พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 19 เมษายน 2566
มีความสามารถ 2 อย่างที่มนุษย์มี แต่ว่าสัตว์ไม่มี หรืออาจจะมีน้อย 2 อย่างที่ว่านี้คือ การจดจำในอดีตได้กับความสามารถในการคาดการณ์ในอนาคต มนุษย์มีความสามารถ 2 ประเภทนี้มากทีเดียว เราสามารถที่จะจดจำในอดีต ถอยหลังยาวไปถึงสมัยที่ยังเด็กๆ และเดี๋ยวนี้เราสามารถที่จะบันทึกเรื่องราวอดีตไปไกลก่อนที่เราจะเกิด และเราก็สามารถที่จะร่วมรู้หรือจดจำได้ถึงรากเหง้ากำพืดของเรา
ความสามารถอีกส่วนหนึ่งก็คือ ความสามารถในการคาดการณ์เรื่องราวในอนาคต สัตว์บางชนิดก็มีแต่ว่าไม่สามารถที่จะมองยาวไกลได้เหมือนคนเรา ความสามารถนี้ส่วนหนึ่งก็อาศัยการจดจำในอดีตได้ อย่างเช่นเรารู้สามารถคาดการณ์ได้ว่าพอถึงหน้าแล้งน้ำจะน้อย ที่เราคาดการณ์ได้หรือรู้ล่วงหน้าได้เพราะเราเคยมีประสบการณ์ที่ผ่านเรื่องราวเหตุการณ์นี้มาแล้ว หรือว่าเราสามารถที่จะคาดการณ์ว่าพอถึงหน้าหนาวจะหนาวเฉียบ ที่เราคาดการณ์ไม่ผิดเพราะว่าเราเคยมีประสบการณ์มาแล้ว
เพราะฉะนั้นคนที่อายุมากหรือผ่านโลกมาก เขาก็มีความสามารถในการคาดการณ์ได้สูง แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยมีความจำเป็นแล้วล่ะเพราะว่ามันมีตัวช่วยหลายอย่างหรือที่ไม่ต้องอาศัยประสบการณ์ตรง
ความสามารถในการคาดการณ์ในอนาคตเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันจะช่วยทำให้เราสามารถที่จะเตรียมการรับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น หรือว่าช่วยเราในการวางแผนสำหรับอนาคตได้ การที่เราคาดการณ์ได้ว่าพอถึงหน้าร้อน น้ำจะขาดแคลนก็ทำให้เรารู้จักเก็บน้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำฝน น้ำใช้ ในช่วงฤดูฝนเก็บน้ำไว้เต็มที่เลย พอถึงหน้าร้อนเราก็ไม่เดือดร้อนมากเพราะมีน้ำที่เก็บสะสมไว้
หรืออย่างคนในเมืองหนาว เขาก็รู้ว่าพอถึงหน้าหนาวมันหนาวมาก ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น เพราะฉะนั้นก็ต้องสะสมอาหารตั้งแต่ก่อนฤดูหนาวหรือก่อนฤดูใบไม้ร่วง เก็บสะสมไว้ เนื้อสัตว์บางทีก็ต้องตากแห้งเพื่อไว้กินในฤดูหนาวก็ทำให้สามารถชีวิตรอดในฤดูหนาวได้
การที่คนเราคาดการณ์ได้ว่าพอแก่ตัวแล้ว เงินทองก็ร่อยหรอ หรือบางทีจะพึ่งพาอาศัยคนอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องเก็บหอมออมริดตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว หรือขณะที่ยังมีงานมีการพอถึงเวลาแก่ก็ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินเรื่องทองมาก อันนี้เรียกว่าเป็นความความสามารถในการคาดการณ์ในอนาคต หรือเรารู้ว่าพอรู้ว่าอยู่ไปๆ ก็เจ็บป่วยได้ง่าย ก็ต้องรู้จักเตรียมการด้วยการทำประกันชีวิต ประกันสุขภาพเอาไว้ พอเจ็บป่วยก็มีเงินประกันช่วยรักษาเป็นค่าพยาบาลได้
เพราะฉะนั้นความสามารถในการคาดการณ์ในอนาคต มันเป็นสิ่งที่ช่วยคนได้มากทีเดียว ที่เราใช้ชีวิตได้ถึงทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเรามีการคาดการณ์ในอนาคตอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นที่หลายคนขยันเรียนขยันทำงานเพราะสามารถที่คาดการณ์ได้ว่า การขยันเรียนทำให้มีอาชีพที่มั่นคง หรือการขยันทำงานทำให้มีชีวิตที่มั่นคงในภายภาคหน้า
ที่จริงแม้กระทั่งเวลาเราขับรถหรือเรานั่งรถ เป็นเพราะเราคาดการณ์ว่าจะเกิดอุบัติเหตุในข้างหน้าได้ เราก็เลยต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ที่เรากินอาหาร ระมัดระวังเรื่องอาหารเพราะว่าเราพอที่จะคาดการณ์ได้ว่าพอกินสุ่มสี่สุ่มห้าตามใจปากก็จะเกิดโรคเกิดความเจ็บป่วยในการภายหน้า แม้กระทั่งการที่เราคาดการณ์ได้ว่าสักวันหนึ่งเราต้องตายก็ทำให้เรารู้จักเตรียมการ บางคนก็เตรียมการด้วยการทำพินัยกรรมเพื่อไม่ให้ลูกหลานทะเลาะเบาะแว้งกันในยามที่ตัวเองจากไป หรือบางคนก็หันมาสนใจเรื่องการปฏิบัติธรรมเพื่อให้ได้เตรียมใจ รับมือความตายที่จะมาถึงได้เพื่อว่าพอถึงเวลาระยะท้ายแล้วก็ไม่ทนทุกข์ทรมานจะได้ตายดี
อันนี้เพราะว่าเราสามารถที่จะมีการคาดการณ์ในอนาคตได้ซึ่งจะช่วยทำให้เราพอถึงเวลาเกิดปัญหาเกิดอุปสรรคขึ้นมา เราก็สามารถที่จะก้าวข้ามผ่านมันไปได้ อย่างไรก็ตามความสามารถในการคาดการณ์ในอนาคต บางครั้งก็สร้างปัญหาให้กับเรา
เพราะว่าเดี๋ยวนี้ที่คนมีความเครียดมีความวิตกกังวลสูงเพราะว่าอะไร ก็เพราะว่าการคาดการณ์เกี่ยวกับอนาคตของตัวเองบ้าง ของสังคมของประเทศชาติในอนาคต หลายคนพอคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะแย่ค่าเงินบาทจะตกหรือว่าหุ้นจะตก พอคาดการณ์แบบนี้จิตใจก็ห่อเหี่ยว เครียด หรือคาดการณ์ว่ากำไรมันจะหด ธุรกิจจะไปไม่ดี เพราะคาดการณ์แบบนี้ ทำให้หลายคนนอนไม่หลับ มีความเครียดมีความวิตกกังวลสูง
หรือแม้กระทั่งไม่ใช่นักธุรกิจก็เครียด เครียดเพราะอะไร เครียดเพราะว่ากลัวจะสอบไม่ได้ สอบไม่ติด สอบเข้าไม่ได้ จะได้คะแนนต่ำ หรือกังวลว่าจะทำวิทยานิพนธ์ไม่เสร็จ อันนี้เป็นเรื่องของการคาดการณ์ทั้งนั้น แต่พอไปจดจ่อไปหมกมุ่นอยู่กับความคิดเรื่องนี้ ก็เลยเครียด บางคนก็เครียดเพราะคาดการณ์ว่าลูกจะเรียนไม่ดี จะคบเพื่อนไม่ดี เพราะดูทรงดูท่าทางแล้ว เชื่อคนง่าย หรือว่าชอบสนุกสนาน ไม่เอาใจใส่ในการเรียน ก็เลยคาดการณ์ไปข้างหน้าว่าลูกคงจะมีอนาคตไม่ค่อยดี พอคิดแบบนี้เข้าก็เลยเครียดวิตกกังวล
ความสามารถในการคาดการณ์ของคนเราเกี่ยวกับอนาคตนี้ เดี๋ยวนี้มันเป็นที่มาของความทุกข์ของผู้คนจำนวนมาก ที่จริงการคาดการณ์เกี่ยวกับอนาคต มันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เสียหาย มันมีประโยชน์ถ้าใช้เป็น แต่พอไปหมกมุ่นกับมันมากแล้วก็ไปยึดติดถือมั่นมาก โดย เฉพาะเวลาคาดการณ์ไปในทางลบทางร้ายมันก็ทำให้เกิดความเครียดเกิดความวิตกกังวลสูงมาก
บางทีอดคิดไม่ได้คนเราถ้ามีความสามารถในการคาดการณ์ต่ำๆอาจจะมีความสุขไม่เครียดก็ได้อย่างเช่นพวกหมาแมว มันก็ไม่ค่อยนิดคิดถึงอนาคตเท่าไหร่เพราะว่ามันคาดการณ์อนาคตมองไม่ค่อยได้ไกล มันก็เลยไม่เครียด มันก็เลยไม่เป็นโรคนอนไม่หลับซึ่งต่างจากคนเรา
ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของคนเราที่เกิดจากการที่คนเราชอบให้ค่ากับภาพอนาคตมากหรือไปให้ความสำคัญกับการคาดการณ์ในอนาคต ก็คือว่าทำให้ผู้คนไปหมกมุ่นกับเรื่องอนาคตมากไปอย่างเช่น หลายคนก็พยายามทำงานหนักพยายามทำงานหนักเพื่ออะไร เพื่อชีวิตที่มั่นคงในอนาคต ไม่ใช่เพื่อชีวิตที่มั่นคงของตัวเองเท่านั้นแต่รวมถึงชีวิตมั่นคงของครอบครัวเราด้วย หลายคนทำงานหนักเพื่อจุดหมายที่งดงามในวันข้างหน้า ทำงานหนักมาก เพราะอยากจะให้อนาคตมันมั่นคง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือลืม หรือลืมมองข้ามปัจจุบันไป
ทำงานหนักเพื่อครอบครัวแต่กลับไม่มีเวลาให้กับลูก ไม่มีเวลาให้กับคนรัก หรือไม่มีเวลาให้กับพ่อแม่เลยทั้งที่มันเป็นเรื่องปัจจุบัน ลูกก็ดีก็อยู่กับเรา พ่อแม่ก็อยู่กับเราในวันนี้ คนรักก็เหมือนกัน แต่ว่าหลายคนก็มองข้ามเพราะว่ามองไปข้างหน้า ไปจดจ่ออยู่กับจุดหมายปลายทางที่วาดหวังข้างหน้า ลืม ลืมที่จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่มันเป็นปัจจุบัน
บางทีก็ลืม ลืมสุขภาพทำงานหนักจนไม่ได้พักผ่อน ร่างกายก็แย่ แต่ก็ไม่ยอมพักเพราะว่าจดจ่ออยู่กับภาพอนาคตที่ต้องการสร้าง สร้างเนื้อสร้างตัวให้มั่นคง หรือบางคนก็มุ่งแต่จะสร้างอนาคตจนไม่มีเวลาที่จะมีความสุขกับปัจจุบัน บางทบางคนเรียกว่าลืมใช้ชีวิตเลย เพราะเอาแต่สร้างอนาคต เดี๋ยวนี้ก็มีเยอะพวกที่ใช้ชีวิตเพื่ออนาคตแต่ลืมที่จะอยู่กับปัจจุบัน ลืมที่จะหาเอาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน หรือลืมที่จะให้ความสำคัญกับคนที่อยู่รอบตัวเรา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาจะอยู่กับเราไปนานแค่ไหน หรือก็ไม่รู้ว่าเราจะอยู่กับเขาไปได้อีกนานแค่ไหน
ในแง่นี้จะเรียกว่ามองอนาคตไม่รอบด้านก็ได้ เพราะถ้ามองอนาคตรอบด้านเราก็จะพบว่า อีกไม่นานเราก็ต้องตาย หรือว่าไม่รู้เมื่อไรคนที่เรารักจะล้มหายตายจากไป ถ้ามองตรงนี้บ้างก็จะทำให้ไม่มัวแต่สร้างอนาคตจนลืมให้ความสำคัญกับปัจจุบันหรือให้ความสำคัญกับคนที่อยู่รอบตัวเรา
ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องของการคาดการณ์อนาคตก็คือ มนุษย์เรามีข้อจำกัดในการคาดการณ์ เพราะฉะนั้นการคาดการณ์บางอย่างก็อาจจะผิดได้ แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆเช่น คาดการณ์ว่าอะไรที่จะทำให้เรามีความสุข อะไรที่มันจะทำให้เราไม่สุขสบาย เรื่องแบบนี้ดูง่ายๆแต่คนเราก็มักจะคาดการณ์ผิดหรือมองผิด
เคยมีการสอบถามหรือจะเรียกว่าทดลองก็ได้ คนที่โดยสารรถไฟตามสถานี เขาจะสอบถามว่าเมื่อคุณขึ้นรถไฟถ้าเลือกระหว่าง 1. คุยกับคนแปลกหน้าที่นั่งอยู่ใกล้ๆกัน หรือ 2. ไม่ยุ่งกับใครเลย อยู่กับตัวเองหรือว่าทำสิ่งที่ตัวเองชอบคนเดียว เขาก็ถามว่าระหว่าง 2 อย่างนี้ ชอบแบบไหน หรือคิดว่าอะไรมันดีมันให้ความรู้สึกที่ดีกับเรา
พอเขาสอบถามเสร็จ เขาก็จะแบ่งผู้โดยสารออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเวลาขึ้นรถไฟ ก็ให้คุยกับคนแปลกหน้า อีกกลุ่มหนึ่งไม่ต้องคุยกับคนแปลกหน้า ทำอะไรตามใจชอบได้เลย เช่นอ่านหนังสือ หรือว่าดูโทรศัพท์มือถือ
เสร็จแล้วพอเดินทางเสร็จ เขาก็ให้ทุกคนให้คะแนนว่า ประสบการณ์ที่เพิ่งผ่านมานี้ เรารู้สึกดีกับมันมากน้อยแค่ไหน เขาพบว่าก่อนเดินทาง ก่อนขึ้นรถไฟ ส่วนใหญ่เลยจะบอกว่าการคุยกับคนแปลกหน้ามันไม่ค่อยดีเท่าไร หลายคนจะรู้สึกดีกว่าถ้าหากว่าอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียว อ่านหนังสือ หรือว่าดูมือถือ แต่พอได้ขึ้นรถไฟแล้ว คนที่ได้มีโอกาสคุยกับคนแปลกหน้า เขากลับบอกว่าเออ มันให้ความรู้สึกดี มันตรงข้ามกับความเข้าใจของเขาก่อนที่จะขึ้นรถไฟว่าคุยกับคนแปลกหน้า เขาไม่ค่อยชอบหรอก อยู่คนเดียวดีกว่า
อันนี้เขาก็เลยได้ข้อสรุปว่า คนเราแม้กระทั่งเรื่องง่ายๆเช่นการคุยกับคนแปลกหน้า คนส่วนใหญ่ก็คาดการณ์ไม่ถูกต้องเท่าไร คือไปมองว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดี สู้การอยู่คนเดียว นั่งคนเดียวไม่ได้ แต่พอเวลาได้คุยกับคนแปลกหน้าจริงๆ เออมันดีน่ะ ไอ้ที่คิดว่ามันไม่ดีหรือว่าฉันไม่ชอบ ที่จริงมันไม่ใช่ พอได้ลองทำแล้วมันดี
เขาก็เลยตั้งข้อสังเกตว่า คนเราสิ่งที่เราคาดว่าจะให้ความสุขกับเรา บางทีเราก็คาดการณ์ผิดเหมือนกัน สิ่งที่เราคิดว่าเราไม่ชอบ มันกลับดีกับเรา หรือว่าเรากลับรู้สึกดีกับมันเมื่อได้ลองทำดู อันนี้ก็นำไปสู่การตั้งข้อสังเกตว่าคนเรานั้น เวลาคาดการณ์เกี่ยวกับอะไรก็ตาม บ่อยครั้งเรามีแนวโน้มที่จะประเมินสิ่งที่เป็นปัญหาสูงเกินจริงไป ขณะที่ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นเรามักจะประเมินต่ำอย่างเช่น ก่อนที่จะขึ้นรถไฟ เวลาถามว่ารู้สึกอย่างไรที่จะต้องคุยกับคนแปลกหน้า หลายคนจะมองว่าคุยกับคนแปลกหน้ามันเสียเวลา บางทีอาจจะ เจอคนงี่เง่า หรือเจอคนพูดไม่ถูกหู อันนี้คือปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ว่าคนเรามีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญมากเกินไปหรือประเมินสูงเกินไป
ในขณะที่การที่ได้คุยกับคนแปลกหน้ามันอาจจะมีข้อดี ก็คือว่า ได้เจอเพื่อนใหม่ หรือว่าได้ฟังอะไรที่มันน่าสนใจ รู้สึกมีเพื่อน มีคนที่คิดเหมือนกัน หรือว่าให้ประสบการณ์ดีๆกับเรา อันนี้เป็นประโยชน์ที่คนมักจะประเมินต่ำไป แล้วคนเราก็มักเป็นอย่างนี้อยู่บ่อยๆ
อย่างเช่นเวลาให้นักเรียนหรือว่าครูให้เด็กๆหรือวัยรุ่นมาเดินธรรมยาตราหลายคนจะบ่นว่าไม่ไหวๆ บ่นตั้งแต่ก่อนจะมาถึง เพราะเห็นแต่ปัญหา แต่ว่าสิ่งดีๆไม่มองหรือมองไม่ค่อยเห็น ไปคิดว่าสงสัยฉันไม่ไหวแน่เลย เดินตากแดดเดินทางไกล คือมองปัญหามันสูงเกินจริง และมองประโยชน์ที่จะได้ต่ำกว่าเป็นจริง แต่พอเราไปเดินเข้าจริงๆ ก็เห็นปัญหาที่คิดว่ามันใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ปัญหาที่คิดว่ามากมันกลับจิ๊บจ๊อย แต่สิ่งที่คิดว่าคงจะไม่ได้อะไรมันกลับได้เยอะเลย
หรือคนที่มาปฏิบัติธรรม ใหม่ๆหลายคนก็เห็นแต่ปัญหา มาปฏิบัติธรรมมันเหงา มันลำบาก ก็เลยไม่อยากมา แต่พอได้มาปฏิบัติธรรมมาเจริญสติก็กลับพบว่าไอ้ที่คิดว่าเป็นปัญหานี่ มันเล็กน้อย ส่วนข้อดีที่มองไม่ค่อยเห็น ความจริงมันกลับเยอะ เช่นความสงบหรือว่าความรู้สึกสงบเย็น
เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นข้อเตือนใจว่า คนเราอย่าไปเชื่อมั่นมากเกินไปกับความคิดความเห็นเกี่ยวกับอนาคต เกี่ยวกับสิ่งที่เราจะทำ หรือเกี่ยวกับอะไรก็ตามที่อยู่ข้างหน้า เพราะว่าความจริงอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดก็ได้
อันนี้จะเห็นได้ชัด คนที่ถูกลอตเตอรี่เช่นเวลาพูดถึงลอตเตอรี่การมีเงินมีโชคมีลาภ คนมีแต่จะเห็นข้อดีว่าฉันจะถูกลอตเตอรี่ หรือฉันได้โชคได้ลาภ ได้เงินรางวัล ฉันจะมีความสุขมากเลย แต่พอได้จริงๆข้อดีมันก็มีน่ะ แต่ว่ามันอาจจะน้อยกว่าข้อเสีย ไอ้ที่คิดว่าข้อเสียไม่ค่อยมีนั้น อาจจะเยอะมาก อันนี้ก็เป็นการคาดการณ์ที่ผิดอีกอย่างหนึ่งของมนุษย์เรา
บางอย่างเราก็เห็นแต่ปัญหา แต่เราไม่ค่อยเห็นข้อดี ทั้งๆที่ปัญหานี้เล็กน้อยแต่ข้อดีเยอะ บางอย่างเราเห็นแต่ข้อดีแต่ไม่เห็นปัญหาทั้งๆที่ในความเป็นจริงปัญหามันเยอะมาก ส่วนข้อดีก็มีบ้างแต่น้อย หรือว่าน้อยกว่าที่คิด
อันนี้มันก็แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เรามีความจำกัดในการคาดการณ์ เกี่ยวกับสิ่งที่จะทำข้างหน้าหรือเกี่ยวกับเหตุการณ์ข้างหน้า เพราะฉะนั้นอย่าไปเชื่อความคิดของเราเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก เพราะความจริงอาจจะไม่ตรงกับที่เราคาดการณ์ก็ได้ ถ้ามันไม่แย่กว่า มันก็อาจจะดีกว่าก็ได้
และเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี ก็ต้องทดลองทำดู อย่างคนที่คิดว่า ฉันขึ้นรถไฟฉันอยู่คนเดียวดีกว่าที่จะคุยกับคนแปลกหน้า แต่พอได้คุยกับคนแปลกหน้ากลับพบว่า มันดีแฮะ มันดีกว่าการอยู่คนเดียวทำอะไรคนเดียวด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้ลองทำก็ไม่รู้ว่าไอ้ที่คิดเอาไว้ มันไม่ถูกต้อง ไอ้ที่คาดการณ์เอาไว้ มันไม่ใช่อย่างนั้น
ฉะนั้นเวลาเรามีการคาดการณ์อะไร แม้กระทั่งเกี่ยวกับความสุขหรือว่าสิ่งที่พึงปรารถนา ก็อย่าไปเชื่อมั่นมากเกินไป เพราะมันอาจจะเป็นการคิดเอาเองก็ได้ ต่อเมื่อเราได้ทดลองทำดู มันจึงจะรู้ว่ามันอาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้ หรือบางอย่างอาจจะแย่กว่าที่คาดหวังก็ได้