยะกวาดฝุ่น ถ้าเกิดขับรถแล้วดูโทรศัพท์ไปด้วย ทีแรกอาจจะดูประเดี๋ยวประด๋าว แต่พอดูปั๊บ มันดึงดูดใจปุ๊บเลย แล้วทำให้ขาดสติ เพราะโทรศัพท์มือถือมันเป็นตัวดูดสติชั้นดีเลย ใน บรรดาประดิษฐกรรมของมนุษย์ที่ผลิตมาในช่วงไม่กี่ปีมานี้ มันไม่มีอะไรที่ดูดสติเราได้ดีเท่าหรือได้มากเท่ากับโทรศัพท์มือถือ ฉะนั้นถ้าทำอะไรควบคู่ไปกับการดูโทรศัพท์ แทบจะร้อยทั้งร้อยเลย ถึงจุดหนึ่งก็จะขาดสติ และสิ่งที่ทำมันก็ทำแบบไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัว แล้วก็อาจจะผิดพลาด
เมื่อหลายปีก่อน เคยมีดาราฝรั่งคนหนึ่งพาลูกไปเที่ยว ให้ลูกนั่งรถเข็น แล้วแม่ก็เข็นลูกไปบนฟุตบาท แต่ว่าระหว่างที่เข็นตัวเองก็ดูโทรศัพท์มือถือไปด้วย ปรากฏว่ารถเข็นเด็กมันไปเจอทางที่ขรุขระ อาจจะเป็นร่องเล็กๆ แต่มันก็ใหญ่พอทีจะทำให้รถเกิดการกระแทกกระเทือนขึ้นมา จนกระทั่งรถพลิกคว่ำ เด็กตกลงมาจากรถเลย ไปกระแทกกับพื้นฟุตบาท แม่นี่ตกใจมากเลย แล้วโกรธ ไม่ได้โกรธตัวเองนะ โกรธเทศบาลว่าทำไมไม่ทำพื้นให้เรียบ ทำไมทำพื้นขรุขระ ฟ้องเทศบาลเลย แทนที่จะโทษตัวเองว่าเป็นเพราะไม่มีสติ
อันนี้คือโทษของการทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน นี่แค่ 2 อย่างนะ บางคนทั้ง 3 อย่างเลย กินข้าวไปด้วยดูโทรศัพท์ไปด้วย แล้วก็พูดคุยกับคนที่ร่วมโต๊ะไปด้วย อันนี้เกิดขึ้นในหลายบ้านทีเดียว เพราะฉะนั้น เวลาคุยอะไรกัน อาจจะคุยกับลูก หรืออาจจะปรึกษา กำลังมีปัญหาชีวิต กำลังมีปัญหาหัวใจ แต่คนที่เป็นพ่อเป็นแม่นี่ไม่ได้ฟังเท่าไหร่เลย เพราะว่าใจมันไปอยู่กับโทรศัพท์ ตามันก็อาจจะอยู่กับลูก แต่ว่าใจที่ทำให้คอยเหลือบไปมองที่โทรศัพท์ หรือถึงแม้จะไม่ดูโทรศัพท์ แต่ว่าทำอย่างอื่นไปพร้อมๆ กัน มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้สติมันถูกบั่นทอน
ฉะนั้นถ้าเราอยากจะเจริญสติในชีวิตประจำวัน ก็ต้องสร้างนิสัยทำทีละอย่าง ซึ่งก็หมายถึงการทำอะไรก็ตามด้วยใจเต็มร้อย ไม่ใช่คิดแต่ใช้ชีวิตเต็มร้อย เดี๋ยวนี้คนพูดถึงชีวิตเต็มร้อยๆ ซึ่งก็มักจะหมายถึงการทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน แต่ชีวิตเต็มร้อยจริงๆ มันเกิดขึ้นจากการที่เราทำอะไรด้วยใจเต็มร้อย ด้วยความรู้สึกตัวเต็มร้อย มันจึงจะเรียกว่ามีชีวิตเต็มร้อย แต่มันก็ไม่ใช่ง่ายนะ เพราะว่าเดี๋ยวนี้คนเราถูกสร้างนิสัยให้ทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน แม้จะไม่ดูโทรศัพท์มือถือ แต่ก็ทำอย่างอื่นไปด้วย เพราะเรามีความคิดว่าทำหลายอย่างพร้อมกันนี่เป็นสิ่งที่ดี เป็นการใช้เวลาให้คุ้มค่า เวลา 1 นาทีทำหลายอย่างพร้อมกัน แทนที่จะทำทีละอย่างๆ มันเสียเวลา
แล้วเดี๋ยวนี้เวลาเป็นของมีค่า พูดกันว่าเวลาเป็นเงินเป็นทอง ก็เลยทำหลายอย่างพร้อมกัน กินข้าวไปด้วยก็คิดงานไปด้วย วางแผนงานไปด้วย หรือว่าอาบน้ำไปก็คิดเรื่องงานเรื่องการ เวลาทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ตอบอีเมลไปด้วย ตอบข้อความทางไลน์ไปด้วย หรืออ่านข้อความทางโซเชียลมีเดีย อันนี้ถือว่าเป็นการใช้เวลาให้คุ้มค่า มันมีการส่งเสริมสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า Multitasking ก็คือการทำหลายอย่างพร้อมกัน คนที่คิดว่าตัวเองเก่ง เราเป็นคนที่มีภารกิจเยอะ เราต้องทำหลายอย่างพร้อมๆ กัน พอมีค่านิยมเชิดชูการทำหลายอย่างพร้อมกัน ก็เลยถือเป็นเรื่องเท่ แต่หารู้ไม่ว่านี่มันเป็นตัวบั่นทอนสติ ทำลายสมาธิมาก
แล้วเดี๋ยวนี้ฝรั่งเขาก็พูดกันมากขึ้นแล้วว่า การทำหลายอย่างพร้อมกันนี่มันไม่ได้ดีเลย มีงานวิจัยเมื่อ 10 ปีที่แล้วของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คณะบริหารธุรกิจ ซึ่งมีชื่อเสียงมาก เขาทำวิจัยคนเป็นจำนวนหลายพันเลย แล้วเขาได้ข้อสรุปว่าการทำหลายอย่างพร้อมกัน ที่เรียก Multitasking มันไม่ได้ดีเลย มันไม่ได้เป็นการใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพเลย เพราะว่างานที่ทำมีข้อผิดพลาดมากขึ้น แล้วก็ทำให้เกิดการตกหล่นในการรับรู้ข้อมูล ข้อมูลสำคัญที่ควรจะใส่ใจก็ตกหล่นหายไป เพราะว่าใจไม่ได้มีสมาธิอยู่กับการรับรู้ข้อมูลเหล่านั้น ไม่ว่าจะทางข้อความที่เห็น หรือจากทางเสียงที่ได้ยิน
แล้วยิ่งกว่านั้นคือเหตุการณ์เก็บรับข้อมูลในความทรงจำ มันก็จะไม่ค่อยดี เขาพบว่ามันทำให้ความทรงจำในระยะยาวมันเสียไป มันถูกบั่นทอน แล้วพอข้อมูลที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำเท่าที่ควร มัน ก็ทำให้การแก้ปัญหาหรือการคิดสร้างสรรค์บกพร่อง เขาเจียระไนพอสมควรเลยว่าการทำหลายอย่างพร้อมกัน ซึ่งเป็นที่นิยมเชิดชูกันในวงการธุรกิจ ในวงการของผู้บริหารระดับสูง มันไม่ได้ดีจริง นี่เขาพูด เฉพาะในเรื่องของผลหรือคุณภาพของงานในทางโลก ว่างานไม่มีประสิทธิภาพ มีความผิดพลาด แล้วก็รวมทั้งความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการทำงาน ในการเก็บข้อมูลไว้ในความทรงจำ มันเสียไป
ในทางธรรมก็เหมือนกัน หมายถึงในแง่ของจิตใจ มันก็ยิ่งเป็นตัวทำให้ขาดสติมากขึ้น ฉะนั้นถ้าเราคิดถึงหรือเห็นความสำคัญของการเจริญสติ โดยเฉพาะการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ว่าจะต้องรอมา เข้าคอร์ส จะต้องรอมาปฏิบัติธรรมที่วัด แต่ทำได้เลยเดี๋ยวนี้ที่บ้าน หรือที่ไหนก็ตาม สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งหรือหลักสำคัญประการหนึ่งก็คือว่า ทำทีละอย่าง
อย่างที่มีคำพูดว่า เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง ทำแต่ละอย่างด้วยใจเต็มร้อย มันจะได้ทำด้วยความรู้สึกตัว แม้ว่าสิ่งที่ทำมันอาจจะดูไม่ค่อยสลักสำคัญเท่าไหร่ เช่น อาบน้ำ ถูฟัน ล้างจาน รดน้ำต้นไม้ อาจจะไม่สำคัญเท่ากับการขับรถ หรือว่าการประชุมในเรื่องที่สำคัญ แต่มันก็เป็นการเจริญสติได้ดี ถ้าหากว่าเราทำทีละอย่าง รดน้ำต้นไม้ ล้างจาน ถูฟัน ใจก็อยู่กับสิ่งนั้น มันก็เกิดสิ่งที่เรียกว่ารู้กาย รู้กายคือรู้กายเคลื่อนไหว ไม่ต้องไปบังคับ ไม่ต้องไปเพ่ง ไม่ต้องไปจ้องถึงขนาดนั้น แค่เอาใจอยู่กับเนื้อกับตัว มันก็เกิดสิ่งที่เรียกว่ารู้กาย หรือว่าเห็นกายในกาย ที่ครูบาอาจารย์ หลวงพ่อเทียนท่านว่ารู้กายเคลื่อนไหว มันเกิดความรู้สึกทั่วตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
ถ้าเราเอาใจไปอยู่กับสิ่งที่กำลังทำ แล้วมันจะเกิดคุณ เวลาเราอาบน้ำ มันไม่ใช่แค่ชำระกาย มันจะช่วยชำระความหม่นหมองไปจากใจ ความเครียด ความล้า ไปจากใจด้วย ถ้าหากเราอาบน้ำอย่างมีสติ อาบน้ำด้วยใจเต็มร้อย เวลากินข้าว ถ้าเรากินด้วยใจเต็มร้อย ไม่ต้องถึงกับไปบังคับ ไปเพ่ง หรือไปกำหนด แค่รู้สึกเบาๆ มันก็จะไม่ใช่เป็นการเติมอาหารให้กับกาย แต่ยังเป็นการเติมสติให้กับใจด้วย เรียกว่าได้ทั้ง อาหารกาย ได้ทั้งอาหารใจ เรียกว่าทำ 1 ได้ 2 เรียกว่า 2 in 1 ทำ 1 ได้ 2 ถ้าเราทำทีละอย่าง หรือทำอย่างมีสติ แต่ถ้าทำหลายอย่างพร้อมกันในเวลาเดียวกัน อาจจะไม่ได้อะไรเลย แทนที่จะเป็น 2 in 1 ทำหลายอย่างพร้อมกันในเวลาเดียวกัน กลับไม่เกิดผลดีเลยทั้งสองอย่าง
ขับรถแต่ว่าดูโทรศัพท์มือถือไปด้วย หรือคุยไปด้วย หรือใจลอยไปด้วย บางทีก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุ แทนที่จะถึงเร็วก็ถึงช้า ข้ามถนนก็ใจลอย หรือว่าคิดเรื่องงานเรื่องการ อาจจะไม่ใช่คิดเรื่อยเปื่อยฟุ้งซ่าน แต่กำลังคิดเรื่องงานเรื่องการ ถือว่าข้ามถนนใช้เวลาให้มีประโยชน์คุ้มค่า ก็คิดเรื่องงานเรื่องการไปด้วย เดี๋ยวก็อาจจะโดนรถชนโดนรถเฉี่ยว แล้วมันเกิดปัญหา
ฉะนั้นถ้าหากเราสนใจเรื่องการเจริญสติ ต้องฝึกสร้างนิสัยทำทีละอย่าง มีบางคนสนใจธรรมะก็ถามว่า ถ้าเกิดว่ากำลังทำความสะอาด เช่นกวาดบ้านแล้วก็ฟังเทปธรรมะ ฟังคำบรรยายธรรมไปพร้อมๆ กันได้ไหม มันก็ได้นะ แต่ถามว่าทำเพื่ออะไร ถ้าหวังการเจริญสติ มันก็ไม่ได้ เพราะว่าใจมันต้องคอยแบ่งไปอยู่กับสิ่งสองสิ่ง ปกติคนเราก็จะจดจ่อใส่ใจก็ได้แค่อย่างเดียวในแต่ละขณะ ถ้าขณะที่เราฟังคำบรรยาย ตอนที่เรากำลังกวาด เราก็กวาดโดยไม่รู้ตัวแล้ว ไม่รู้สึกตัว เพราะใจมันไปฟังคำบรรยาย หรือฟังเพลงก็แล้วแต่ เมื่อใจเราไปฟังคำบรรยายหรือจดจ่อเสียงที่กระทบหู มันก็ไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัวกับการที่กำลังกวาดขยะกวาดฝุ่น หรือขณะที่กำลังล้างจาน หรือกำลังรดน้ำต้นไม้ก็แล้วแต่
ถามว่าได้งานไหม ก็ได้งาน ถามว่าทำแล้วมันไม่เบื่อใช่ไหม มันก็ใช่ หลายคนคิดว่าถ้าเปิดเทปธรรมะขณะที่กำลังล้างจาน หรือขณะที่กำลังทำอะไรที่มันดูน่าเบื่อ ก็อาจจะทำให้หายเบื่อ เช่นบางคนชอบวิ่ง แต่วิ่งบางทีก็เบื่อ ถ้าฟังเพลงบ้าง ฟังเทปธรรมะบ้าง มันก็ทำให้ลืมเหนื่อย หรือว่าหายเบื่อได้ มันก็ดีในแง่ของการที่ทำให้ออกกำลังกายได้ตามเป้าที่ต้องการ ได้ระยะที่ต้องการ อันนี้ก็เกิดสุขภาพที่ดี หรือรดน้ำต้นไม้ บางทีรดเป็นชั่วโมง เบื่อก็เปิดเทปธรรมะฟัง เปิดเพลงฟัง มันก็หายเบื่อก็ทำให้รดน้ำได้เป็นประจำสม่ำเสมอทุกวัน งานก็สำเร็จ ทำความสะอาดบ้านเหมือนกัน รีดผ้าก็เหมือนกัน ฟังเทปธรรมะไปด้วย ฟังคำบรรยายธรรม หรือฟังเพลง มันก็ทำให้ไม่เบื่อ งานก็เสร็จ แต่ว่าถามว่าได้สติไหม คงไม่ค่อยได้เท่าไหร่หรอก
ถ้าตั้งใจหรือเห็นว่าสติเป็นเรื่องสำคัญ และตั้งใจจะฝึกสติ ก็ต้องยอมที่จะทำทีละอย่าง แม้ว่าใหม่ๆ อาจจะเบื่อบ้าง แต่ความเบื่อนั่นแหละ มันก็มาเป็นอุปกรณ์ในการฝึกสติได้ ก็เห็นความเบื่อ เบื่อแล้วถ้าหากว่าเป็นผู้เบื่อ แทนที่จะเห็น ก็เข้าไปเป็น อย่างนี้ก็ถือว่าขาดสติ แต่เราจะฝึกเห็น ไม่เข้าไปเป็นได้ ก็ต้องฝึกจากของจริง ฝึกจากความเบื่อที่เกิดขึ้น ความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้น ความหงุดหงิดที่เกิดขึ้น มันโผล่มาก็เพื่อฝึกเรา เพื่อเป็นอุปกรณ์วัตถุดิบให้กับเรา ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องเสียหาย หากว่าตั้งจิตหรือตั้งเป้าว่าเราอยากจะเจริญสติ
ฉะนั้นการสร้างนิสัยทำทีละอย่าง มันไม่ใช่เป็นเรื่องเสียเวลา ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ใช้เวลาอย่างไม่มีประสิทธิภาพ เพราะอย่างที่บอกไว้แล้ว แม้กระทั่งการทำงานทางโลก เดี๋ยวนี้เขาก็พบว่าการทำ 2 อย่างพร้อมกันนั่นแหละ ที่ทำให้งานไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร มีความผิดพลาดเกิดขึ้นเยอะ และอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นการใช้เวลาให้มีคุณค่า ให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร เพราะเมื่อทำแล้วมันมีความผิดพลาดขึ้นมา มิหนำซ้ำสมองหรือว่าความสามารถในการเก็บข้อมูล ความสามารถในการคิด ก็เสียไป ยังไม่ต้องพูดถึงสมาธิที่ถูกบั่นทอน เพราะคนที่ทำหลายอย่างพร้อมกัน จะมีสมาธิจับจดมาก
เด็กสมัยนี้ที่ว่ามีสมาธิสั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าจับจดกับอะไรหลายอย่าง ไม่สามารถที่จะทำอะไรทีละอย่างๆ หรือทำอะไรแต่ละอย่างนานๆ ได้ เพราะจิตมันว่อกแว่ก จับจด แล้วที่มีสมาธิสั้นแล้วจิตจับจด ก็เพราะว่าไม่ค่อยได้ฝึกให้ทำ อะไรอย่างมีสติ หรือทำอะไรด้วยใจเต็มร้อย ซึ่งก็ฝึกได้ เริ่มต้นด้วยการทำอะไรทีละอย่าง
แต่ก่อนอาตมาเป็นคนที่ชอบใช้ความคิดมาก แล้วก็คิดไปในทุกเรื่องที่ทำ เวลาเดินไปทำงาน เดินจากบ้านไปที่ทำงาน บางทีครึ่งชั่วโมง ก็หาเรื่องคิด คิดว่าเป็นการใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพ แต่ตอนหลังเปลี่ยนนิสัยใหม่ เวลาทำอะไรทำทีละอย่าง อาบน้ำ ถูฟัน กินข้าว เดิน แม้แต่เดินบิณฑบาตรหรือเดินไปไหนก็ตาม ก็ไม่หาเรื่องคิด ถ้ามันจะคิดก็คิดขึ้นมาเอง ให้มันคิดขึ้นมาเอง แต่ว่าเราไม่ได้ ตั้งใจคิด ถึงเวลาจะคิดจึงค่อยมานั่งคิด คิดจริงๆ คิดด้วยสมาธิเต็มร้อย ไม่ใช่ทำอีกอย่างหนึ่งไปด้วย ก็ปรากฏว่ามันทำได้ดี ตอนที่ทำอะไรโดยไม่คิด มันก็ได้พักใจ ไม่ใช่คิดเรี่ยราด คนที่คิดเรี่ยราดส่วนใหญ่ก็เกิดจากการที่ทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน แล้วพอคิดเรี่ยราดแล้ว ความคิดหรือจิตใจมันเหนื่อย มันก็คิดอะไรไม่เป็นโล้เป็นพาย
แต่เวลาเราใช้กายทำอะไร เราก็วางความคิดลง ใช้ความรู้สึกตัว ถึงเวลาจะคิดอะไรก็ค่อยมาคิด มันกลับคิดได้ดี แล้วตอนที่ไม่คิด มันมักจะมีความคิดดีๆ ผุดขึ้นมาโผล่ขึ้นมา แต่เราก็ไม่ตามมัน เราก็วางมันเสีย คล้ายๆ รับรู้แล้วเก็บมันเอาไว้ เดี๋ยวพอเสร็จธุระแล้วค่อยมานั่งทบทวนว่าเมื่อกี้คิดอะไรระหว่างที่บิณฑบาต มันกลับดีกว่าด้วยซ้ำ จากการที่เราไม่ตั้งใจคิด ให้อยู่กับความรู้สึกตัว มันกลับมีความคิดที่ดี โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ แล้วถึงเวลาที่เราตั้งใจ แล้วพอจะคิด มันก็คิดได้อย่างมีสมาธิ มันดีกว่าทำอะไรสองอย่างพร้อมกัน.