พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 11 เมษายน 2566
เมื่อเร็วๆ นี้ได้ดูคลิปวีดีโอเรื่องหนึ่ง ไม่ยาว ไม่ถึงนาที แต่ว่าให้ข้อคิดเตือนใจ แล้วก็ตั้งคำถามให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดี คลิปนี้มีภาพ 2 ภาพอยู่ชิดกัน ซ้ายกับขวา แล้วก็เดินเรื่องไปพร้อมๆ กัน เป็นเรื่องของชาย 2 คนซึ่งอายุประมาณสัก 80 กว่า หน้าตาก็เหมือนกันเด๊ะเลย เพราะว่าใช้ผู้แสดงคนเดียวกัน แต่ว่ามีอากัปกิริยาแล้วก็อยู่ในสถานการณ์ที่เรียกว่าตรงข้ามกันเลย
คลิปนี้ก็เริ่มต้นจากการที่คนทางซ้ายมือสวมรองเท้ากีฬา ขณะที่คนทางขวามือสวมรองเท้าแตะที่เห็นในโรงพยาบาล ต่อมาคนซ้ายมือก็เดินออกจากบ้าน ลุกจากเตียงอย่างกระฉับกระเฉง ขณะที่คนทางขวามือลุกจากเตียงพยาบาลอย่างระโหยโรยแรง คนซ้ายมือกำลังขี่จักรยาน แต่คนขวามือนั่งรถเข็น คนซ้ายมือขับขี่จักรยานด้วยตัวเอง แต่คนขวามือมีพยาบาลคอยผลักรถเข็น
แล้วภาพถัดไป คนซ้ายมือก็ไปเที่ยวสถานที่สำคัญ แต่คนขวามือกลับอยู่ในห้องแคบๆ ในโรงพยาบาล เห็นได้ชัดว่าเป็นห้องผู้ป่วยสำหรับคนนอนติดเตียงหรือว่าป่วยหนัก ภาพซ้ายมือชายแก่กำลังคุยเล่นกับหลานตัวน้อยๆ อย่างมีความสุข ส่วนคนขวามือกำลังคุยกับพยาบาล คนซ้ายมือกำลังกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย แต่คนขวามือกินยาเป็นกำเลย
ลำดับภาพต่อไป คนซ้ายมือกำลังสวมเนกไทจะไปงานไหนสักงานหนึ่ง แต่คนขวามือขยับท่อช่วยหายใจ ต่อมาคนซ้ายมือก็กำลังสวมนาฬิกา แต่คนขวามือกำลังใส่ข้อรัดมือผู้ป่วยที่บอกว่าชื่ออะไร เป็นใคร อายุเท่าไหร่ เป็นโรคอะไร แล้วก็มีภาพต่อไป คนซ้ายมือกำลังกินอาหารกับครอบครัวอย่างมีความสุข เหมือนกับว่ากำลังมีงานเลี้ยงอะไรสักงานหนึ่ง แต่คนขวามืออยู่ในห้องผู้ป่วยอย่างหงอยเหงากับผู้ดูแลซึ่งอาจจะเป็นภรรยา
ในคลิปคนซ้ายมือเขาจะมีความกระฉับกระเฉง มีชีวิตชีวา มีความเบิกบานแจ่มใสไม่ว่าเขาทำอะไร อยู่ที่ไหน ในทางตรงข้าม คนขวามืออ่อนระโหยโรยแรง หน้าตาก็ห่อเหี่ยว ยิ่งกว่านั้น คนซ้ายมือเขาก็อยู่ท่ามกลางคนรัก ยิ้มแย้มแจ่มใสกับทุกคนเลย ในขณะที่คนขวามือก็มีแค่อาจจะเป็นภรรยาที่อยู่ข้างๆ คงเป็นผู้ดูแลด้วย แล้วก็มีสีหน้าวิตกกังวล เศร้าหมอง
คลิปทั้งหมดนี้เขาฉายให้เราเห็นในเวลาไม่ถึงนาที มันเป็นภาพที่ตัดกัน แล้วก็มีคำบรรยายไม่มาก แต่คำบรรยายตอนท้าย เขาก็จะบอกว่าคนแคนาดาโดยเฉลี่ยแล้วใช้ชีวิต 10 ปีสุดท้ายอยู่กับความเจ็บป่วย คลิปนี้ทำโดยหน่วยงานสุขภาพในแคนาดาที่ชี้ให้เห็นถึงชีวิต 2 แบบ
คือชีวิตของคนที่เจ็บป่วยด้วยโรคร้าย อาจจะเป็นโรคหัวใจ หรือไตวาย หรือโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดสมอง แล้วก็อยู่อย่างโดดเดี่ยวในโรงพยาบาล หรือมิฉะนั้นก็นอนติดเตียง กับอีกวิถีชีวิตหนึ่งก็เป็นวิถีชีวิตของคนที่มีความกระฉับกระเฉง มีความปกติสุข อยู่กับคนรัก ครอบครัว แล้วได้ทำสิ่งที่ตัวเองปรารถนา แล้วก็มีคำบรรยายในตอนท้ายคลิปว่า ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกชีวิตแบบไหน
ก็อย่างที่เขาบอกตอนท้ายว่า คนแคนาดา 10 ปีสุดท้ายของชีวิตอยู่กับความเจ็บป่วย ที่จริงไม่ใช่เฉพาะคนแคนาดา จะเรียกว่าผู้คนทั้งโลกเลย โดยเฉพาะคนในสังคมที่มีอันจะกิน รวมถึงคนไทยด้วย ทุกวันนี้คนรุ่นเราหรือว่าคนรุ่นปัจจุบัน มีอายุยืนยาวกว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่หรือคนรุ่นปู่ย่าตายายไม่น้อยกว่า 10 ปี อันนี้หมายถึงอายุเฉลี่ย อย่างคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา หรือว่ารุ่นปู่ย่าตายาย อาจจะอยู่ได้โดยเฉลี่ย 60 กว่า แต่คนรุ่นนี้อยู่ได้มากกว่านั้นนับ 10 ปี หรือ 10 กว่าปี
แต่ปรากฏว่าอายุที่ยืนยาวมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ 10 ปี มันเป็น 10 ปีแห่งความทุกข์เพราะโรคภัยไข้เจ็บ เบาหวานก็ดี โรคหัวใจก็ดี มะเร็งก็ดี ซึ่งก็ทำให้น่าคิดว่า จะมีชีวิตยืนยาวไปทำไม ในเมื่อชีวิตที่ยืนยาวกว่าคนรุ่นก่อน ไม่ใช่สุขสบายเลย มันเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ แล้วคนแคนาดาโดยเฉลี่ยก็เป็นอย่างนี้
แต่ว่าคลิปนี้เขากำลังจะบอกเราว่า คนเราไม่จำเป็นต้องลงเอยในวัยชราด้วยความเจ็บป่วย นอนติดเตียงหรืออยู่อย่างโดดเดี่ยวกับพยาบาลก็ได้ เราสามารถจะมีชีวิตที่แตกต่างจากนั้นได้ และเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของโชค การที่คนเราจะสามารถมีชีวิตในวัยชราที่กระฉับกระเฉง สดชื่นแจ่มใส มันไม่ใช่เพราะโชค แต่มันเป็นเพราะกรรม
กรรมในที่นี้หมายถึงการกระทำ หมายถึงการใช้ชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว ว่าเราใช้ชีวิตแบบไหน และนี่แหละคือเหตุผลที่เขาบอกเราว่า ตอนนี้ถึงเวลาต้องตัดสินใจแล้ว ว่าเราอยากใช้ชีวิตแบบไหน หรือเราอยากจะลงเอยในช่วงวัยชรานี้แบบไหน แบบภาพทางขวามือ คือคนป่วยนอนติดเตียง หรือคนทางซ้ายมือ ซึ่งมีชีวิตที่ปกติสุขตามวัย มีความกระฉับกระเฉง
และถ้าจะเลือกชีวิตอย่างทางซ้ายมือ ก็ต้องตัดสินใจได้แล้วว่า จะทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตแบบนั้น เขาไม่ได้บอก แต่เราก็คงพอเดาได้ว่า เราต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ รู้จักควบคุมอาหาร ไม่กินตามใจปาก เป็นต้น
อันนี้เรียกว่าเราสามารถจะมีชีวิตอย่างนั้นได้ ไม่ใช่เพราะโชค แต่เพราะกรรม กรรมนี่หมายถึงการกระทำ ไม่ใช่ของใคร ของเราเอง
อันนี้ก็เป็นข้อคิดที่ดีนะ เพราะเดี๋ยวนี้ สังคมของเราเป็นสังคมผู้สูงวัย คนก็แก่มากขึ้น ถึงแม้จะมีอายุยืนยาวมากขึ้น แต่ปรากฏว่าก็ลงเอยช่วง 10 ปี 15 ปี 20 ปีสุดท้ายของชีวิต มันไม่ได้เป็นชีวิตที่ผาสุกเลย เจ็บป่วยด้วยโรคนั้นโรคนี้สารพัด แต่ว่าเราไม่จำเป็นต้องลงเอยแบบนั้นก็ได้ ถ้าหากว่าเรารู้จักใช้ชีวิตให้ถูกต้อง
คลิปนี้ถ้ามองให้ดี มันกำลังบอกเราว่า เรามีทางเลือก ทางเลือกหนึ่งก็เป็นทางไปสู่ความทุกข์ที่หนักขึ้นเรื่อยๆ อีกทางเลือกหนึ่งก็เป็นทางเลือกที่มีความทุกข์น้อย คนเราเมื่อเกิดแล้วก็หนีความแก่ไม่พ้น แต่เราสามารถจะเลือกได้ว่า จะแก่อย่างมีคุณภาพ หรือจะแก่แบบไม่มีคุณภาพ อยู่ไปวันๆ ต้องสู้รบกับความเจ็บป่วยด้วยความทุกข์ทั้งกายและใจ
ที่จริงทางเลือกของคนเราไม่ได้มีแค่ว่าเราจะแก่แบบไหนเท่านั้นนะ แม้เราจะยังหนุ่มยังสาวเราก็ยังมีทางเลือกมากมาย หรือว่าทางเลือกในทุกขั้นตอนของชีวิต อาจจะไม่ใช่เป็นการเลือกว่าจะแก่แบบไหน แต่อาจจะหมายถึงการเลือกว่าเราจะมีชีวิตในแต่ละวันแบบไหน มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เต็มไปด้วยความผิดหวัง อุปสรรคเยอะแยะ เรียกว่าเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยเคราะห์ หรือเป็นชีวิตที่ปลอดโปร่งราบรื่น
มีเรื่องเล่าของครอบครัวหนึ่ง พ่อแม่แล้วก็ลูก ลูกอายุประมาณสัก 10 ขวบ เช้าวันหนึ่งกำลังกินข้าวเพื่อที่จะไปทำงานแล้วไปโรงเรียน ลูกสาวก็บังเอิญทำแก้วน้ำหล่นจากมือ ขณะที่กินอาหาร แก้วนั้นก็เป็นแก้วใส่นมด้วย พอมันตกพื้น ก็แตก นมก็กระจาย พื้นก็เลอะเทอะ พ่อเห็นก็ด่าว่าลูก ลูกก็เลยร้องไห้ แม่ก็ต่อว่าพ่อว่าทำไมไปว่าลูกแรงๆ แบบนั้น
พอถูกภรรยาว่า สามีก็เลยตอบโต้ เกิดการโต้เถียงกันระหว่างสามีกับภรรยา หรือระหว่างพ่อกับแม่ของเด็ก เถียงกันอยู่นาน จนกระทั่งมาได้สติว่าต้องออกจากบ้านแล้ว ผู้เป็นพ่อหรือผู้เป็นสามีก็รีบขึ้นไปเก็บเอกสารใส่กระเป๋าเพราะเป็นนักธุรกิจ เสร็จแล้วก็รีบพาลูกสาวไปส่งโรงเรียน แต่กรุงเทพฯ ถ้าออกช้าสัก 10 นาที มันก็มีผลมากแล้ว คือรถติดหนัก ปรากฏว่าในที่สุดก็ส่งลูกสาวไม่ทัน ลูกสาวไปโรงเรียนสาย ถูกครูทำโทษเพราะไปเป็นโรงเรียนที่เขาเคร่งครัดมาก
ส่วนตัวเองก็ไปทำงานสายเหมือนกัน แล้ววันนั้นก็มีประชุมสำคัญด้วย เจ้านายกับผู้ชายคนนั้นก็ต้องไปประชุมกับลูกค้า แต่ปรากฏว่าเอกสารเอามาไม่ครบ เลยประชุมกันไม่ได้ ไม่สามารถที่จะปิดดีลหาข้อสรุปได้ เจ้านายก็ว่าเขาว่าทำไมทำงานบกพร่อง เรื่องสำคัญแบบนี้ นอกจากมาสายแล้ว ยังไม่สามารถที่จะหาข้อสรุปได้ ถูกเจ้านายด่าว่าก็เลยอารมณ์เสีย
บ่ายวันนั้นก็เลยทำงานอย่างไม่ค่อยมีสมาธิ ไม่มีก็จิตกะใจจะทำงาน เพื่อนมาแซวตามปกติ แต่คราวนี้เขาไม่มีอารมณ์เล่นด้วย เขาก็ด่ากลับ เลยทะเลาะกับเพื่อน ทะเลาะกันยาวเลย จนกระทั่งได้เวลาเลิกงาน เป็นอันว่าวันนั้นงานก็เสีย แล้วก็ทะเลาะกับเพื่อน ขับรถกลับบ้านด้วยความอารมณ์เสีย หงุดหงิด ก็ปรากฏว่ารถไปเฉี่ยว ก็เสียเวลาบนถนนอยู่นาน กว่าจะไปถึงบ้านก็ค่ำแล้ว
ไปถึงบ้านก็ไม่มีอารมณ์จะคุยกับลูก ไม่มีอารมณ์จะคุยกับภรรยา แถมโทษลูกสาวด้วยว่าทำให้เกิดเรื่องเกิดราวทั้งวัน ก็ต่อว่าลูกสาวไปอีกยกใหญ่ แล้วก็เถียงกับภรรยาอีกตามเคย สุดท้ายคืนนั้นทุกคนเข้านอน อย่างไม่มีความสุขเลย อันนี้เป็นวันที่แสนจะย่ำแย่ของชายคนนั้น
แต่ที่จริงมันไม่จำเป็นต้องลงเอยแบบนี้ก็ได้ มันมีความเป็นไปได้หรือทางเลือกอีกทางหนึ่ง คือว่าขณะที่กินข้าวแล้ว ลูกสาวทำแก้วน้ำตก พ่อก็ได้สติ ไม่โกรธลูก ก็เตือนลูกดีๆ ว่าให้มีสติเวลากินอาหาร พูดดีๆกับลูก ก็ไม่มีการทะเลาะกับภรรยา ลูกก็ไม่ร้องไห้ พอได้เวลาออกจากบ้าน พ่อก็ไปเอาเอกสาร แต่เนื่องจากไม่ได้รีบ ก็เก็บเอกสารได้ครบ ถึงเวลาพาลูกไปส่งโรงเรียน ก็ไปทันเวลา ลูกไม่ถูกครูลงโทษ
ตัวเองก็ไปประชุมทัน และเนื่องจากมีเอกสารพรักพร้อม ประชุมวันนั้นก็จบลงด้วยดี ปิดดีลได้ เจ้านายก็ชม เขาก็อารมณ์ดี ทำงานอย่างมีความสุข ถึงเวลาเพื่อนมาแซว เขาก็แซวกลับ เฮฮากัน เรียกว่าชื่นมื่น ถึงเวลาเลิกงานก็ขับรถกลับถึงบ้านได้อย่างราบรื่น ไม่มีเรื่องเหตุร้าย เจอลูกก็ยิ้มให้ เจอภรรยาก็ทักทายกันด้วยรอยยิ้ม ก็เป็นอันว่าวันนั้นทุกคนเข้านอนอย่างมีความสุข
อันนี้เป็นเรื่องของทางเลือก เราสามารถจะเลือกได้วันหนึ่งๆ เราจะเลือกแบบไหน วันที่ราบรื่นหรือวันที่เต็มไปด้วยอุปสรรค หรือจะเรียกว่าเป็นวันซวยก็ได้ ที่จริงจะเรียกว่าเป็นวันซวยก็ไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้ว มันเริ่มต้นแค่เหตุการณ์เดียว เหตุการณ์ที่สำคัญคือตอนที่ลูกสาวทำแก้วน้ำตก จุดเปลี่ยนอยู่ตรงนี้ ว่าพ่อทำอย่างไรกับลูกสาว มีสติหรือขาดสติ ถ้ามีสติไม่ต่อว่าลูก ชีวิตวันนั้นก็ราบรื่น แต่เพราะไปต่อว่าลูก ชีวิต วันนั้นก็เลยเกิดการกระทบกระเทือน ผิดเพี้ยนกันไปหมด จุดเปลี่ยนมันไม่ได้อยู่ที่ลูกสาวทำแก้วน้ำตก แต่อยู่ที่พ่อว่ามีสติหรือไม่
พูดอีกอย่างหนึ่งคือ คนที่เป็นพ่อก็เลือกได้ว่า จะให้ชีวิตของตัวเองแต่ละวันเป็นไปในทางไหน ไปสู่ความยุ่งยากหรือว่ากลายเป็นวันซวย หรือว่าไปสู่ความราบรื่นหรือเป็นวันที่ดีอีกวันหนึ่ง จะว่าไปแล้วคนเรามันเลือกได้เสมอ ว่าเราจะให้ชีวิตของเราแต่ละวันเป็นอย่างไร หรือแม้กระทั่งว่าเมื่อเจอเหตุร้าย เราอยากจะให้มันลงเอยแบบไหน มันเลือกได้
มีเด็กคนหนึ่งเป็นเด็กไต้หวัน อายุประมาณ 9 ขวบ ชื่อ โจวต้ากวน แกเป็นมะเร็งที่กระดูกแล้วต้องไปผ่า แต่เด็กคนนี้ก็เป็นคนช่างคิดแล้วช่างเขียนด้วย แกก็บันทึกเรื่องราวของแกช่วงที่เจ็บป่วย เขียนด้วยข้อความที่สั้นๆ แต่ว่ามีความหมายที่ลึกซึ้งกินใจ
อย่างเช่นตอนที่แกบอกว่า ตอนที่ไปผ่าตัดครั้งแรก แกเขียนว่าพ่อแม่ประคองผมเข้าห้องผ่าตัด ครั้งนั้นผมมีเด็กชายกังวลเป็นเพื่อนบ้าน แล้วมีเด็กสาวสงบเป็นเพื่อนบ้านเหมือนกัน ผมเลือกเด็กสาวสงบเป็นเพื่อนเข้าห้องผ่าตัด ต่อมาอีก 3-4 เดือน แกก็เขียนอีก พ่อแม่อุ้มผมเข้าห้องผ่าตัดครั้งที่ 2 จากที่ครั้งแรกประคอง ครั้งที่ 2 นี่อุ้มแล้ว แกก็เขียนว่า คุณน้าหวาดหวั่นเป็นเพื่อนบ้านผม คุณอามั่นคงก็เป็นเพื่อนบ้านผม ผมเลือกคุณอามั่นคงเป็นเพื่อนเข้าห้องผ่าตัด
ต่อมาอีก 4-5 เดือน แกก็เขียนอีกว่า พ่อแม่ให้ผมขี่คอเข้าห้องผ่าตัดครั้งที่ 3 คราวนี้ขี่คอแล้วนะ คุณความตายเป็นเพื่อนบ้าน คุณอยู่รอดก็เป็นเพื่อนบ้านผม ผมเลือกคุณอยู่รอดเป็นเพื่อนบ้านเข้าห้องผ่าตัด
ขณะที่เจอเหตุร้ายต้องเข้าห้องผ่าตัด โจวต้ากวนแกก็เชื่อเลยว่า มันเลือกได้ระหว่างความกังวลกับความสงบ เราจะเลือกอะไร ระหว่างความหวาดหวั่นกับความมั่นคง เราจะเลือกอะไร มันไม่จำเป็นว่าจะต้องลงเอยด้วยความหวาดหวั่น จะต้องลงเอยด้วยความกลัว หรือลงเอยด้วยความตายอย่างเดียว มันเลือกได้
เหตุการณ์เหตุร้ายบางครั้งเราก็เลือกไม่ได้ ความเจ็บป่วยก็ดี เราเลือกไม่ได้ในบางครั้ง แต่เราเลือกได้ว่าจะเผชิญกับมันอย่างไร หรือคนที่อยู่รอบข้างเรา บ่อยครั้งเราก็ไม่สามารถจะไปบังคับบัญชาเขาได้ ลูกสาวทำแก้วน้ำตก เราบังคับไม่ได้ แต่เมื่อเขาทำแก้วน้ำตกแล้ว ผู้เป็นพ่อสามารถจะเลือกได้ว่า จะมีสติ พูดกับลูกดีๆ หรือขาดสติ แล้วก็ด่าว่าลูกแรงๆ อันนี้เป็นสิ่งที่เราเลือกได้
แล้วที่จริงถ้าเราคิดต่อไป แม้กระทั่งถึงวันที่เราจะต้องประสบความสูญเสีย เราก็ยังเลือกได้ ระหว่างคนที่ทุกข์ระทม เศร้าโศก ตีอกชกหัว กับคนที่สงบ นิ่ง มั่นคง ไม่หวั่นไหว แต่การที่เราจะเลือกแบบนี้ได้ มันต้องลงทุนลงแรงด้วย ไม่ใช่ว่าแค่อยากเฉยๆ แต่ว่าต้องลงทุนด้วยการปฏิบัติ
เหมือนกับถ้าอยากจะให้วัยชราของเราเป็นวัยที่กระฉับกระเฉง มีสุขภาพดี ไม่นอนซม ก็ต้องออกกำลังกายตั้งแต่ตอนนี้ หรือออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมอาหารตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว เช่นเดียวกัน หากว่าเราปรารถนาที่จะรักษาใจให้สงบมั่นคงเมื่อยามที่ต้องสูญเสีย หรือแม้กระทั่งเมื่อยามที่เราเผชิญหน้ากับความตาย เราก็ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ เริ่มตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้ ว่าเราจะฝึกตนฝึกใจมากน้อยเพียงใด แค่ออกกำลังกาย คุมอาหารคงไม่พอ มันก็มีประโยชน์สำหรับการมีสุขภาพดีในวัยชรา
แต่ว่าถ้าหากต้องการที่จะมีสุขภาพจิตเป็นปกติ ไม่จมอยู่ในความทุกข์ ก็ต้องฝึกใจด้วย แล้วไม่ใช่มาฝึกเอาตอนที่ใกล้จะสูญเสีย เพราะเราไม่รู้ว่าจะสูญเสียเมื่อไหร่ หรือมาฝึกเอาตอนใกล้จะตาย เพราะบางทีอาจจะไม่มีเวลาฝึกก็ได้ เราต้องทำตั้งแต่ตอนนี้
ต้องตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้แล้วว่า เราจะเลือกสถานการณ์หรือเลือกฉากทัศน์แบบไหน ถ้าเราต้องการเลือกสถานการณ์หรือฉากทัศน์ที่เป็นความสงบร่มเย็น เป็นปกติ ไม่จมอยู่ในความทุกข์ ก็ต้องเริ่มฝึกจิตฝึกใจตั้งแต่ตอนนี้แล้ว เริ่มทำความเพียรตั้งแต่ตอนนี้แล้ว นี่คือสิ่งที่เราเลือกได้