พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 8 ธันวาคม 2565
วันนี้เป็นวันพระ หลายคนนิยมใช้วาระโอกาสนี้ในการมาวัดเพื่อมาทำบุญ เพราะว่าทำบุญแล้วจิตใจจะแจ่มใส แต่ว่านอกจากมาทำบุญด้วยการถวายทานแล้ว ควรใช้โอกาสนี้เปิดใจฟังธรรมะ หรือว่าใคร่ครวญถึงธรรมะที่ได้ยินได้ฟังมา เพราะว่าจะช่วยทำให้เรามีสิ่งดีๆ ติดตัวไปเมื่อกลับไปบ้าน
เพราะว่าลำพังความแจ่มใสเบิกบานจากการมาถวายทาน ก็ดีนะ แต่ว่ามักจะอยู่ได้ไม่นาน หลายคนพอมาวัดจิตใจแช่มชื่นเบิกบาน แต่พอกลับไปบ้านความเบิกบานสดชื่นก็หายไป แล้วก็จมอยู่กับอารมณ์ที่เป็นอกุศล รวมทั้งความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามมา
เคยมีโยมกลุ่มหนึ่งไปทำบุญที่วัดของหลวงปู่บุดดา แล้วโยมคณะนี้พอไปทำบุญแล้วก็มีความสุขมาก จิตใจแช่มชื่นเบิกบาน หลังจากนั้นหลวงปู่ท่านก็แสดงธรรม หลังจากที่คณะนี้ค้างคืนหนึ่งคืนที่วัด รุ่งเช้าหลวงปู่บุดดาท่านบอกว่า มาวัดนี่นะ เวลามาวัดก็โสดาเต็มวัดเต็มศาลาเลย โสดาในที่นี้คือโสดาบัน แต่พอกลับไปบ้านก็กลับกลายเป็นคนเหมือนเดิม
อันนี้ท่านเตือนสติว่า เวลามาวัดจิตใจสดชื่นแจ่มใสเหมือนกับเป็นพระโสดาบัน แต่ก็ระวังนะ อย่าให้ภาวะนี้เกิดขึ้นชั่วคราว พอกลับไปบ้านก็เหมือนเดิม ท่านบอกว่า พอกลับไปบ้านก็บ้านของกู ข้าวของของกู มันกลับมา คือพอกลับไปบ้านกิเลสฟูกลับมาใหม่ ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ว่าเป็นของกูของกู แล้วก็เลยเกิดความทุกข์ตามมา
ซึ่งไม่ใช่แค่บ้านอย่างเดียว อาจจะรถของกู ลูกของกู ความเป็นโสดาบันหายไปหมดเลย หรือแม้กระทั่งความรู้สึกที่ปลอดโปร่งแจ่มใสมันเลือนหายหมดเลย เพราะอะไร เพราะว่ามาวัดก็ไม่ได้เปิดใจฟังธรรมะ หรือปฏิบัติเพื่อให้ธรรมะเกิดขึ้นกับใจ หรือเปิดโอกาสให้ธรรมะที่มีอยู่แล้วในใจเจริญงอกงามขึ้น
อันนี้นับว่าน่าเสียดาย ถ้าหากว่าพอมาวัดแล้วจิตใจผ่องใสเบิกบานโปร่งโล่งเบาสบาย แต่พอกลับไปบ้านมันก็รุ่มร้อนหนักอึ้ง ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะว่า เราไม่ค่อยได้เปิดใจใคร่ครวญธรรมะจากการมาวัดเท่าไหร่
บางทีท่านก็สอน หลวงพ่อหลวงตาท่านก็สอนว่า อะไรๆก็ไม่เที่ยง ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ทรัพย์สมบัติ คนรัก ไม่มีอะไรที่จะยึดมั่นเป็นเราเป็นของเราได้ แต่คนมาวัดหลายคนก็ไม่ค่อยได้ฟัง มัวแต่เพลินอยู่กับความปิติ ความผ่องใสเบิกบาน ซึ่งจริงๆ ก็เป็นภาวะอารมณ์ที่เกื้อกูลต่อการไตร่ตรองรับฟังธรรมะ แต่ถ้าเกิดว่าไม่ได้ไตร่ตรองจริงๆ ความปิติความปราโมทย์จากการทำบุญก็จะสูญสลายหายไปเมื่อกลับไปบ้าน
แต่ถ้าหากมีธรรมะติดตัวไป ธรรมะที่เข้าใจเรื่องความไม่เที่ยง ธรรมะที่ท่านเตือนให้ย้ำถึงความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน พอกลับไปบ้านก็มีธรรมะนี้แหละที่ช่วยประคองใจ รักษาใจ ไม่ให้หม่นหมองเศร้าโศกรุ่มร้อน หรือว่าปล่อยให้กิเลสกัดกินใจ เรียกว่ามาวัดก็เรียกว่าเป็นโสดาหรือเป็นเทวดา กลับไปบ้านก็ยังเป็นโสดาหรือเป็นเทวดาอยู่ อันนี้มันควรจะเป็นอย่างนั้น
แล้วขณะเดียวกันคือเวลามาวัด ตัวอยู่วัดใจก็ต้องอยู่วัดด้วย ไม่ใช่ว่าตัวอยู่วัดแต่ใจไปอยู่บ้าน ไปอยู่ที่ทำงาน อย่างนี้ก็ยิ่งแล้วใหญ่เลย เพราะว่าแม้แต่ความผ่องใสเบิกบานก็อาจจะไม่ได้ เพราะว่าใจไปอยู่ที่บ้านใจไปอยู่ที่ทำงาน ก็เกิดความหนักอกหนักใจ บางทีก็ห่วงทรัพย์ ห่วงบ้าน ห่วงลูก อันนี้เรียกว่ามาวัดแต่ใจเศร้าหมอง
ฉะนั้นให้มาทั้งตัวมาทั้งใจ อันนี้เป็นการฝึกให้ใจอยู่กับปัจจุบัน พอใจอยู่กับปัจจุบัน การที่จะน้อมรับธรรมะ หรือเปิดใจรับสิ่งดีๆ ก็เกิดขึ้นได้ง่าย ทำบุญแต่ว่าใจไปอยู่ที่อื่น ความผ่องใสเบิกบานหรือปิติปราโมทย์ก็อาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้ อันนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
อย่างน้อยๆ ก็ควรจะได้ความปิติปราโมทย์จากการมาวัด จากการมาทำบุญถวายทาน แต่ถ้าให้ดีกว่านั้นก็ได้ธรรมะไปด้วย ได้ธรรมะในทางที่ประเทืองปัญญา คือความเข้าใจเรื่องไตรลักษณ์ ความเข้าใจเรื่องความไม่เที่ยงของสังขารร่างกาย แล้วก็รู้จักพอ รู้จักวาง ให้เห็นว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นของเราได้
แล้วเป็นอย่างนี้ถึงเวลาเจ็บป่วยก็ไม่โวยวายไม่ตีโพยตีพาย ไม่ใช่ว่าพอมาวัดจิตใจแช่มชื่นเบิกบาน พอกลับไปบ้านเจ็บป่วยขึ้นมาก็โวยวายว่า ทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำไมทำบุญแล้วจึงต้องมาเจ็บมาป่วย อันนี้เพราะไม่เข้าใจความจริงหรือสัจธรรมที่ว่า จะทำดีแค่ไหน หรือแม้เป็นพระอรหันต์ก็ต้องเจ็บต้องป่วย แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังมีอาพาธ
แล้วยิ่งถ้าหากรู้ว่า ไม่ใช่แค่ร่างกายมันไม่เที่ยงเป็นทุกข์เท่านั้น แต่ร่างกายก็ไม่ใช่ของเราด้วย พอยิ่งเห็นชัดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา พอร่างกายป่วย ใจก็เป็นทุกข์น้อยลง เรียกว่ากายป่วยแต่ใจไม่ป่วย เริ่มแรกก็รู้ว่าร่างกายไม่เที่ยงเป็นทุกข์ รู้ว่าความเจ็บป่วยต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แล้วพอป่วยแล้วก็ป่วยแต่กายใจไม่ทุกข์ เพราะว่าไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในกายนี้
อันนี้เราเรียนรู้ได้จากการที่ได้มาวัด หรือถ้าไม่ว่ามาวัด อยู่บ้านก็เรียนรู้ได้ จากการที่เราได้ฟังธรรมศึกษาธรรม หรือใคร่ควรญกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราหรือสิ่งรอบตัว อันนี้แหละคือธรรมอันประเสริฐ ที่ทำให้เกิดความปิติปราโมทย์ความผ่องใสได้ไม่ว่าอยู่ที่ไหน อยู่ที่วัดก็ผ่องใสเบิกบาน อยู่ที่บ้านก็ผ่องใสได้เช่นเดียวกัน.