พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 29 มีนาคม 2566
มีการอบรมครั้งหนึ่งนะ คนเข้าร่วมประมาณสัก 40 คน ช่วงหนึ่งวิทยากรก็ถามผู้เข้าอบรมว่า “ใครบ้างที่กลัวตาย” แล้วก็ให้แต่ละคนถามตัวเองว่า กลัวตายบ้างไหม หรือกลัวตายมากน้อยเพียงใด แล้ววิทยากรก็ให้แต่ละคนยืนอยู่ในตำแหน่งที่สัมพันธ์กับความกลัวตาย เช่น ใครที่ไม่กลัวเลยก็ไปอยู่อีกมุมห้องหนึ่ง ใครที่กลัวตายสัก 50 เปอร์เซ็นต์ก็มายืนอยู่กลางห้อง แล้วใครที่กลัวตายเต็มที่เลยหรือ 100
เปอร์เซ็นต์ก็ยืนอยู่อีกมุมห้องหนึ่ง
ปรากฏว่า คนที่คิดว่าตัวเองกลัวตายมากๆ หลายคนทีเดียวก็ไปยืนออกันอยู่ตรงอีกด้านหนึ่งของห้อง วิทยากรก็ถามว่า ทำไมถึงกลัวตาย บางคนก็บอกว่าห่วงลูก ก็เลยยังไม่อยากตาย ยังกลัวตายอยู่ บางคนก็บอกว่าห่วงพ่อแม่ พ่อแม่ไม่มีคนดูแล เพราะฉะนั้นก็เลยยังกลัวตายอยู่ ยังไม่อยากทิ้งพ่อแม่
มี 2-3 คน บอกว่าที่กลัวตายเพราะตอนนี้มีความสุขมากเลย มีความสุขเพราะลูกก็น่ารัก เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน สามีก็ดี การงานก็ก้าวหน้ามั่นคง มีความสุขมากตอนนี้ เขาเลยกลัวตาย ก็น่าคิดนะ ความสุขนี่มันก็สามารถจะเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ได้ เพราะความกลัวตายมันก็เป็นทุกข์ชนิดหนึ่ง แล้วที่กลัวตายก็เพราะมีความสุขมากกับชีวิตในวันนี้
ความสุขนี่ถือว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา เป็นสิ่งที่ถือว่าดี แต่ก็สามารถจะเป็นเหตุแห่งความทุกข์ได้ คือทำให้กลัวตาย อันนี้ก็เป็นเหตุผลที่น่าสนใจ โดยเฉพาะความสุขเพราะครอบครัวที่ดี เพราะการงานที่ก้าวหน้า มันก็เป็นสิ่งที่ผู้คนปรารถนา แต่ในแง่นี้มันก็มีโทษ เพราะมันเป็นเหตุแห่งความทุกข์ที่ชื่อว่า ความกลัวตาย
ผู้หญิงคนนี้เขาก็บอกว่า เขายังหวงแหนความสุข ยังไม่อยากละทิ้งความสุขในวันนี้ เพราะถ้าตายก็คือความสุขที่มีทั้งหมดทั้งมวลตอนนี้ มันก็สูญสลายหายไป เรียกว่ายังมีความหวงแหนความสุข มันดีเหลือเกิน มันให้ความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน ก็เลยยังไม่อยากจะสูญเสียมันไป
ความตาย ถือว่าเป็นที่มาแห่งความสูญเสียทั้งมวล มีความสุขเท่าไหร่ ก็ต้องสูญเสียหมดเมื่อสิ้นลม แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้ แค่นึกถึงความตายก็กลัวแล้ว เป็นทุกข์ นี่ขนาดแค่ความคิดนะ คิดถึงความตายขึ้น มาก็กลัว บางคนกลัวตายเพราะกลัวว่าจะไปอบาย บางคนกลัวตายเพราะรู้สึกว่ามันจะต้องตามมาด้วยความเจ็บความปวด อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ หรือเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ยอมรับกัน แต่การที่คนเรามีความสุข อย่างยิ่งหรืออย่างล้นพ้นในวันนี้ มันก็สามารถทำให้เราเป็นทุกข์ได้ เพียงแค่นึกถึงความตาย
นี่ขนาดแค่นึกนะ แล้วถ้าเกิดความตายมันเป็นจริงล่ะ มันจะทุกข์สักเพียงใด ทั้งๆ ที่อาจจะตายโดยไม่ได้มีความทุกขเวทนาอย่างโรคมะเร็ง อย่างโรคไตวาย หรือโรคโควิด แต่เพียงแค่พบว่าความสุขทั้งหมดทั้งมวลที่มีอยู่กำลังจะหมดไป มันก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อยมีความทุกข์อย่างยิ่ง
มองในแง่นี้ ความสุขมันก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดีเสมอไป มันสามารถจะเป็นที่มาหรือสาเหตุแห่งความทุกข์ได้ และไม่ใช่แค่เฉพาะความสุขเพราะลูก ความสุขเพราะครอบครัวที่อบอุ่น ความสุขเพราะการงานที่ดี ความสุขอื่นๆ ก็เหมือนกัน อาจจะพูดได้ว่า ความสุขกับความทุกข์นี่มันแยกจากกันไม่ออกเลยก็ว่าได้ อะไรที่ให้ความสุขกับเรา ก็สามารถจะทำให้เราเป็นทุกข์ได้ อะไรที่ให้ความสุขมากๆ ล้นพ้นกับเรา ก็สามารถทำให้เราทุกข์แสนสาหัสได้ อันนี้เป็นสัจธรรม
เรื่องนี้พระพุทธเจ้าก็เคยตรัส มีคราวหนึ่งพระพุทธเจ้าสนทนากับเทวดา เทวดาบอกว่า “มีโคก็สุขเพราะโค มีลูกก็สุขเพราะลูก” พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “มีโคก็ทุกข์เพราะโค มีลูกก็ทุกข์เพราะลูก” ไม่ได้แปลว่ามีโคแล้วไม่มีความสุข ไม่ได้แปลว่ามีลูกแล้วไม่มีความสุข มันก็มีล่ะนะ แต่มันก็พ่วงมาพร้อมกับความทุกข์
ลองดูเถิด อะไรที่ให้ความสุขกับเรา มันก็สามารถจะทำให้เราเป็นทุกข์ได้ ไม่ใช่แค่สุขเพราะลูกอย่างเดียว บางคนสุขเพราะรถยนต์ ได้รถคันใหม่ซูเปอร์คาร์ก็มีความสุข แต่ถ้าเกิดรถมันถูกขีดถูกข่วนหรือถูกขโมยไป มันก็ทุกข์ทันทีเลย
บางคนมีความสุขเพราะได้เที่ยว ได้ไปเที่ยวที่โน่นที่นี่ ในประเทศ ต่างประเทศ เอ็นจอยการกินอาหารต่างชาติ ได้เห็นอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ แต่พอถึงวันที่ไปเที่ยวไม่ได้ จิตใจมันตกวูบเลยนะ เหมือนกับช่วงโควิด หลายคนเป็นทุกข์มากเพราะไม่ได้เที่ยวเหมือนก่อน หรือยิ่งกว่านั้นคือร่างกายมันเกิดแก่ชรา พอแก่ชราทุพพลภาพ คนที่เป็นนักเที่ยวนี่หงอยไปเลย อันนี้เรียกว่าสุขเพราะเที่ยว ก็ทุกข์เพราะเที่ยวเหมือนกัน เมื่อโอกาสในการเที่ยวมันแปรเปลี่ยนไป
บางคนมีความสุขเพราะว่ามีคู่ครองที่ดี การที่คนเรามีคู่ครองที่ดี เหมือนกับถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเลย โดยเฉพาะถ้ามีสามีที่ดี มันยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งอีก มีความสุขด้วยกันมา 50 ปี ไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเลย สามีซื่อสัตย์ เอาอกเอาใจภรรยา อยู่กันด้วยความเข้าอกเข้าใจกัน มันคงจะหาความสุขแบบนี้ได้ยากสำหรับฆราวาส แล้วก็น่าจะเป็นที่อิจฉาของผู้คนมากมาย เพราะเดี๋ยวนี้เราก็เห็นคู่ครองทะเลาะเบาะแว้งกัน นอกใจกัน บางทีก็ไม่พูดกันเลย นอนคนละห้อง
ใครที่มีคู่ครองที่ดี เอาอกเอาใจกัน หรือมีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน มันยิ่งกว่าเป็นโชค มันเป็นความสุขอย่างยิ่งเลยสำหรับคนจำนวนไม่น้อย แต่เกิดคนใดคนหนึ่งล้มหายตายจากไป ความสุขที่มีอยู่มันแปร สภาพกลายเป็นความทุกข์ทันที แค่ข้ามคืนเท่านั้น ชีวิตนี่เคว้งเลย รู้สึกว่างเปล่า ไม่รู้จะอยู่ไปทำไมเลยด้วยซ้ำ หลายคนจะมีความรู้สึกแบบนี้ มันไม่รู้จะอยู่ไปทำไมแล้ว เพราะว่าคู่ครองคนรักล้มหายตายจากไป
มันตรงข้ามกับตอนที่อยู่ด้วยกัน ตอนที่อยู่ด้วยกันนี่มีความสุขมาก เป็นที่อิจฉาของผู้คน อันนี้ก็เช่นเดียวกัน อะไรที่ให้ความสุขกับเรา สุขเพราะคู่ครองก็ทุกข์เพราะคู่ครอง บางทีคู่ครองไม่ได้ล้มหายตายจากอะไร แต่เขาแปรเป็นอื่นไป นอกอกนอกใจ หรือบางทีเขากลายเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคซึมเศร้า กลายเป็นคนละคนไปเลย ฝ่ายหนึ่งเคยมีความสุข ก็กลายเป็นทุกข์ทันที
บางคนก็มีความสุขเพราะงาน ทำงานมีความสุขมาก โดยเฉพาะคนจีนจำนวนไม่น้อย มีความสุขกับการทำงาน ไม่รู้จักเสาร์อาทิตย์เลย ไม่รู้จะหยุดไปทำไม เพราะทำงานก็มีความสุขอยู่แล้ว แต่พอถึงวันที่แก่ ชราทำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว หรือป่วยติดเตียง หลายคนนี่ทุกข์ทรมานมาก ไม่ใช่ทุกข์เพราะโรคภัยไข้เจ็บ แต่ทุกข์เพราะมันไม่ได้ทำงานเหมือนเมื่อก่อน รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ชีวิตมันว่างเปล่า รู้สึกว่าไม่รู้จะอยู่ไป ทำไม แล้วก็เป็นกันมากเลย นี่ก็เหมือนกัน เป็นสุขเพราะงาน ก็เป็นทุกข์เพราะงาน
ยังไม่นับประเภทว่า ถึงแม้จะไม่เจ็บไม่ป่วยอะไร แต่งานการมันล้มเหลว มันไม่เป็นไปดั่งใจ ทุ่มเทไปให้กับงานแล้ว แต่งานมันไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ต้องการ ก็เครียด บางทีถึงกับหมดสภาพไปเลย อันนี้ก็เหมือนกัน สุขเพราะงานก็ทุกข์เพราะงาน
นี่คือสัจธรรมเลยทีเดียว พูดอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่า ความสุขมันมักจะพ่วงมาด้วยความทุกข์ แต่คนมักจะไม่ตระหนักว่า ความสุขที่มีอยู่หรือความสุขที่แสวงหากัน โดยเฉพาะความสุขทางโลก มันพ่วงมากับความทุกข์เสมอไป นี่ยังไม่ได้พูดถึงความสุขจากการกินดื่มเที่ยวเล่นนะ ซึ่งมันเจือไปด้วยทุกข์อย่างชัดเจน มันทุกข์ตั้งแต่แสวงหา ทุกข์ตั้งแต่การรักษาแล้ว
ความสุขในทางโลกทุกชนิดเลยก็ว่าได้ มันมีความทุกข์พ่วงมาด้วย มันเป็นแพ็กเกจเลย แต่คนมักไม่ค่อยตระหนักเท่าไหร่ว่า สุขที่ตัวเองมีมันเจือไปด้วยทุกข์ หรือมันมีความทุกข์พ่วงมาด้วย มันเป็นแพ็กเกจที่จะเลือกอันใดอันหนึ่งไม่ได้ ที่จริงมันก็หมือนกับหัวกับก้อย หัวกับก้อยในเหรียญมันก็มาด้วยกัน มีหัวแต่ไม่มีก้อยเป็นไปไม่ได้ หรือหน้ามือกับหลังมือมันก็ติดมาด้วยกัน สุขกับทุกข์ก็เป็นอย่างนั้นแหละ
แต่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า ถ้ามีความสุขแล้วจะต้องตามมาด้วยความทุกข์เสมอไป บางทีมันอาจจะไม่ได้ฟันธงขนาดนั้น เราสามารถจะมีความสุขได้โดยที่ใจไม่ทุกข์ ถ้าเกิดว่าเราไม่หลงเพลินในความสุขนั้น เราตระหนักว่าความสุขที่มีอยู่มันไม่เที่ยง เราตระหนักว่าสิ่งที่เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขมันไม่ยั่งยืน ไม่ว่าจะสุขเพราะงาน สุขเพราะเที่ยว สุขเพราะลูก สุขเพราะคนรัก สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ไม่เที่ยง สามารถจะแปรผันหรือสูญสลายหายไปได้ ในยามที่เรามีความสุขถ้าหากเราตระหนักถึงความไม่เที่ยงของที่มาแห่งความสุข หรือแม้กระทั่งตัวความสุขเอง ถึงเวลาที่สิ่งนั้นมันเสื่อมสลายหายไป ก็ไม่ทุกข์
เหตุแห่งความทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ความเสื่อมสลายหายไป จริงๆ แล้วมันอยู่ที่ความไปยึดติดถือมั่นในความสุขหรือที่มาแห่งความสุขต่างหาก อนิจจังหรือความไม่แน่นอนที่หมายถึงความเสื่อมสลาย จริงๆ มันไม่ได้เป็นเหตุแห่งทุกข์ แต่เหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง ก็คือความยึดติดถือมั่นในใจเรา ที่มีต่อความสุขหรือสิ่งที่ให้ความสุขกับเราต่างหาก
ถ้าเกิดว่าขณะที่เรามีความสุข ไม่ว่าเพราะลูก เพราะครอบครัว เพราะงานการก็ตาม เราก็ตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่เที่ยง มันเป็นของชั่วคราวไม่ยั่งยืน มันก็ทำให้เราคลายความยึดมั่นถือมั่น ไม่หลงใหลเพลิดเพลิน
พระพุทธเจ้าเคยตรัสดับพระนันทิยะ พระนันทิยะก็มาเล่าให้พระองคุลีมาลฟัง มีประโยคหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผลแห่งความดีย่อมเป็นพิษแก่ผู้ไม่พิจารณา แล้วหลงใหลยึดติดในสิ่งนั้นจนประมาทมัวเมา”
ผลแห่งความดี ท่านหมายถึงลาภสักการะ ชื่อเสียง แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่แค่ผลแห่งความดีที่เป็นพิษแก่ผู้ไม่พิจารณานะ ความสุขก็เหมือนกัน ความสุขสามารถจะเป็นพิษแก่ผู้ไม่พิจารณา แล้วหลงใหลยึดติด ในสิ่งนั้นจนประมาทมัวเมา คือคิดว่ามันจะสุขไปชั่วนิจนิรันดร์ หรือประมาทว่าสิ่งที่ให้ความสุขกับเรามันจะอยู่ชั่วฟ้าดินสลาย ไม่ว่าจะเป็นลูก ไม่ว่าจะเป็นคู่ครอง ไม่ว่าจะเป็นงานการ ทรัพย์สมบัติ หรือแม้กระทั่งร่างกายสุขภาพ
ฉะนั้น มีความสุขก็ได้ มีความสุขโดยไม่ทุกข์เมื่อความตายมาถึง หรือมีความสุขแต่ไม่ทุกข์แม้ว่าความสูญเสียพลัดพรากจะเกิดขึ้น หากว่าเราพิจารณาใคร่ครวญย้ำเตือนอยู่เสมอว่า “มันไม่เที่ยง” ความสุขที่มี อยู่ในวันนี้มันเป็นของชั่วคราว อย่าไปยึดติดถือมั่นกับมันมาก เพราะถ้าเรายึดติดถือมั่นกับมัน ก็เท่ากับว่าเราเตรียมตัวหรือเตรียมใจทุกข์ได้เลยเมื่อความผันผวนแปรปรวนมาถึง
มันก็เหมือนกับการกินปลา ปลาที่มีก้าง ถ้าไม่ระวังก้างปลาก็ตำคอ แต่ถ้ากินอย่างมีสติ แม้ปลาจะมีก้างแต่มันก็ไม่ตำคอก็ได้ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันให้ความสุขกับเราก็จริง แต่มันก็เจือไปด้วยทุกข์ มันมีทุกข์แฝงอยู่ ที่จริงมันเป็นตัวทุกข์เลยทีเดียว
“ว่าโดยย่อขันธ์ทั้งห้าเป็นตัวทุกข์” ลูก สามี ภรรรยา งานการ ทรัพย์สมบัติ พวกนี้เป็นสังขาร เป็นตัวทุกข์ แม้มันจะให้ความสุขกับเรา แต่มันก็เจือไปด้วยทุกข์ อันนี้รวมถึงสุขภาพร่างกายด้วย วันที่สุขภาพเราดี เราก็มีความสุข ใช้ร่างกายในการหาความสุข ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือแม้แต่ทางใจ
แต่สุขเพราะร่างกาย ก็ทุกข์เพราะร่างกายเหมือนกัน อันนี้ไม่ต้องอธิบายมากก็รู้อยู่แล้ว คนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะเวลาแก่ชรามันทุกข์มากทีเดียว ไม่เหมือนตอนหนุ่มสาวนี่มันสุขเพราะร่างกาย แต่พอแก่ตัวนี่มันทุกข์เพราะร่างกาย แต่ถ้าไม่ยึดติดถือมั่นในสังขารในร่างกาย หรือไม่ยึดติดเพลิดเพลินหลงใหลในความสุขเพราะสุขภาพดี ถึงเวลาร่างกายมันแก่ชรา ถึงเวลาสิ่งต่างๆ มันเสื่อมไป เราก็ไม่ทุกข์ก็ได้ เพราะเหตุแห่งทุกข์ที่แท้มันอยู่ที่ความยึดติดถือมั่น ไม่ใช่อยู่ที่ความผันผวนแปรปรวน หรือความไม่เที่ยง ที่เราเรียกว่า อนิจจัง
เพราะฉะนั้น เวลาเรามีความสุขก็อย่าลืม อย่ามัวแต่เพลินในความสุขจนลืม ลืมอะไร ลืมพิจารณา ลืมเตือนใจตัวเองว่า สุขที่มีอยู่มันไม่เที่ยง ไม่ว่าสุขเพราะสุขภาพ สุขเพราะลูก สุขเพราะสามีภรรยา สุขเพราะทรัพย์สมบัติ สุขเพราะงานการ สุขเพราะชื่อเสียง มันไม่เที่ยงนะ เตือนใจย้ำกับตัวเองอยู่เสมอว่า มันไม่เที่ยง มันไม่แน่ไม่นอน
ไอ้คำว่าไม่เที่ยง หรือการเตือนใจว่า มันไม่แน่นะ อันนี้เป็นธรรมะสำคัญทีเดียว หลวงพ่อชาท่านไม่ได้สอนอะไรมากนะ ท่านจะสอนเน้นแต่ให้ระลึกว่า “มันไม่แน่นะ มันไม่แน่นะ” มันไม่แน่ก็หมายความว่า ไอ้ที่มีอยู่นี่มันสามารถแปรเปลี่ยนเป็นอื่นได้ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสุขก็สามารถจะกลายเป็นทุกข์ หรือสิ่งที่เป็นทุกข์ก็สามารถจะกลายเป็นสุขได้ อย่ามัวแต่เพลินในสุขจนลืมเตือนย้ำตัวเองอยู่เสมอว่า “มันไม่แน่” สิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่ให้ความสุขกับเรามันก็จะแปรเปลี่ยนไปได้
นอกจากหมั่นเตือนใจตัวเองอยู่เสมอแล้ว ก็ต้องหมั่นฝึกจิตด้วย หมั่นฝึกจิตให้รู้จักปล่อยรู้จักวาง เพราะถ้าเตือนใจบางทีมันก็เตือนได้ประเดี๋ยวประด๋าว แล้วมันก็เข้าไปยึดติดถือมั่นใหม่ ฝึกปล่อยฝึกวาง ปล่อยวางสิ่งที่ให้ความสุขกับเราในเวลานี้บ้าง
แต่การปล่อยวางสิ่งเหล่านี้มันอาจจะยาก ถ้าหากเราไม่รู้จักฝึกปล่อยฝึกวางสิ่งที่มันเกิดขึ้นในใจเรา อารมณ์ความคิดที่เกิดขึ้นในใจพวกนี้ แม้มันจะเป็นอารมณ์อกุศล แต่มันเป็นแบบฝึกหัดที่ดีมากในการฝึก ในการเป็นอุปกรณ์ในการฝึกให้ปล่อยวาง มีความเครียด มีความหงุดหงิด มีความรำคาญใจ มีความโกรธ ซึ่งล้วนแต่เป็นอารมณ์ที่เราไม่ชอบ มันก็เป็นแบบฝึกหัดที่ดีในการปล่อย ในการวาง
เรามาเจริญสติ มาทำความรู้สึกตัว เพื่อจะมาฝึกปล่อยฝึกวางอารมณ์เหล่านี้ มันมาเพื่อให้เราได้เรียนรู้ที่จะปล่อย ที่จะวางมันลง แล้วถ้าเรารู้จักปล่อยวางอารมณ์ที่เป็นอกุศลเหล่านี้ได้ ต่อไปอารมณ์ที่เป็นกุศล อารมณ์ที่เป็นบวก เช่น ความสุข ความปิติ ความเพลิดเพลิน เราก็ฉลาดในการปล่อยวาง เวลากินอาหารอร่อย เวลาฟังเพลงเพราะ มันมีความสุข เวลาเที่ยวแล้วมันมีความเบิกบาน ก็ให้รู้จักฝึกปล่อยฝึกวาง บ้าง คือรู้เท่าทันเมื่อมันเกิดขึ้น
ถ้าเราเริ่มจากการฝึกปล่อยวางอารมณ์ที่เป็นอกุศล แล้วต่อไปเราก็มาฝึกอารมณ์ที่เป็นกุศล ใครชมเรา เราก็เพลิดเพลิน แล้วก็วางมันลง ใครตำหนิเรา เราไม่พอใจ เราก็เห็นความหงุดหงิด เราก็รู้ทัน แล้วเราก็ ปล่อยวาง ต่อไปเราก็จะปล่อยวางสิ่งภายนอกได้ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หน้าตา ชื่อเสียง ที่มาพร้อมกับเกียรติยศต่างๆ
เมื่อเราฝึกปล่อยฝึกวางได้ มันก็ทำให้เรามีความพร้อมในการที่จะรับมือกับความสูญเสียสิ่งที่รัก หรือของรักของหวง เวลาสิ่งเหล่านั้นอยู่กับเรา เราก็มีความสุข แต่เราไม่เพลิดเพลินหลงใหล แต่พอสิ่งเหล่านั้นสูญสลายหายไป เราก็ไม่ทุกข์ อันนี้เรียกว่ามีความสุขได้โดยไม่ทุกข์ เหมือนกับกินปลา แต่ก้างมันไม่ตำคอ
แต่ทั้งหมดนี้มันจะต้องใส่ใจในเวลาที่เรามีความสุข ไม่ว่าสุขเพราะสุขภาพดี สุขเพราะมีงานมีการ สุขเพราะมีคนรักแวดล้อม ในขณะที่เรามีความสุขก็อย่าเพลินกับมันจนลืมฝึกตน มันเป็นโอกาสสำหรับการฝึกตน ฝึกจิตฝึกใจให้รู้จักปล่อยรู้จักวาง เริ่มต้นจากการที่หมั่นพิจารณา “มันไม่เที่ยงนะ มันไม่แน่นอน สิ่งที่มีอยู่วันนี้มันก็จะต้องสูญหายไป” อย่าไปรำคาญ อย่าไปมองข้ามว่ามันไม่สำคัญ ถ้าเราทำอย่างนี้ไป เรื่อยๆ ฝึกไปสม่ำเสมอ ถึงเวลาเจอความผันผวนแปรปรวน เราก็จะรับมือกับมันได้ เราก็จะไม่ทุกข์ หรือทุกข์น้อย
แต่คนจำนวนมากพอมีความสุข ก็มักจะเพลิดเพลินหลงใหลในความสุข แล้วก็ไม่คิดที่จะฝึกตน บางทีครูบาอาจารย์ก็พูดก็สอน แต่ไม่อยากจะคิด เพราะฉันมีความสุขอยู่แล้ว คนเวลามีความสุขมันไม่ค่อยสนใจธรรมะ มาสนใจธรรมะก็ตอนที่มีความทุกข์แล้ว แต่ถึงตอนนั้นก็อาจจะสายไป เพราะความทุกข์มันรุมกระหน่ำซ้ำเติมจนกระทั่งโงหัวไม่ขึ้น นึกถึงธรรมะข้อไหนมันก็เอามาใช้ไม่ได้ เพราะใจมันไม่ไป อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้คนจำนวนมาก อันนี้เพราะประมาทมัวเมาในความสุข
ฉะนั้น ตระหนักอยู่เสมอ เตือนใจอยู่เสมอว่า ความสุขที่เรามีเนี่ยมันมีความทุกข์พ่วงมาด้วยเสมอ มันเป็นแพ็กเกจเดียวกัน เตือนใจตัวเองอยู่เสมอ มันจะได้ไม่หลงเพลินในความสุขมาก