พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 26 มีนาคม 2566
ที่จังหวัดอ่างทองมีผู้ชายคนหนึ่ง แกเลี้ยงเป็ดอยู่ประมาณ 3,000 ตัว ทุกเช้าแกก็ต้องพาเป็ดทั้ง 3,000 ตัวขึ้นรถ เพื่อไปปล่อยที่บึงแห่งหนึ่ง เป็ดที่ว่านี่เป็นเป็ดไล่ทุ่ง เพราะฉะนั้นก็สามารถจะปล่อยให้มันเป็นอิสระ แต่มันก็ไปไม่ไกล ก็อยู่หากินตามบึงที่ว่า ตกเย็นสี่โมงเย็นแกก็มารับเป็ดเหล่านี้กลับขึ้นรถ แล้วก็พากลับไปที่เล้าของแก
ทั้งหมดนี้แกทำคนเดียว ไม่มีลูกมือ ไม่มีลูกจ้าง แล้วก็ไม่มีสัตว์เลี้ยงคอยช่วยด้วยเช่นหมา แล้วแกทำได้ยังไงนะ สำหรับแกเป็นเรื่องง่ายมาก เพราะเป็ดทั้ง 3,000 ตัว จะเรียกว่ามันรู้หน้าที่ก็ได้ ถึงเวลาขึ้นรถ มันก็ขึ้นรถอย่างเป็นระเบียบ แล้วรถของแก เนื่องจากจะต้องบรรทุกเป็ดทั้ง 3,000 ตัวไปในคราวเดียวกัน ก็เลยทำกรงประมาณ 3-4 ชั้น
เป็ดมันก็รู้ว่ากรงของมันอยู่ตรงไหน ถ้ากรงบนสุดเป็ดเขาก็จะมายืนรอที่บันไดซึ่งเป็นไม้พาดกับประตูของกรง แล้วมันก็เดินขึ้นเข้ากรงไป ถ้ายังไม่ถึงคิวของเป็ดตัวอื่นๆ มันก็รอ จนกระทั่งกรงบนเต็มแล้ว ชั้นที่ 1 เต็ม ชั้นที่ 2 ที่อยู่ประจำกรงนั้นมันก็ได้คิว ก็ขึ้นไป พอชั้นที่ 2 เต็ม ชั้นที่ 3 ก็เป็นเป็ดที่เขาอยู่ประจำกรงนั้นได้เวลาก็ขึ้นไป มันรู้หน้าที่ ขึ้นรถอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีการแย่งกัน ไม่มีการผิดคิว
พอไปถึงบึงก็ปล่อยลงทีละกรงๆ แล้ว มันก็พากันไปเล่นน้ำในบึง หาอาหาร เล่นน้ำในบึงนั้นทั้งวัน ไม่มีการหนี ไม่มีการแหกคอก สี่โมงเย็นเจ้าของขับรถมารับ เป็ดมันก็รู้ มันจะมีหัวหน้า คิดว่าเป็นหัวหน้านะ เดินนำ ที่จริงเรียกว่าว่ายน้ำตะกุยตะกายตามกันเป็นแถวเลย พอขึ้นฝั่งได้ มันก็เดินไปที่รถ ออกันอยู่ที่บันได แต่ว่าทุกตัวก็รู้ว่าคิวของตัวเองเมื่อไหร่
ตัวที่อยู่ประจำกรงบนสุดก็ขึ้นก่อน เดินเป็นแถว พอกรงเต็มแล้ว กรงที่อยู่ลำดับ 2 ล่างลงมาก็เปิด มันเปิดอยู่แล้ว เป็ดรู้หน้าที่รู้ว่ามันอยู่ประจำกรงไหนมันก็ขึ้นไป เจ้าของไม่ต้องทำอะไรมัน ก็รอให้แต่ละตัวขึ้นไปประจำกรง จนครบ 3,000 ตัว แล้วเขาก็ขับรถกลับบ้าน แล้วก็ปล่อยเป็ดทั้ง 3,000 ตัวเข้าเล้า ทำอย่างนี้ทุกวัน
มีรายการข่าวช่องหนึ่ง ไปถ่ายดูพฤติกรรมของเป็ดว่ามันเป็นระเบียบจังเลย มันรู้หน้าที่ ไม่ต้องมีคนมาบอก ไม่มีการขับไล่ ไม่ใช้ไม้ไล่ มันรู้หน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นเป็ดที่อายุมากคือ 6 เดือน หรือเป็ดที่เพิ่งฟักออกมาอายุไม่กี่วัน ก็คงจะเรียนรู้จากรุ่นพี่เพราะเป็ดเป็นสัตว์สังคม เห็นรุ่นพี่ทำ ตัวรุ่นน้องก็ทำตาม แต่ว่าทำอย่างเป็นระเบียบ เดินเรียงหนึ่ง
พอถึงเวลาจะเข้ากรง แม้จะออกกันแน่นเป็นร้อยตัว แต่ว่าไม่มีการแซงคิวกัน ตัวที่อยู่กรงล่างก็รอให้ตัวที่อยู่กรงบนขึ้นก่อน เพราะอย่างนี้ชาวบ้านคนนั้นจึงสามารถที่จะเลี้ยงเป็ดทั้ง 3,000 ตัวได้โดยที่ไม่ต้องมีลูกน้อง ไม่ต้องมีลูกมือ ไม่ต้องมีหมามาช่วยไล่
แล้วคนเห็นเขาก็ชมว่า โอ้เป็ดทำไมเป็นระเบียบอย่างนี้ แล้วก็อดพูดไม่ได้ว่า คนเราน่าจะเป็นอย่างนี้บ้าง หรือบางทีก็พูดว่า เป็ดเก่งกว่าคนเสียอีกนะ ยังเรียบร้อยกว่าคนซะอีก อันนี้มันก็จริงนะ หลายแห่งหลายที่อย่าว่าแต่ระดับพันคน แค่ระดับร้อย เวลามีการแจกของก็ปรากฏว่าไม่เป็นระเบียบเลย
อย่าว่าแต่อะไรเลย เวลาอาตมาไปบรรยาย ช่วงสุดท้ายจะแจกหนังสือ พอรู้ว่าจะแจกหนังสือ ทั้งที่รู้ว่าหนังสือมีพอกันทุกคน แต่ก็มาออกันแทนที่จะเข้าคิวเป็นแถว เพราะกลัวว่าถ้าได้ทีหลังอาจจะอด ต้อง มาช่วงชิงเพื่อให้ได้หนังสือก่อน เรียกว่าความอยากมันท่วมท้นใจ จึงต้องรีบมารับหนังสือเป็นคนแรกๆ เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีการเข้าคิว
ทั้งๆ ที่คนที่มาฟังการบรรยายก็สนใจธรรมะ แล้วก็รู้ว่าสติเป็นเรื่องสำคัญ แต่ว่าพอจะแจกของแจกหนังสือ เรียกว่าลืมเนื้อลืมตัว หรือว่ามาออโดยที่ไม่เป็นระเบียบ อันนี้ก็เป็นปรากฏการณ์ที่เห็นได้ทั่วไป เลยมีคนพูดว่า เป็ดมันเก่งกว่าคนเสียอีก เป็นระเบียบ รู้หน้าที่ รู้ลำดับ คนสู้เป็ดไม่ได้
ที่จริงคนเราก็สามารถจะฝึกให้มีระเบียบอย่างนั้นได้เหมือนกัน อันนี้ถ้าพูดอย่างแฟร์ๆ แต่ว่าต้องมีการฝึก แล้วบางทีเราเห็นคนที่ผ่านการฝึกมา เขาเป็นระเบียบกันอย่างน่าทึ่ง เวลาเดินพาเหรด โดยเฉพาะทหารเขาฝึกมา คนจะเป็นระเบียบมาก ยิ่งการเดินพาเหรดสวนสนามของประเทศ อย่างจีน รัสเซีย เกาหลีเหนือ พวกนี้จะเห็นเลยเขาเดินเป็นระเบียบ สวนสนามกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วก็มีพลังมาก
อย่าว่าแต่สวนสนามเลย เวลาจัดอีเว้นท์บางรายการ อย่างเช่นเปิดกีฬาโอลิมปิกของจีน คนนี่ตื่นตะลึงมาก เพราะว่านักแสดง 3-4 พันคนในสนามฟุตบอล เขาเคลื่อนไหวกันเป็นจังหวะ เหมือนกับเป็นหุ่นยนต์เลยทีเดียว จังหวะจะโคนพร้อมเพรียงกันอย่างไม่มีที่ติ แล้วในแง่หนึ่ง คนเราก็สามารถจะฝึกให้มีระเบียบได้เหมือนกัน
จะว่าคนเราด้อยกว่าเป็ดก็คงไม่เชิง เพียงแต่ว่าคนเราจะมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง เพราะฉะนั้นการที่จะฝึกให้เป็นระเบียบ ถ้าไม่ได้ฝึกมาก่อนก็คงไม่เป็นระเบียบเท่าไหร่ ที่จริงถ้าเรามามองดูการที่คนเราทำอะไรเป็นระเบียบ มันเป็นเรื่องดีนะ แต่ถ้าคนเราจะใช้ชีวิตเป็นแบบแผนอย่างเป็ดไล่ทุ่ง 3,000 ตัวนี่ มันคงไม่ดีเท่าไหร่
มนุษย์เรามีความคิดมีสติปัญญา ทำให้เราสามารถที่จะมองไปข้างหน้า คาดการณ์อนาคตได้ หรือรู้ว่าทำไปเพื่ออะไร เป็ดไล่ทุ่ง 3,000 ตัวแม้ว่าจะมีพฤติกรรมที่เป็นระเบียบน่าทึ่งมาก แต่คงไม่มีสักตัวที่เฉลียวใจว่า ปลายทางของมันคืออะไร พออายุโตได้ที่แล้วก็ต้องถูกจับไปเชือด หรือว่าถูกกับจับไปขาย มันไม่เคยมีความคิดแบบนี้ ว่าที่มันเป็นระเบียบเรียบร้อยนี่ สุดท้ายปลายทางมันคืออะไร
แต่คนเราสามารถจะรู้ว่า ปลายทางของเราคืออะไร อาจจะไม่ใช่ถูกจับไปเชือดเหมือนเป็ดเหมือนไก่ แต่เราก็รู้ว่าปลายทางเราคือความตาย เป็ดนี่มันไม่รู้นะ มันไม่รู้แม้กระทั่งอย่าว่าแต่จับถูกจับไปเชือดเลย มันไม่รู้แม้กระทั่งว่าสุดท้ายมันก็ต้องตาย เพราะฉะนั้นการที่เป็ดมันจะมีพฤติกรรมที่เป็นระเบียบอย่างไร จะว่าไปมันก็สู้คนไม่ได้ เพราะคนเรารู้ว่า สุดท้ายปลายทางของชีวิตเราก็คือความตาย
แล้วถ้าเรารู้ว่าจุดหมายปลายทางของเราคือถูกจับไปเชือด ก็คงไม่ยอมง่ายๆ จะเดินเป็นระเบียบเรียบร้อยวันแล้ววันเล่า ก็คงจะมีคนสงสัยว่าทำไปทำไม ที่จริงการที่คนเรารู้ว่าสักวันหนึ่งคนเราต้องตาย ก็ทำให้น่าสงสัยหรือเกิดคำถามขึ้นมาว่า แล้วเราสมควรที่จะอยู่ไปวันๆ หรือเปล่า
เป็ด 3,000 ตัวนี่จะว่าไปก็เหมือนกับอยู่ไปวันๆ ทุกเช้าก็ตื่นขึ้นมาขึ้นรถ พอมาถึงบึงก็ลงจากรถ ไปเล่นน้ำในบึง หาอาหาร ไซร์ขน พอ 4 โมงเย็นก็ทยอยกันเดินขึ้นรถกลับเล้า แล้ววันรุ่งขึ้นก็ทำเหมือนเดิม สุดท้ายพอโตถึงที่ก็ถูกจับขายหรือไม่ก็ถูกเอาไปเชือด มันคงไม่ใช่ชีวิตที่ดีแน่ๆ แล้วคนเราก็คงไม่ปรารถนาจะใช้ชีวิตแบบนั้น
แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อย ที่อาจจะใช้ชีวิตแบบนั้นคล้ายๆ กัน อยู่ไปวันๆ เพียงเพื่อที่จะรอวันตาย หรือว่าอยู่ไปตามกฎตามเกณฑ์ตามแบบแผน ซึ่งอาจจะไม่ต่างจากเป็ดเหล่านี้ที่มันใช้ชีวิตอย่างมีระเบียบ คนจำนวนไม่น้อยใช้ชีวิตไปตามระเบียบแบบแผนที่ถูกกำหนด ใครกำหนดนะ อาจจะเป็นสังคมก็ได้
สังคมกำหนด เช่น เป็นเด็กก็เรียนหนังสือหนังหา จากประถมแล้วก็ไปสู่มัธยม จบมัธยมแล้วถ้ามีปัญญาก็เรียนต่อเข้ามหาวิทยาลัย ถามว่าเข้ามาหาวิทยาลัยไปทำไม บางคนก็ไม่รู้ เรียนคณะนี้ไปทำไมก็ตอบไม่ได้ ถ้าจะตอบก็บอกว่าเป็นเพราะว่าหางานทำได้ง่าย มีรายได้ดี หรือใครๆ เขาก็เข้าคณะนี้ถ้าเรียนเก่ง พอเรียนแล้วก็ต้องพยายามให้ได้เกรดสูงๆ ถ้าได้เกียรตินิยมยิ่งดี
พอได้เรียนแล้วก็หางานทำ งานที่ทำก็ต้องเป็นงานที่มีเงินเดือนสูงรายได้มาก แล้วก็ต้องมีรถมีบ้าน เสร็จแล้วก็ต้องมีคู่แต่งงาน แต่งงานเสร็จก็มีลูก แล้วก็พยายามจะหาเงินให้ลูกไปเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อ เพื่อจะได้เข้ามาหาวิทยาลัยดังๆ แล้วก็มีงานทำดีๆ ทำงานไป ส่งเสียลูกให้เรียนหนังสือ เสร็จแล้วพอลูกโตก็หาคู่ให้ลูก หรือว่าจัดเตรียมแบบแผนชีวิตให้กับลูก จนกระทั่งตัวเองพอถึงวัยเกษียณ เกษียณก็ไป เที่ยว ใช้ชีวิตเหมือนกับที่ใครๆ เขาทำกัน เสร็จแล้วก็ตาย
อันนี้ก็เป็นแบบแผนของชีวิต ที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยเดินตาม บางทีจะเรียกว่าเป็นสายพานชีวิตก็ได้ เป็นสายพานชีวิตที่หลายคนเลือกที่จะอยู่บนสายพานนี้ โดยที่ไม่เคยตั้งคำถามเลยว่า สักวันหนึ่งอาจจะต้องตาย ไม่ใช่อาจหรอกสักวันหนึ่งต้องตาย
บางคนก็อยู่แบบลืมตาย ใช้ชีวิตไปวันๆ ตามระเบียบแบบแผนที่สังคมกำหนด จะว่าไปมันก็ไม่ต่างจากเป็ดเหล่านี้เลยนะ เพียงแต่ว่าเป็ดเหล่านี้มันดูเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่า แต่ว่ามันก็มีแบบแผนที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็เดินตาม
ที่จริงคนเรานี่ถ้าคิดสักหน่อยว่า เราจะใช้ชีวิตไปวันๆ เท่านั้นหรือ เพื่อที่จะรอวันตาย แล้วถึงเวลาตายก็ตายด้วยความทุกข์ทรมาน เพราะว่านอกจากไม่เคยเตรียมตัวที่จะรับมือกับความตายแล้ว บางทีอยู่เหมือนคนลืมตาย ใช้ชีวิตไปวันๆ แล้วยิ่งไม่ได้ใช้ชีวิตให้มีคุณค่า ถึงจะเวลาจะตายก็เสียอกเสียใจ ว่าปล่อยชีวิตให้สูญไปโดยเปล่าประโยชน์ กว่าจะรู้ว่าเราควรจะใช้เวลาที่มีอยู่เพื่อใช้ชีวิตให้มีคุณค่า มันก็สายไปเสียแล้ว
คนเรามีความสามารถมากกว่าเป็ด เรารู้ว่าสักวันหนึ่งเราต้องตาย แล้วเราก็สามารถจะรู้ต่อไปว่า ชีวิตแต่ละวันไม่ควรอยู่ไปวันๆ แต่ควรใช้ชีวิตให้มีคุณค่า แล้วชีวิตเราจะมีคุณค่าได้ เพราะว่าเราวางเป้าหมายชีวิตเอาไว้ในทางที่ดีงาม
คนจำนวนไม่น้อยอยู่ไปวันๆ โดยที่ไม่ได้มีเป้าหมายชีวิตอะไรเลย นอกจากอยู่ไปวันๆ หรือว่าทำตามแบบแผนของสังคมอย่างที่พูดไป เรียน แล้วก็ทำงานหาเงิน มีครอบครัว สร้างเนื้อสร้างตัว เสร็จแล้วก็ตาย
ถ้าหากว่าชีวิตเราไม่มีคุณค่า แล้วถึงเวลาจะตายมันก็ทรมาน เพราะรู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านไป บางทีอยากแก้ตัว แต่ถึงตอนนั้นก็แก้ตัวไม่ได้แล้ว เพราะว่าอยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว มาคิดได้ก็ตอนใกล้ตาย แต่ถ้า คนเราเมื่อเรารู้ว่า ชีวิตจะมีคุณค่าได้ต้องมีเป้าหมาย แล้วถ้าเรารู้จักกำหนดเป้าหมายที่ดีงามเอาไว้ ก็ทำให้ชีวิตแต่ละวันมีคุณค่าขึ้นมา
เดี๋ยวนี้คนจำนวนไม่น้อยพอเกษียณแล้ว เคว้งนะ เคว้งเพราะรู้สึกว่าชีวิตมันว่างเปล่า ตอนที่ยังไม่เกษียณพอจะมีเป้าหมาย เช่นเป็นข้าราชการก็ให้ได้ ซี 8 ซี 9 ซี 10 ให้ได้เป็นอธิบดี เป็นปลัดกระทรวง หรือเป็นหัวหน้ากอง มีเป้าหมายก็ทำให้รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า หรือว่ามีทิศทาง แต่พอเกษียณแล้วเคว้งเลย ไม่รู้จะทำอะไร ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ยิ่งถ้าไม่มีหลานให้เลี้ยงก็ยิ่งเคว้งเข้าไปใหญ่
คนแก่สมัยก่อนถึงแม้เกษียณก็ยังมีหลานให้เลี้ยง มีหลานให้ห่วงใย ตื่นเช้าขึ้นมาก็รู้สึกว่าเรามีเป้าหมาย คือดูแลหลาน ดูแลให้เขามีความสุข หรือว่าให้การศึกษาเขาเพื่อให้เขามีความรู้ แต่พอไม่มีหลานเพราะลูกไม่ยอมมีบุตร งานก็ไม่มี เคว้งเลย แล้วก็อยู่แบบเหงาหงอย แต่ว่าพอชีวิตเริ่มมีเป้าหมายแล้ว ก็เริ่มมีคุณค่า
บางทีเป้าหมายไม่ต้องมีอะไรมาก เลี้ยงหมาสักตัว แล้วก็ตื่นขึ้นมาก็นึกถึงหมา นึกถึงน้องหมานึกถึงน้องแมว อยากจะพาไปเดินเล่น อยากจะดูแลเขา หลายคนพอมีน้องหมาน้องแมวมาเลี้ยง มันมีชีวิตชีวาขึ้นมาเลย จากเดิมที่หงอยเหงา
หรืออย่าว่าแต่น้องหมาน้องแมวเลย บางทีให้แค่ต้นไม้ไปหนึ่งต้น บอกว่าช่วยดูแลหน่อยนะ คุณปู่วัย 80, 90 ที่รู้สึกหงอยเหงา อยู่ไปวันๆ พอมีต้นไม้ให้ต้องดูแล ตื่นขึ้นมาต้องรดน้ำต้นไม้ ชีวิตก็มีเป้าหมาย เป้าหมายไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ว่ามีความห่วงใยต้นไม้ อยากจะดูแลเขาให้เติบโต ก็ทำให้ชีวิตชีวาขึ้นมา อันนี้เคยมีการทดลองว่า ถ้าให้คนแก่บ้านพักคนชราให้เขาได้ดูแลต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ด้วยตัวเอง โอ้มีความกระชุ่มกระชวยขึ้นมาก
แต่ถ้าเป้าหมายของเราสูงกว่านั้น ก็ยิ่งทำให้มีชีวิตชีวาขึ้นมา ฉะนั้นคนเราถ้ารู้จักกำหนดเป้าหมายชีวิตที่มีคุณค่า เช่น การทำประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์ รวมทั้งการฝึกจิตให้เข้าถึงความสงบอันประเสริฐ อย่างที่ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกว่า ชีวิตที่ประเสริฐ ชีวิตที่ดี คือชีวิตที่สงบเย็นและเป็นประโยชน์
ถ้าเรามีเป้าที่จะบรรลุถึงความสงบเย็น แล้วมุ่งทำให้เกิดประโยชน์กับผู้อื่น ก็ยิ่งทำให้ชีวิตมีความหมายขึ้นมา ไม่รู้สึกหงอยเหงา ไม่รู้สึกว่างเปล่า พอได้ทำแล้วก็มีความสุข พอมีความสุขแล้วพอถึงเวลาที่จะต้องลาจากโลกนี้ไป อย่างน้อยก็รู้สึกภาคภูมิใจในชีวิตที่ผ่านมา
ยิ่งถ้าหากรู้ว่าจะต้องตาย เราก็ฝึกจิตเอาไว้ในการที่จะรับมือกับความตาย ซึ่งได้แก่รับมือกับทุกขเวทนาที่จะเกิดขึ้นเพราะความเจ็บป่วย หรือรับมือจากความสูญเสียพลัดพรากของรักของหวง ยิ่งถ้าฝึกให้รู้จัก ปล่อยวาง มันก็ช่วยทำให้ไม่เพียงแต่ชีวิตมีคุณค่า ถึงเวลาจะตายก็ตายอย่างสงบ ไม่ทุกข์ทรมาน
คนเราสามารถจะทำได้ ถ้าเรามีสติใคร่ครวญชีวิต ไม่ใช่อยู่ไปวันๆ เพราะไม่อย่างนั้นถ้าเราเผลอ เราก็คงมีชีวิตไม่ต่างจากเป็ดเหล่านั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ว่ามันเป็นการใช้ชีวิตแบบที่ไม่รู้เลยว่า อะไรคือจุดหมายปลายทางของชีวิต แต่พอปลายทางมาถึงก็ทุกข์ทรมาน.