พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมเย็นวันที่ 10 เมษายน 2566(เล่าเรื่องให้เณรจากค่ายเณรวัดป่าสุคะโตฟังด้วย)
วันนี้เป็นวันแรกที่สามเณรมาทำวัตรพร้อมกับหลวงพ่อ พวกเรารู้ไหม ศาลานี้มีชื่อว่าอะไร หอไตร แล้วมีใครรู้บ้างว่าหอไตรเดิมทีไม่ได้อยู่ตรงนี้ นี่เป็นที่ใหม่ แต่ก่อนหอไตรอยู่บนเขา แล้วขนาดก็เล็กกว่านี้เยอะเลย ประมาณ 1 ใน 3 ถ้าพวกเราขึ้นเนินไป จะมีกุฏิหมายเลข 8 กุฏินั่นแหละ เดิมหอไตรอยู่ตรงนั้น แล้วเนินนี่ ถ้ามองไกลๆ จากกุดโง้งหรือท่ามะไฟ ชาวบ้านบอกว่าคล้ายๆ
กับหัวของสัตว์ชนิดหนึ่ง รู้ไหมว่าสัตว์ชนิดนั้นคืออะไร ช้าง รูปร่างเหมือนหัวช้าง แล้วก็มีหลัง ช้างหมอบอยู่
ชาวบ้านบอกว่ามันคล้ายๆ ช้างหมอบ แล้วตรงหัวช้างก็คือที่ตั้งของหอไตร นี่คือเหตุผลที่ชาวบ้านโดยเฉพาะหลวงพ่อบุญธรรม ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งวัดป่าสุคะโต ตั้งชื่อวันนี้ว่า วัดเอราวัณ เอราวัณหมายถึงช้างของพระอินทร์
แล้วมันไม่ใช่แค่มีรูปร่างเหมือนช้างหมอบเท่านั้นนะ มันมีช้างจริงๆ อยู่ฝูงหนึ่งด้วย อันนี้เคยเล่าให้ฟังเมื่อวานไปแล้ว ช้างฝูงนั้นประมาณสัก 4-5 ตัวได้
การที่มีช้างอยู่แสดงว่าป่าแถบนี้อุดมสมบูรณ์ เพราะว่าช้างตัวหนึ่งมันกินหญ้า กินอาหารวันหนึ่งหลายร้อยกิโลฯ เฉพาะน้ำก็กินไป 200 ลิตรเข้าไปแล้ว เท่ากับถังน้ำมัน 2 ถังเลยนะ ฉะนั้นป่าก็ต้องมีอาหารมากพอที่จะเลี้ยงมันและเพื่อน 4-5 ตัวได้ แต่ว่าช้างฝูงนี้หายไปไหน หายไปเพราะอะไร เรารู้ไหม
หายไปเพราะว่าพื้นที่รอบๆ ถูกถางกลายเป็นไร่ข้าวโพด ตอนนั้นไร่สำปะหลังยังไม่ทันมา บางทีก็มีไร่เดือย มีชาวบ้านมาอยู่อาศัยมากขึ้น ที่อยู่อาศัยของช้างก็ค่อยๆ หดหายไป มันก็เลยมากระจุกอยู่ตรงนี้ อยู่ที่สุคะโต เพราะว่าทำเลดี เป็นที่สูง แต่ช้างพวกนี้ก็ต้องออกหากินทุกวัน แล้วพออาหารธรรมชาติไม่เหลือ มันก็ต้องมากินอาหารที่ชาวบ้านปลูก ก็คือพอมีข้าวโพดออกฝัก แถวนี้ตรงนี้บริเวณนี้แต่ก่อนเป็นไร่ข้าวโพด เป็นที่ของชาวบ้าน
ชาวบ้านก็ปลูกข้าวโพด ปลูกพวกเดือย ช้างมันก็ลงมากิน ตอนหลังลงมากินบ่อยเข้าๆ ชาวบ้านทนไม่ไหว ชาวบ้านทำอย่างไร ชาวบ้านเอาปืนยิงไล่ช้าง ปรากฏว่ามีช้างตัวหนึ่งถูกยิงแล้วก็โดนจุดที่สำคัญเลย แต่ไม่ถึงกับตายทีเดียว ปรากฏว่าช้างที่เป็นเพื่อนๆ นี่มาช่วย ช่วยอย่างไรรู้ไหม ช่วยกันหนีบ 2 ข้าง พยุงช้างตัวที่บาดเจ็บหายเข้าไปในป่าลึก
ช้างนี่มันช่วยกันนะ มันเป็นภาพที่น่าทึ่งมาก ช้าง 2 ตัวหนีบช้างตัวที่บาดเจ็บ ซึ่งเดินไม่ค่อยไหว ถ้าเป็นคนก็เหมือนกับว่ามีคนมาช่วยพยุงปีก 2 ข้าง แต่ว่าช้างมันไม่สามารถจะพยุงเพื่อนได้ ก็แค่ใช้วิธีการนี้หนีบแน่นๆ 2 ข้าง ให้เพื่อนที่บาดเจ็บค่อยๆ เดิน
ชาวบ้านบอกว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เห็นช้างแถวนี้ แล้วชาวบ้านก็ไปพบซากศพของช้างตัวนั้น เขาเข้าใจว่าคงจะพากันอพยพไปอยู่ที่อื่นที่อุดมสมบูรณ์กว่า ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะไปแถวสะพุงเหนือก็ได้เพราะว่ามันใกล้ที่สุด ถ้าไปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวนี่มันไกลเป็น 100 กิโลฯ แต่ถ้าไปสะพุงเหนือนี่มันใกล้กว่า แล้วช้างที่เราเห็นเมื่อวาน ที่มีบางคนมองเห็นช้างใช่ไหม หรือว่าเห็นรอย อาจจะเป็นลูกหลานของช้างกลุ่มนี้ก็ได้
แต่ก็มีช้างบางตัวที่ทิ้งซากเอาไว้ เพราะว่าหลวงพ่อเคยเห็นกระโหลกตรงหอไตรเก่า ก่อนที่จะย้ายมาตรงนี้ นึกเสียดายว่าไม่ได้เก็บเอาไว้ มันอยู่ข้างทางก็ปล่อยมันไป วันดีคืนดีไม่รู้ใครเอาไป สงสัยเอาไปทำพระเครื่อง ไปบดทำพระเครื่องเพราะว่าขลังนดี เสียดายถ้าเก็บรักษากระโหลกช้างเอาไว้ มันก็จะเป็นหลักฐานพยานว่า ครั้งหนึ่งสุคะโตเคยเป็นถิ่นอาศัยของช้าง
ชาวบ้านเขาก็รู้ แต่เขาไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะเขาก็ต้องทำมาหากิน ถ้าช้างกินข้าวโพดเขาหมด เขาก็ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงลูก เขาก็คงต้องทำอย่างนั้นแหละ แต่เขาก็รู้ว่ามันไม่ดี
คราวนี้หอไตรยังมีความสำคัญอย่างหนึ่งโดยส่วนตัวของหลวงพ่อ หลวงพ่อขึ้นมาที่นี่ครั้งแรกปี 2526 พักที่นี่ ที่หอไตรเก่า แล้วก็อยู่ที่นั่นตลอดพรรษาเลย แต่ว่าตอนที่มาอยู่ครั้งแรก รู้สึกผิดหวัง หลวงพี่จัดให้มาอยู่หอไตร ผิดหวังเพราะคิดว่าจะได้อยู่กุฏิเป็นส่วนตัว อยากจะมีกุฏิส่วนตัว จะได้ภาวนา แต่ปรากฏว่า อยู่หอไตรต้องอยู่กับโยมอีกคนหนึ่ง มาด้วยกัน
ที่จริงหอไตรตอนนั้นมีการตีฝา มีห้องยาวเป็นสัดส่วน หลวงพ่อก็อยู่ในห้องนั้นแหละ ไม่ได้ปะปนกับโยม แต่ว่าความคาดหวังตอนนั้น อยากได้กุฏิเป็นส่วนตัว จะได้อยู่วิเวกภาวนา ฉะนั้นตอนที่มาอยู่ ใหม่ๆ ก็รู้สึกไม่ถูกใจ ทั้งๆ ที่เป็นเสนาสนะหรือสถานที่ที่สบายมาก เพราะกุฏิของพระรูปอื่นๆ นี่เล็ก หลังคาก็เป็นสังกะสีแบบง่ายๆ หลวงพ่อองค์หนึ่งอยู่ใกล้ๆ นี่ อยู่ในเพิง หลวงพ่อคำเขียนให้หลวงพ่อซึ่งตอนอายุแค่ 26 มาอยู่หอไตร ที่จริงก็ถือว่าหรูเลยทีเดียว แต่ตอนนั้นไม่เข้าใจ ไปคาดหวังว่าเราต้องมีกุฏิเป็นส่วนตัว พอมาอยู่หอไตรก็เลยผิดหวัง
แต่พออยู่ไปๆ มันก็คุ้น ที่จริงมันก็เป็นธรรมดานะ คนเราจะให้เจออะไรที่ถูกใจไปเสียหมดมันเป็นไปไม่ได้ ชีวิตของคนเรานี่ มันก็ต้องเจออะไรที่ไม่ถูกใจบ้าง แล้วเวลาเจออะไรที่ไม่ถูกใจ ถ้าเราบ่นโวยวายตีโพยตีพายมันก็ยิ่งทุกข์ แต่ถ้าเราเพียงแต่ทำใจ มันก็หายทุกข์ อยู่ไปๆ มันก็ชินไปเอง
เวลาเราเจองานบางอย่างที่เราไม่ชอบ เราอาจจะบ่น ไม่ไหวๆๆ แต่พอเรามาปรับใจเสียใหม่สิ บอกว่าไหวๆๆ พอใจบอกว่าไหว มันหายทุกข์เลยนะ งานนี่มันจะยากหรือไม่อยู่ที่ใจ ถ้าใจไม่ไหว ใจบอกไม่ไหวมันก็ทุกข์ แต่ถ้าใจบอกว่าไหว มันก็หายทุกข์ เผลอๆ มีความสุขด้วย ไม่ใช่สถานที่ ไม่ใช่แค่งานที่เราไม่ชอบไม่ถูกใจนะ บางทีเราเจอคนไม่ถูกใจด้วย บางทีในชีวิตเราต้องเจอคนไม่ถูกใจจนตลอดชีวิตเลย
คนที่เราถูกใจมันก็มี แต่ที่ไม่ถูกใจก็เยอะ แล้วบางทีไม่ใช่แค่ไม่ถูกใจอย่างเดียว เขาทำอะไรไม่ถูกต้องด้วย เขาอาจจะทำอะไรที่รบกวน ไม่ใช่รบกวนใคร รบกวนเรา บางทีทำใจยังไม่พอ เราต้องทำอะไรสักอย่าง เจอคนที่ทำอะไรไม่ถูกต้องหรือพูดอะไรไม่ถูกใจ บางครั้งแค่ทำใจอาจจะไม่พอ ต้องทำอะไรสักอย่าง แต่เราจะทำอะไร บางคนก็นึกถึงว่า มันก็ต้องต่อว่าด่าทอกัน เขาแกล้งเรา เราก็ต้องตอบโต้ มีสำนวน ว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน เขาแกล้งเรา เราก็เอาคืน เขาว่าเรา เราก็ต้องด่าตอบโต้กลับไป แต่ว่าวิธีนี้มันไม่ค่อยได้ผลนะ เพราะว่ายิ่งทำ อีกฝ่ายหนึ่งก็ยิ่งตอบโต้รุนแรง แล้วเราจะทำอย่างไร ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เราก็อาจจะถูกแกล้ง หรือว่าเจออะไรที่ไม่ถูกต้อง จากคนที่ทำตัวไม่ถูกใจ
มีผู้ชายคนหนึ่ง แกไปเปิดร้านขายของแถวจตุจักร พวกเราเคยไปจตุจักรใช่ไหม ไม่เคยใช่ไหม แต่เคยได้ยินใช่ไหม จตุจักรที่เขาขายอะไรหลายอย่าง ลองไปสังเกตดู เป็นย่านขายของที่มีชื่อมาก เขาเพิ่งเปิดร้านขายของที่จตุจักรได้ไม่กี่วัน ปรากฏว่าวันหนึ่งก็โดนรับน้องใหม่เลย รู้จักไหมรับน้องใหม่ ร้านข้างๆ ที่อยู่ติดกัน เขาขายผ้า ขายรูป สมมุติชายคนนี้ชื่อว่าแก้วก็แล้วกันนะ แก้วพอเปิดร้าน ปรากฎว่าไปเจอรูปของร้านอีกร้านหนึ่งที่อยู่ติดกัน เป็นรูปภาพใหญ่เลยนะ มาวางไว้หน้าร้าน แล้วก็วางรูปนั้นมาบังร้านเขาด้วย
วางบังร้านเขาแค่บังครึ่งหนึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ เพราะเขาไม่มีสิทธิ์จะเอารูปหรือสินค้ามาบังร้านเขา เขาก็รู้เลยว่า ชายคนนี้ต้องการแกล้งเขา เขาบอกว่าเขาจะทำอย่างไรดีนะ เข้าไปต่อว่าด่านทอ เดี๋ยวก็เกิดเรื่องยืดยาว อาจจะต้องถึงขั้นต่อยตีกัน แล้วการที่คนเรามีเพื่อนบ้านที่เป็นศัตรูกันนี่ มันไม่ดีเลย ชีวิตไม่มีความสุข เขาก็เลยไม่คิดที่จะไปต่อว่าด่าทอหรือไปทะเลาะด้วย เขาทำอย่างไรรู้ไหม
วันรุ่งขึ้นเขาออกไปข้างนอก แล้วก็ไปซื้อส้มกับองุ่น 2 กิโลฯ จตุจักรนี่มีร้านขายผลไม้ดีๆ เยอะ เขาไปซื้อส้มและองุ่นมา 2 กิโลฯ แล้วตรงมาที่ร้านเพื่อนบ้าน ทักทายเจ้าของร้าน สวัสดีครับ ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แล้วก็บอกว่า ผมไปห้องน้ำมา เผอิญเจอร้านขายผลไม้ เห็นผลไม้น่ากินก็เลยซื้อมาฝากพี่ เพราะเห็นผลไม้มันน่าทาน แล้วคิดว่าพี่คงชอบผลไม้ด้วย
ชายคนนั้นสีหน้างงเลยนะ ทั้งงงทั้งแปลกใจ แล้วก็พูดขึ้นมาว่าเกรงใจพี่ แต่แก้วบอกว่า ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับพี่ เราค้าขายอยู่ด้วยกัน ก็เหมือนกับเป็นพี่เป็นน้องกัน มีอะไรก็ช่วยกัน เอื้อเฟื้อกัน ปรากฏว่าพอเอาผลไม้มาให้นะ คุยกันดิบดีเลย เหมือนกับรู้จักกันมานาน เสร็จแล้วเขาก็กลับไปที่ร้านของเขา ขายของต่อ วันรุ่งขึ้น พอเขาเปิดร้าน ปรากฎว่ารูปที่เคยบังร้านเขา มันหายไปแล้ว
เขาก็เลยเดินไปถามเจ้าของร้านที่อยู่ติดกันว่า พี่ ภาพที่วางไว้หน้าร้านนี่ ขายได้แล้วเหรอ ชายคนนั้นบอกว่ายังขายไม่ได้หรอก อ้าว แล้วมันอยู่ไหนล่ะ อยู่ในร้าน ผมเอาไว้ในร้าน อ้าว พี่ทำไมไม่เอาไปวางไว้หน้าร้านเหมือนเมื่อวานนี้ล่ะ ชายคนนั้นบอกว่า วางไว้ตรงหน้าร้าน มันไม่ดี เกรงใจเฮีย วางไว้ในร้านน่ะดีแล้ว เพราะถ้าวางหน้าร้าน มันจะไปบังร้านของเฮีย เวลาลูกค้าของเฮียมาซื้อสินค้า ก็จะไม่เห็น วางไว้ ตรงนั้นคือวางไว้ตรงหน้าร้านเฮียนี่ มันน่าเกลียด เอาไว้ข้างในดีแล้ว
ปรากฏว่าชายคนนั้น จากเดิมที่คิดจะรับน้องด้วยการเอาภาพมาบังหน้าร้านของแก้ว เพราะว่าจตุจักรมันคับแคบ ถ้าบังร้านคนอื่นได้ยิ่งดี แต่ว่าพอเจอน้ำใจของแก้ว เอาผลไม้มาฝาก เปลี่ยนใจเลยนะ เดิมที่คิดจะเอาเปรียบเพื่อนบ้าน แต่พอได้รับความเอื้อเฟื้อ เอาเปรียบไม่ลง เปลี่ยนใจเลย กลายเป็นเพื่อนบ้านที่ดี คอยช่วยเหลือกัน
เราลองนึกภาพ ถ้าเกิดว่าแก้วไปทะเลาะกับเจ้าของร้านที่อยู่ติดกัน ว่าทำไม ลื้อเอารูปมาปิดบังร้านกู ลองคิดดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ก็คงจะมีเรื่องทะเลาะกันไม่จบไม่สิ้น แต่แก้วเป็นคนฉลาด เขารู้ว่าการทะเลาะกันมันไม่มีประโยชน์ ความเอื้อเฟื้อกัน การมีน้ำใจนี่ดีกว่า
มีเรื่องคล้ายๆ กันนะ ผู้ชายคนหนึ่งแกรำคาญมากเลย เพราะว่าบ้านที่อยู่ติดกันเขามีการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ สูง 3-4 ชั้น แล้วปรากฏว่าคนงานที่ก่อสร้าง ชอบโยนขยะลงมา ลงมาที่ไหน ลงมาที่สนามหญ้าของบ้านเขา เขาเคยไปบ่นไปว่าคนงาน ก็ไม่ได้ผล บ่นว่าคนงานไม่ได้ผล ก็ไปบ่นว่าหัวหน้าช่างรับเหมา ก็ไม่ได้ผล ไปฟ้องตำรวจ ตำรวจมา ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอตำรวจไป คราวนี้เจอหนักกว่าเดิม แล้วไม่ใช่แค่เศษกระดาษ บางทีเศษถุงพลาสติกโยนลงมา เขาทำอย่างไร
เขาไปปรึกษาเพื่อน เพื่อนบอกว่าลองใช้วิธีนี้สิ มีอะไรก็ไปให้เขา ปีใหม่ก็เอาของไปให้ เขาตรุษจีนก็เอาขนมไปให้เขา ผูกมิตรกันเอาไว้ ชายคนนั้นก็สงสัยว่ามันจะได้ผลเหรอ ขนาดเรียกตำรวจยังไม่ได้ผลเลย แต่ว่าลองทำดู ช่วงนั้นใกล้ปีใหม่พอดี ก็เอาขนมเอาผลไม้ไปให้ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ครับ พอตรุษจีนก็เอาของเอาขนมไปให้อีก
ปรากฏว่าไม่นาน พฤติกรรมของคนงานก่อสร้างเปลี่ยนไปเลย ขยะอะไรที่เคยทิ้งลงมานี่ไม่มีเลย เพราะอะไร เพราะว่าเกรงใจ คนเราพอเป็นเพื่อนกันแล้วก็เกรงใจกัน ตอนที่ไม่เป็นเพื่อนกันนี่มันไม่เกรงใจ ชายคนนั้นก็เลยพบว่า ปัญหานี้ ถ้าเราใช้ความเอื้อเฟื้อ การมีน้ำใจ มันแก้ได้ดีกว่าเยอะเลย เรียกว่าใช้ความเป็นมิตรในการแก้ปัญหา
อันนี้มันไม่ใช่เฉพาะเวลามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันหรือมีเรื่องขัดแย้งกันนะ แม้กระทั่งเรื่องที่มันยากๆ อย่างเช่น เวลามีการเจรจาธุรกิจกัน บางทีการมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ มันให้ผลดีกว่านะ มีข้าราชการคนหนึ่งเป็นอธิบดีกรมการบินพาณิชย์ แกได้รับหน้าที่ให้ไปเจรจากับพม่าเรื่องเส้นทางบิน คือไทยต้องการเปิดเส้นทางใหม่ไปพม่า
อธิบดีคนนี้ชื่อรุ่งโรจน์ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนไปเจรจากับฝ่ายพม่า แต่เจรจาทีไร ไม่ประสบความสำเร็จเลย เพราะว่าพอไทยขอพม่าเปิดเส้นทางใหม่ พม่าก็จะขอไทยเปิดอีกเส้นทางหนึ่ง เราขอเขา 1 เส้นทาง เขาก็จะขอคืน 1 เส้นทาง แล้วการเจรจาไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าเวลาฝ่ายหนึ่งขอ อีกฝ่ายหนึ่งก็รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ ฉันขอแค่นี้ ทำไมคุณมาขอมากกว่านี้ เอาเปรียบเกินไป เลยคุยกันไม่รู้เรื่อง
แต่ว่าคุณรุ่งโรจน์ซึ่งเป็นอธิบดีกรมการบินพาณิชย์ แกก็สังเกตว่า เวลาประชุมแต่ละครั้ง เจรจาแต่ละครั้ง มันมักจะเริ่มต้นด้วยการขอ พอฉันขอ อีกฝ่ายหนึ่งก็ขอบ้าง แล้วพอถูกขอ อีกฝ่ายหนึ่งก็รู้สึกระแวง คุยกันไม่รู้เรื่อง ตอนหลังแกก็เลยเปลี่ยนใหม่ แทนที่จะเริ่มต้นด้วยการขอ ทำไมไม่เริ่มต้นด้วยการให้ ฉะนั้นพอเริ่มเปิดเจรจาใหม่ แกก็บอกพม่าเลยว่า ฝ่ายไทยจะให้เส้นทางบินไหนกับพม่าบ้าง
ปรากฏว่าตัวแทนพม่าตั้งหลักไม่ทัน เจอไม้นี้เข้า ไปไม่เป็น บอกขอเบรกก่อน กลับไปตั้งหลัก เพราะไม่คิดว่าฝ่ายไทยจะมาไม้นี้ คือแทนที่จะขอนั่นขอนี่ กลับเริ่มต้นออกปากว่าจะให้นั่นให้นี่ พอกลับมาเจรจาใหม่ ทางพม่าบอกว่าจะให้เส้นทางนี้เส้นทางนั้น กลายเป็นว่าเจรจาราบรื่นเลยนะ ราบรื่นเพราะว่าแทนที่จะขอ เปลี่ยนมาเป็นการให้ เพราะถ้าเราขอ 1 บางทีเขาอาจจะขอ 2 แต่พอเราให้ 1 บางทีเขาให้ 2 นะ
ฉะนั้นการให้มันมีพลัง เรามักคิดว่าการให้คือการขาดทุน แต่การให้อาจจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้น อาจจะทำให้ได้มากกว่าที่คิดก็ได้ แล้วถ้าเรารู้จักให้ ก็สามารถจะเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตรได้
มีนักสร้างหนังคนหนึ่ง ซึ่งมีชื่อมาก แต่ไม่รู้ว่าเณรจะรู้จักหรือเปล่านะ สตีเฟน สปิลเบิร์ก รู้จักไหม เขาสร้างหนังเรื่อง ET สมัยหลวงพ่อยังเด็ก ET ดังมากเลย เขายังสร้างหนังอยู่นะ แต่ว่าเณรอาจจะไม่ได้ดู เขาเล่าว่าตอนที่เขาอายุ 13 เขาไม่อยากไปโรงเรียนเลย เพราะว่าที่โรงเรียนมีขาใหญ่ชอบแกล้งเขา ขาใหญ่นั่นอายุประมาณ 17 ชอบแกล้ง ชอบตีหัว ชอบขโมยขนมเขากิน ไม่อยากไปโรงเรียนเลย ไปโรงเรียนเหมือนกับนรก
แต่วันหนึ่งเขามีความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาไปโรงเรียนแล้วก็ไปหาขาใหญ่คนนี้ แล้วบอกว่า ตอนนี้เขากำลังจะทำหนังเรื่องหนึ่ง เขาชอบทำหนัง ตอนนั้นอายุ 13 ได้กล้อง 8 มม.มา ซื้อมาด้วยเงินของตัวเองนะ ไม่ได้ให้พ่อซื้อให้ แล้วเขาบอกว่าเขากำลังจะทำหนังเรื่องตามล่านาซี ขาดพระเอก ก็เลยถามขาใหญ่คนนั้นว่า จะมาเป็นพระเอกให้ฉันได้ไหม ไอ้นั่นทีแรกงงนะ เอ๊ะจะมาไม้ไหนนะ เมื่อวานนี้ฉันเพิ่งแกล้งแก หยกๆ วันนี้แกจะมาขอให้ฉันเป็นพระเอก แต่แกก็ยอมเป็นพระเอก เป็นอันว่าถ่ายทำหนังจนเสร็จ หนังสั้นๆ ไม่กี่นาที 10 นาทีได้
พอทำหนังเสร็จ ปรากฏว่าขาใหญ่คนนั้นกลายเป็นเพื่อนสนิทของสปิลเบิร์กไปเลย ที่เคยแกล้งนี่ก็เลิกแกล้ง คอยปกปักรักษา คอยคุ้มครองสปิลเบิร์ก จากเคยเป็นคนที่ชอบรังแก กลายเป็นมิตร เพราะอะไรรู้ไหม เพราะประทับใจ ซาบซึ้งใจที่สปิลเบิร์กให้โอกาสเขา เพราะว่าขาใหญ่เป็นคนที่เกเร เพราะว่าใครๆ ก็ดูถูก เรียนหนังสือก็ไม่เก่ง ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ นิสัยก็ไม่ดี ก็เลยไม่มีใครชอบ ขาใหญ่ก็เลยคิดว่า ถ้าฉันเด่นทางดีไม่ได้ ก็ขอเด่นทางชั่วก็แล้วกัน
พวกเราอาจจะเคยเจอคนแบบนี้นะ คนที่ชอบแกล้งเพื่อน เขาแกล้งเพื่อนนี่ไม่ใช่เพราะนิสัยเขาเลวโดยธาตุแท้นะ แต่เพราะว่าเขามีความทุกข์บางอย่าง เขาไม่ได้รับการยอมรับ พวกนี้มักจะเรียนไม่เก่ง บางทีก็ถูกพ่อแม่ชอบดุชอบด่า แต่พอเจอสปิลเบิร์กให้โอกาสเขาทำสิ่งดีๆ ได้เป็นพระเอก มันก็เป็นการชดเชยปมบางอย่าง ผลสุดท้ายเขาก็เลยซาบซึ้งสปิลเบิร์กมาก แล้วก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีของสปิลเบิร์กไป
จากคนที่ชอบรังแกเขา กลายเป็นเพื่อนที่คอยปกป้อง เพราะอะไร เพราะว่าสปิลเบิกมีน้ำใจ เรียกว่าชนะใจเขา ชนะใจด้วยอะไร ชนะใจด้วยการให้ คนเรามักคิดว่าจะต้องชนะด้วยการใช้กำลัง ใช้ความรุนแรง
พวกเรารู้จักอับราฮัม ลินคอล์นไหม อับราฮัม ลินคอล์นเป็นใคร ประธานาธิบดีอเมริกาเมื่อร้อยปีที่แล้ว เขาพูด 2 ประโยคที่น่าสนใจว่า วิธีกำจัดศัตรูที่ดีที่สุดคือทำให้เป็นมิตร ทำให้เป็นเพื่อน ถ้าเราทำให้ศัตรูเป็นเพื่อน ศัตรูก็จะไม่มารบกวนรังควานอะไรเราอีกแล้ว เพราะเขากลายเป็นเพื่อนไปเสียแล้ว แล้วจะทำให้เป็นเพื่อนได้อย่างไร ทำให้เป็นเพื่อนด้วยการมีน้ำใจ ให้ เอื้อเฟื้อ
ฉะนั้นเราลองมารู้จักกับวิธีชนะใจแบบนี้บ้าง ชนะใจด้วยการให้ ลองทำดู แทนที่จะชนะด้วยการด่า ด้วยการใช้กำปั้น ชนะด้วยการยกพวกรุมตีกัน ชนะด้วยการให้ดีกว่า เพราะนี่คือการชนะที่ถูกต้อง อันนี้พระพุทธเจ้าก็สอนไว้นะ ชนะความชั่วด้วยความดี ชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ พวกเราเป็นสามเณร ต้องฝึกการชนะด้วยวิธีนี้บ้าง.