พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 23 มีนาคม 2566
มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุยังไม่ถึง 30 เธอมีคำถามหนึ่งว่า ทำไมคนเราต้องตามหาความสุข ในเมื่ออยู่ไปวันๆ ก็ดีอยู่แล้ว คำถามนี้ที่จริงก็น่าคิดนะ มองในแง่หนึ่ง ผู้ที่ถามอาจจะมีความสงสัยว่า ความสุขมีความสำคัญเพียงใด มีความสำคัญขนาดที่เราต้องตามหามันเชียวหรือ
ที่จริงคนที่ถาม ที่เขาบอกว่าอยู่ไปวันๆ ก็ดีอยู่แล้ว จริงๆ เขาก็มีความสุขอยู่แล้วในขณะที่เขาพูด หรือในขณะที่เขามีความสงสัย เพราะคนที่จะบอกว่าอยู่ไปวันๆ ได้ ก็หมายความว่า ชีวิตไม่ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนในการหาอยู่หากิน ไม่ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนเพื่อหาปัจจัย 4 มาประทังชีวิต แค่นี้ก็ถือว่าเป็นความสุขแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ต้องทุกข์ไปกับการกระเสือกกระสนในการทำมาหากิน
ถ้าหากว่าชีวิตเขาไม่ใช่แค่อยู่ไปวันๆ แต่ต้องดิ้นรนในการหาอยู่หากิน ในการหาที่อยู่อาศัย เขาจะตระหนักเลยว่า การที่อยู่ไปวันๆ หนึ่งก็ถือว่าเป็นความสุขชนิดหนึ่ง โดยที่เขาอาจจะไม่รู้ตัว ก็บอกเขาไปว่า การที่เขาอยู่ไปวันๆ หรือมีความรู้สึกอย่างนั้น จริงๆ แล้วมีความสุขเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งด้วย เพราะถ้าไม่มีความสุขเป็นองค์ประกอบ เขาจะแย่ยิ่งกว่านี้ เช่น เจ็บป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บ หรือว่าต้องประสบกับความยากไร้ในการทำมาหากิน
บ่อยครั้งเราไม่ได้ตระหนักเลยว่า ที่เราอยู่ทุกวันนี้ แม้ว่าจะไม่ได้วิเศษอะไรมาก เป็นเพราะว่ามีความสุขเจออยู่ในชีวิตของเรา แต่เราไม่รู้ตัว มันคล้ายๆ กับน้ำมะเขือเทศที่บรรจุกล่อง เวลากินเราก็รู้สึกว่ามันเปรี้ยว แต่ที่จริงมีน้ำตาลผสมอยู่ในนั้นด้วย ดูฉลากข้างกล่องก็จะพบว่า มีน้ำตาลอยู่ 6 กรัมใน 1 กล่อง ถ้าไม่มีน้ำตาลอยู่ในนั้น มันจะเปรี้ยวยิ่งกว่านี้
หลายคนที่รู้สึกว่าอยู่ไปวันๆ เขาไม่รู้หรือหาได้ตระหนักว่า มีความสุขเจือปนอยู่ในชีวิตของเขา ถ้าไม่มีความสุขนั้นเมื่อไหร่ เขาจะรู้เลยว่ามันทุกข์ยากลำบากมาก เหมือนกับน้ำมะเขือเทศ ถ้าเขาไม่เติมน้ำตาลลงไป มันจะเปรี้ยวยิ่งกว่านี้
เดี๋ยวนี้แม้กระทั่งนมเปรี้ยวที่เรากินแล้วรู้สึกว่ามันเปรี้ยว ที่จริงเขาก็เติมน้ำตาลลงไป ถ้าไม่มีน้ำตาลเลย มันจะเปรี้ยวยิ่งกว่านี้ ชีวิตคนเรามันจะทุกข์มากกว่านี้ เราจะรู้สึกว่าทุกข์มากกว่านี้ ถ้าไม่มีความสุขเป็นองค์ประกอบ เพียงแต่เราไม่ตระหนัก ความสุขที่ว่าอาจจะเป็นความสุขที่ยังกินอิ่มนอนอุ่น เป็นความสุขที่มีบ้านเรือนคุ้มหัว ยังมีสวัสดิภาพ ไม่ต้องหนีภัยสงคราม หรือว่าไม่ต้องคอยระแวดระวังคนที่จะมาทำร้าย รวมถึงความสุขจากการที่มีสุขภาพดี
แม้กระทั่งคนที่รู้สึกเบื่อชีวิต ที่รู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตมันทุกข์เหลือเกิน ที่จริงก็ไม่ใช่ว่าทุกข์ล้วนๆ มันมีความสุขเจือปนอยู่ด้วย ถ้าไม่มีความสุขเจือปนอยู่เลย มันจะทุกข์หนักกว่านี้เยอะ เพราะฉะนั้นก็ต้อง ขอบคุณความสุข ไม่ใช่ว่ามันไม่สำคัญ แล้วยิ่งถ้าความสุขที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา เพิ่มพูนมากมายกว่านี้ เขาจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ เขาจะรู้สึกมีพลังในการดำเนินชีวิตมากขึ้น เรียกว่ามีชีวิตชีวา ถ้าคนที่มีความสุขในชีวิต เขาก็จะมีชีวิตชีวา
อย่างไรก็ตามที่เขาพูดหรือถามมาว่า คนเราทำไมต้องตามหาความสุข มองในแง่หนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะว่าเขารู้สึกเหนื่อยกับการตามหาความสุข ที่จริงความสุขมันไม่ต้องตามหาก็ได้ แต่ว่าคนเรามักจะรู้จัก แต่ความสุขชนิดเดียว คือความสุขที่เกิดจากการเสพ หรือความสุขที่เกิดจากการกิน ดื่ม เที่ยว เล่น ชอปฯ ความสุขแบบนี้มันต้องตามหา หาที่ดื่มที่อร่อย หาที่กินที่ถูกปาก หาที่เที่ยว หาที่ชอปฯ
แค่หาว่าที่ไหนมีอาหารอร่อย ก๋วยเตี๋ยวที่ถูกปาก หรือว่าข้าวหมูแดงที่อร่อย แค่จะหาร้านอย่างนั้นก็ไม่ใช่ง่าย เพราะเดี๋ยวนี้ตัวเลือกมันเยอะมาก แล้วแต่ละร้านก็อ้างว่าของฉันอร่อย คนที่คอยตามหาร้านที่อร่อย บางทีก็เหนื่อยนะ เพราะมันมีหลายร้านมากเลย แล้วกว่าจะไปถึงแต่ละร้าน ก็ต้องฟันฝ่าจราจร
หรือบางทีก็ต้องเข้าคิวคอย โดยเฉพาะถ้าไปตามหาความสุขที่ร้านเจ๊ไฝ มันต้องเข้าคิวกันเลยทีเดียว ยังไม่นับราคาที่แพง จานละ 500 บาท จานละ 1,000 บาท ก็ต้องเหนื่อยกับการหาเงิน ความสุขชนิดนี้ มันต้องตาม ต้องไล่ ต้องหา และแน่นอนมันก็เหนื่อย ไม่ใช่เหนื่อยกับการหาร้านที่ถูกใจนะ แต่ยังต้องเหนื่อยกับการหาเงิน เพื่อจะได้มีกำลัง มีปัญญาไปกินดื่มเที่ยวเล่นชอปฯ ตามที่ต่างๆ ที่ถูกใจด้วย
แต่ความสุขที่ไม่ต้องตามล่าก็มีนะ แล้วคนเราถ้ารู้จักแต่ความสุขที่เกิดจากการเสพ หรือความสุขที่เกิดจากการกินดื่มเที่ยวเล่น สุดท้ายก็ลงเอยด้วยความเหนื่อย แล้วก็เกิดความเบื่อหรือความผิดหวัง เพราะว่าได้เสพเท่าไหร่มันก็ไม่รู้จะพอสักที ไม่รู้จักอิ่มสักที ทำให้ต้องวิ่งไล่ล่าตามหาเรื่อยไป
เขาบอกว่าความสุข เปรียบได้กับผีเสื้อ บางคนอยากได้ผีเสื้อก็ไปตามจับผีเสื้อ ซึ่งทำให้เหนื่อย เพราะว่าผีเสื้อก็พยายามหนี รู้จักบินฉวัดเฉวียน จะไปตามหาผีเสื้อนี่เหนื่อย แต่มันมีวิธีที่ดีกว่านั้น คือเพียงแต่ ปลูกต้นไม้ เพียงแต่ปลูกไม้ดอกหน้าบ้านหรือบริเวณบ้าน ผีเสื้อก็จะมาเองโดยที่ไม่ต้องไล่ล่า ความสุขก็สามารถจะพรั่งพรูสู่ใจเราได้ โดยที่เราไม่ต้องไปตามล่า
แต่ความสุขชนิดนี้ไม่ใช่ความสุขที่เกิดจากการกินดื่มเที่ยวเล่น หรือชอปฯ แต่เป็นความสุขที่เกิดจากการทำความดี ทำจิตใจให้เจริญงอกงาม คนที่ทำดี ทำจิตให้งอกงาม งดงาม แม้ไม่ปรารถนาความสุข แต่ความสุขก็จะมาเอง ความสุขชนิดนี้อาจจะมาช้า เพราะกว่าดอกไม้จะบาน กว่าผีเสื้อจะรู้ ก็ใช้เวลา ไม่เหมือนกับการเข้าไปในป่าตามจับผีเสื้อเลย มันเร็วแต่มันเหนื่อย และความสุขที่ได้มาเร็ว มันก็ไปเร็วเหมือนกัน
ขณะที่ความสุขที่ได้มาช้า แต่ก็ยั่งยืนกว่า แล้วมันทำให้มีชีวิตชีวามากขึ้น ไม่เบื่อง่ายๆ ปัญหาคือว่า คนที่ถามว่าทำไมต้องตามหาความสุข ที่จริงก็เป็นคำถามที่น่าคิด เพราะจริงๆ แล้วความสุขมันไม่ต้องตามหาก็ได้ แต่ที่เขาถามคำถามนี้ เพราะเขารู้สึกเหนื่อยกับการตามหาความสุข เพราะเขารู้จักแต่ความสุขชนิดเดียว และได้เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ ได้เท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกว่าเติมเต็ม ก็เลยรู้สึกว่าชีวิตมันอยู่ไปวันๆ
คนที่บอกว่าชีวิตอยู่ไปวันๆ ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเงินเที่ยว ไม่มีเงินไปกินดื่มเล่น เขามี แม้จะไม่ถึงกับร่ำรวย แต่ก็ไม่แน่ บางคนก็ร่ำรวยมาก แต่ว่าหลังจากตามหาความสุข และได้ความสุขมามากมาย แต่ก็ไม่รู้สึกสมอยากหรือพอใจสักที ในที่สุดก็รู้สึกเบื่อหน่าย แล้วก็รู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตแค่อยู่ไปวันๆ
ในทางตรงข้ามความสุขที่เกิดจากการได้ทำความดี ทำจิตให้งดงาม นอกจากไม่ต้องเหนื่อยกับการไล่ล่าแล้ว ยังทำให้รู้สึกเติมเต็ม ชีวิตได้รับการเติมเต็ม หรือมีชีวิตชีวาในการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
มีผู้หญิงคนหนึ่ง อายุก็ใกล้ๆ กับคนแรกที่กล่าวถึง 20 ต้นๆ เธอเป็นโรคร้ายที่รักษาไม่หาย ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นโรคอะไร อาจจะเป็นมะเร็งหรือไม่ใช่ก็ได้ แล้วเธอก็รู้สึกหมดหวังกับชีวิต เพราะมันเหมือนกับว่า ชีวิตไม่มีอนาคตแล้ว จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้สึกหดหู่ห่อเหี่ยว แล้วจิตก็เลยดำดิ่งอยู่ในความทุกข์ ในความห่อเหี่ยว จนถึงจุดหนึ่งก็มีความรู้สึกหรือมีความคิดขึ้นมาว่า อยู่ในโลกนี้ทำไม ไม่รู้ว่าจะอยู่ในโลกนี้ ทำไม รู้สึกว่าไม่มีจุดหมายในการใช้ชีวิต จะใช้ชีวิตนี้ไปเพื่ออะไร รู้สึกว่างเปล่า พูดง่ายๆ คือไม่รู้จะอยู่ไปทำไม
คนที่คิดแบบนี้ พอจิตมันดิ่งลงไปมากๆ เข้า ก็อยากตาย แต่พอวันหนึ่งมีคนชวนเขาไปเป็นจิตอาสาให้กับโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง คือสถาบันประสาท โรงพยาบาลนี้ก็มีคนป่วย แล้วก็ญาติผู้ป่วยจากต่างจังหวัด มากันวันหนึ่งก็เป็นร้อย เจ้าหน้าที่ก็ไม่พอในการที่จะอำนวยความสะดวก เขาก็เลยรับจิตอาสา เรียกว่าจิตอาสาอำนวยความสะดวก แนะนำญาติ แนะนำผู้ป่วยว่าจะต้องไปเข้าที่ช่องนี้ จากช่องนี้แล้วจะไปไหนต่อ
ผู้หญิงคนนี้พอได้เป็นจิตอาสาอยู่พักหนึ่ง ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปเลย แต่ก่อนไม่มีจุดมุ่งหมายในการดำเนินชีวิตเลย ตื่นนอนก็รู้สึกว่าไม่รู้จะอยู่ไปทำไม แต่พอเป็นจิตอาสา ตื่นเช้าขึ้นมาเขารู้สึกมีจุดหมาย จุดหมายในการใช้ชีวิต คือไปอาสาไปช่วยเหลือคนที่เขาทุกข์ยาก พอทำอย่างนี้บ่อยเข้าๆ ก็รู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น รู้ว่าอย่างน้อยๆ วันนี้เป็นวันที่ตัวเองจะได้ทำประโยชน์อีกวันหนึ่ง แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่ ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้ การรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองเป็นประโยชน์กับคนอื่น อย่างน้อยก็วันนี้ ช่วยทำให้ใจไม่ดำดิ่งลงไป จนกระทั่งคิดอะไรที่เกินเลย คำว่าเกินเลยที่พูด คงหมายถึงการคิดฆ่าตัวตาย
การที่คนเรามีจุดหมายในชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ และถ้าเป็นจุดหมายที่ดีงาม เช่น การช่วยเหลือคนที่ทุกข์ยากเดือดร้อน หรือการทำประโยชน์ให้กับส่วนรวม มันก็ทำให้มีความสุขโดยไม่รู้ตัว แต่ก่อนผู้หญิงคนนี้มี ความทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์เพราะความเจ็บป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่หาย อันนั้นแค่ทุกข์กาย แต่ความทุกข์ใจของเธอก็คือว่าไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ก็คือไม่มีจุดหมายในการดำเนินชีวิต ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกทรมานมาก เพราะไม่รู้ว่าวันนี้ฉันจะอยู่ไปเพื่ออะไร
แต่พอได้เป็นจิตอาสา ชีวิตมีเป้าหมาย วันนี้ฉันจะไปช่วยคนที่เขามาโรงพยาบาล มันเป็นเป้าหมายที่ไม่ได้สูงส่งอะไรเลยนะ ไม่ใช่เพื่อนิพพาน ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ ไม่ใช่เพื่อทำให้คนนับล้านหายหิว พ้นจากความยากจน ก็แค่เป็นจิตอาสาให้กับผู้ป่วยจากต่างจังหวัด มันไม่ใช่เป็นจุดหมายที่สูงส่งอะไรมาก แต่ก็เป็นจุดหมายที่ดีงาม ซึ่งทำให้เธอมีความสุขขึ้นมา อย่างน้อยๆ ก็ช่วยฉุดไม่ให้เธอปล่อยใจลง ดำดิ่งอยู่ในความทุกข์ จนถึงจุดที่ถ้าสุดจะทนทานเมื่อไหร่ ก็คงจะทำร้ายตัวเองเมื่อนั้น
การที่คนเรามีจุดหมายที่ดีงาม แล้วก็ลงมือทำ ก็เปรียบเหมือนกับการปลูกดอกไม้ไว้ในบริเวณบ้าน ไม่ช้าไม่นานผีเสื้อก็จะมา โดยไม่ต้องไปตามหาไล่ล่า
มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งเธอก็ไม่ได้ป่วยอะไร แต่ความรู้สึกคล้ายๆ กัน เธอบอกว่าไม่รู้ว่าจะอยู่โลกนี้ไปทำไม เพราะไม่มีอะไรที่อยากทำ และไม่เห็นสิ่งใดที่สำคัญเลย พูดง่ายๆ คือเคว้ง รู้สึกว่างเปล่า คล้ายกับผู้หญิงคนที่ 2 คือไม่มีจุดหมาย เพราะไม่มีอะไรที่สำคัญ ไม่มีอะไรที่อยากทำ เหมือนชีวิตที่ไร้เป้าหมาย ไม่มีจุดหมายของการมีชีวิตอยู่ แล้วพอจมอยู่ในความรู้สึกแบบนี้มากขึ้นๆ
เธอเล่าว่า วันหนึ่งมันไม่ไหวเลย ทุกข์มาก แล้วก็เริ่มมองหาเชือก เริ่มมองหาอุปกรณ์ในการที่จะทำร้ายตัวเอง แต่ขณะที่กำลังจมอยู่ในความทุกข์ อยู่ในความคิดแบบนี้ ก็มีเสียงหนึ่งผุดขึ้นมาในใจว่า นี่เธอทำอะไรอยู่ เธอรู้ไหมว่าเธอเป็นคนที่มีคุณค่านะ สามารถที่จะช่วยเหลือคนที่ทุกข์ยากเดือดร้อนได้ เธอมีมือมีไม้ มีสติปัญญา สามารถช่วยคนที่ทุกข์ยากเดือดร้อน แล้วเธอจะฆ่าตัวตายไปทำไม
พอคิดเช่นนี้มันได้สติเลยนะ แล้วก็มาได้คิดว่า ชีวิตของฉันก็ยังมีคุณค่า ฉันไม่เจ็บไม่ป่วย ฉันมีแขนมีขา มีสติปัญญา มีคนจำนวนมากมายที่รอคอยความช่วยเหลือจากฉันอยู่ มันทำให้เธอเปลี่ยนใจเลยนะ ไม่คิดฆ่าตัวตาย แล้วก็ออกไปทำอะไรเพื่อช่วยเหลือคนอื่น แม้จะไม่ได้มากมาย
เธอบอกว่าการที่คิดถึงคนอื่นที่เขาเดือดร้อน และการมองเห็นว่าตัวเองมีประโยชน์มีคุณค่าที่จะช่วยเหลือคนเหล่านั้นได้ ช่วยฉุดให้เธอหลุดออกจากความทุกข์ ออกจากความหดหู่ ห่อเหี่ยวหรือสิ้นหวัง มัน ทำให้เธอไม่คิดถึงแต่ความทุกข์ของตัวเอง ก็เลยรู้สึกขอบคุณมากเลยนะ ขอบคุณคนที่ทุกข์ยากเดือดร้อน เพราะการที่คิดถึงคนเหล่านั้น มันทำให้เธอเลิกที่จะทำร้ายตัวเอง หรือเลิกที่จะจมอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง
คนเรานี่ ถ้าหากว่าคิดถึงแต่ตัวเองเมื่อไหร่ ก็จะจมอยู่ในความทุกข์ได้ง่าย แต่พอเราคิดถึงคนอื่น ในด้านหนึ่งก็ปลุกเมตตากรุณาให้เจริญงอกงามในใจเรา แล้วเมตตากรุณาก็เป็นกุศลธรรมที่สามารถจะปลุกให้เรามีชีวิตชีวา มีความสุขได้ ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้ชีวิตนี้มีจุดหมาย
ผู้หญิง 2 คนหลัง เขาหลุดจากความทุกข์ ก็เพราะการที่ได้นึกถึงสิ่งที่มีประโยชน์ สิ่งที่มีคุณค่า แล้วก็ได้ลงมือทำด้วย สิ่งที่คิดแล้วสิ่งที่ทำก็ล้วนแต่เป็นสิ่งดีๆ ก็เปรียบเหมือนกับดอกไม้ที่ปลูกไว้ในบ้าน มันก็จะเชิญชวนผีเสื้อให้มาหาได้ ฉะนั้นความสุขมันไม่ต้องตามหาก็ได้ ความสุขจะพรั่งพรูสู่ใจเรา ถ้าหากว่าเราคิดดีทำดี หรือว่าทำใจให้งอกงาม
แต่บางคนคิดดี แต่ไม่อยากจะทำอย่างที่คิด เพราะว่าความเกียจคร้าน หรือว่าความเบื่อหน่าย ความเฉื่อยเนือยยังมีกำลัง แต่เมื่อใดก็ตามที่เอาชนะความเกียจคร้าน เอาชนะความเบื่อหน่าย เฉื่อยเนือยได้ แม้คนที่รู้ว่าปลูกต้นไม้มันดีนะ ปลูกไม้ดอกดีนะ จะทำให้ผีเสื้อมาที่บ้านเรา รู้ว่าดีแต่ไม่ทำ เพราะไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง หรือเบื่อเซ็ง คนที่จิตใจห่อเหี่ยว จมอยู่ในความทุกข์ก็เป็นลักษณะแบบนี้แหละ ซึ่งก็น่าเห็นใจ แต่ ถ้าเขาพยายามที่จะลุกขึ้นมาปลูกต้นไม้ ปลูกไม้ดอก แล้วก็รดน้ำ ไม่นานผีเสื้อก็จะมา
คนที่ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม หรือไม่มีจุดหมายในการดำเนินชีวิต ทั้งไม่รู้ว่ามันต้องหาจุดหมายให้กับชีวิต แต่ว่าถ้าไม่ลงมือทำ ก็จะจมอยู่ในความห่อเหี่ยว แล้วดำดิ่งอยู่ในความทุกข์ สุดท้ายก็อาจจะทำในสิ่งที่เกินเลยไปได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ลุกขึ้นมาทำสิ่งดีๆ ทำชีวิตให้มีคุณค่า สร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่นหรือส่วนรวม ความรู้สึกมีชีวิตชีวาก็จะเกิดขึ้นทันที แล้วก็จะไม่มีคำถามว่าอยู่ไปทำไม เพราะมันพบคำตอบแล้ว.