พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 6 ธันวาคม 2565
คนทุกวันนี้แม้ว่าจะมีความสะดวกสบาย แต่นั่นก็เป็นเรื่องของกาย แต่กายใจนี่ไม่น้อยเลยมีความวิตกกังวลมีความเครียด จนกระทั่งเรียกว่าเป็นความเจ็บป่วยชนิดหนึ่ง
ที่จริงความเครียดความวิตกกังวลก็ธรรมดา ไม่ใช่ว่าคนเราจะไม่มีสิ่งนี้ แต่ว่าคนเดี๋ยวจำนวนมากมีมากขึ้น เข้มข้นขึ้น รุนแรงขึ้น แล้วเดี๋ยวนี้เป็นทั้งโลกเลย โดยเฉพาะในหมู่คนที่มีการศึกษา มีความรู้ มีเศรษฐานะ หรือมีรายได้หรือความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แล้วจำนวนไม่น้อยก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องพึ่งยา เดี๋ยวนี้ยาที่เกี่ยวกับคลายเครียดคลายความวิตกกังวลขายดี รวมไปถึงยานอนหลับด้วย
แต่ว่าเมื่อเร็วๆนี้ มีการศึกษาวิจัยพบว่าไม่ต้องกินยาก็ได้ การเจริญสติ การทำสมาธิภาวนา ช่วยลดความตกกังวลได้ ที่จริงเรื่องนี้รู้กันมานานแล้ว แต่ว่าการศึกษาวิจัยเรื่องนี้สำคัญหรือน่าสนใจมากตรงที่ว่า มีการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างการใช้ยากับการเจริญสติ ซึ่งไม่เคยมีการทำการศึกษาเปรียบเทียบแบบนี้มาก่อน แบบที่เป็นวิทยาศาสตร์
ในอเมริกาเมื่อเร็วๆนี้ มีการเปรียบเทียบคน 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งประมาณสัก 135 คน รวม 2 กลุ่ม 270 คน ทั้งหมดมีความวิตกกังวลสูง ครึ่งหนึ่งเขาให้กินยา กินยาคลายเครียด กินยาระงับความวิตกกังวล อีกครึ่งหนึ่งเขาให้ทดลองทำสมาธิด้วยการเจริญสติ ใช้เวลา 8 อาทิตย์
คนกินยาก็กินไปตามหมอสั่ง กินทุกวัน ส่วนคนที่นั่งสมาธิ เขาก็ให้ทำจะเรียกว่าเข้าคอร์สก็ได้ แต่ไม่ถึงกับเป็นคอร์ส แค่การมาเจริญสติร่วมกัน อาทิตย์ละครั้ง ครั้งละ 2 ชั่วโมงครึ่ง ไม่ได้เข้าคอร์ส คือไม่ได้มาอยู่วัด ไม่ได้มาค้างคืนปฏิบัติทุกวัน เอาแค่ว่าอาทิตย์ละครั้ง ครั้งละ 2 ชั่วโมงครึ่ง เป็นเวลา 8 อาทิตย์ แต่เขาก็มีการบ้าน คือทุกวันให้ไปทำเอง เจริญสติวันละ 40 นาที
พอครบ 8 อาทิตย์ เขามาดูว่ามีความแตกต่างอย่างไร ระหว่างคนที่กินยากับคนที่เจริญสติ พบว่าได้ผลใกล้เคียงกัน หรือว่าเกือบจะเท่าๆกันเลย คือความวิตกกังวลลดลง 20 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ฝรั่งเขาศึกษา ละเอียด คิดเป็นตัวเลข เจริญสติ 8 อาทิตย์ อาทิตย์ละครั้ง ครั้งละ 2 ชั่วโมงครึ่ง แล้วก็ทำที่บ้านวันละ 40 นาที เทียบกับคนที่กินยาทุกวัน ปรากฏว่าความวิตกกังวลลดลงพอๆกัน
ซึ่งจะว่าไปแล้วเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะว่าเจริญสติไม่มีผลข้างเคียงอะไรเลย แต่ว่าการกินยาผลมีข้างเคียงเยอะ บางคนกินยาไม่ได้เพราะผลข้างเคียงเยอะ บางคนก็แพ้ยา แต่ว่าเจริญสติไม่มีผลข้างเคียง มีแต่ผลพลอยได้ หรือว่าผลเพิ่มเติม คือนอกจากความเครียดลดลงแล้ว นอกจากความวิตกกังวลลดลงแล้ว ก็สามารถทำงานทำการได้ดีขึ้น มีสมาธิทำงานทำการได้ดีขึ้น นอนหลับได้ดีขึ้น
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าช่วยลดความทุกข์ ลดกิเลสได้ด้วย เพราะว่าถ้าเราเจริญสติเป็น มาดูใจ เห็นกิเลส เห็นความโลภ ไม่ปล่อยให้มันครอบงำใจ ชีวิตก็มีความสุขได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องไปวิ่งเต้นไล่ล่าหาเงิน หรือว่าไต่เต้าเอาดี ช่วยทำให้ชีวิตมีความผาสุกมากขึ้น อันนี้ไม่เรียกว่าผลข้างเคียง แต่เรียกว่าเป็นผลพลอยได้ หรือผลเพิ่มเติม
การศึกษานี้ทำให้มีน้ำหนักว่า สำหรับคนที่มีความวิตกกังวล ถ้าหากว่ากินยาไม่ได้หรือไม่ชอบกินยา ก็มาเจริญสติ มาเข้ากลุ่มทำสมาธิด้วยกัน
ซึ่งในต่างประเทศอย่างในอเมริกา การที่จะมาเข้ากลุ่มนั่งสมาธิก็ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ เพราะบางแห่งบางที่ก็ต้องเสียเงิน เสียเงินค่าสถานที่ เสียเงินค่าอาจารย์วิทยากร แต่ถ้าเกิดว่าวิธีการนี้เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ต่อไปบริษัทประกันภัยหรือบริษัทที่รับประกันสุขภาพ เขาก็อาจจะยอมรับในการใช้วิธีนี้บำบัด พร้อมจะจ่ายเงิน
ทุกวันนี้เขาจ่ายเงินเฉพาะคนที่ไปหาหมอไปกินยา แต่ว่าใครไปนั่งสมาธิเนี่เขาไม่จ่าย แต่ถ้าเขาพบว่าหรือยอมรับว่า การทำสมาธิช่วยลดความวิตกกังวลได้ ต่อไปเขาก็อาจจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ด้วย เท่ากับส่งเสริมให้คนไปใช้วิธีการบำบัดด้วยการเจริญสติ เพื่อลดความเครียดความวิตกกังวล แล้วต่อไปก็เอาไปใช้ในการลดความซึมเศร้าได้
ลดการซึมเศร้าเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน ซึ่งอย่างที่บอก เดี๋ยวนี้เขามีวิธีการบรรเทาโรคซึมเศร้าด้วยวิธีการหลายอย่าง ให้ไปออกกำลังกาย ให้ทำกิจกรรมที่ใช้เรี่ยวใช้แรงใช้มือใช้ไม้ เช่นวาดรูป หรือว่าปลูกต้นไม้ หรือแกะสลักไม้ หรือวาดภาพ ต่อไปเขาอาจจะมาใช้วิธีการเจริญสติ แต่ไม่ใช่เข้าคอร์ส เข้าคอร์สอาจจะหนักไป หรือเกิดผลเสียได้สำหรับคนที่วางใจไม่เป็น
แต่ว่ามาเข้ากลุ่มสมาธิอาทิตย์ละครั้งนี้มันเป็นไปได้ มันง่ายกว่า อาทิตย์ละครั้ง ครั้งละ 2 ชั่วโมงครึ่ง มีคนมักจะบ่นว่ากินยามันง่ายกว่า ไม่ต้องใช้เวลา ใช้การเจริญสติต้องไปใช้เวลาวันละ 40 นาที หรือไปเข้ากลุ่มบำบัดเข้ากลุ่มสมาธิครั้งละ 2 ชั่วโมงครึ่ง ไม่มีเวลา ทำงานเยอะ
แต่ที่จริงถ้าหากว่าพูดถึงการจัดสรรเวลา ก็ไม่ใช่เป็นเวลาที่มากอะไร แทนที่จะหมดเวลาไปกับความทุกข์ มีเวลาให้กับความทุกข์ได้ มีเวลาให้กับความโศกความเศร้าความเครียดความวิตกกังวลได้ แต่ทำไมมีเวลาให้กับการเติมสติให้ใจ เติมความรู้สึกตัวให้ใจ แต่ทำไมไม่หาเวลาให้ หรือไม่คิดจะมีเวลา
มีคนบอกว่าการเจริญสติทำได้อย่างไร มีความคิดเยอะไปหมดเลย บางคนเข้าใจว่าต้องไม่มีความคิด หรือความคิดต้องสงบ จึงจะทำสมาธิได้ ที่จริงตรงกันข้าม ถึงมีความคิดก็เจริญสติได้ ทำสมาธิได้ แล้วมันก็ดีด้วยถ้าหากว่าฝึกให้รู้ทันความคิด
แล้ววิธีที่เขาแนะนำก็เป็นวิธีที่ง่าย คือให้ตามลมหายใจ แล้วก็ให้ทำใจอ่อนโยนต่อความคิด นุ่มนวลต่อความคิด ไม่ใช่ว่าไม่มีความคิดเลย ไม่ใช่ว่าไปไล่ตะปบขับไล่มัน แต่ว่าอ่อนโยนกับมัน แล้วก็รู้จักปล่อยวาง
ถ้าเราฝึก แทนที่จะไปกดข่มจิตไม่ให้คิด หันมาฝึกให้รู้จักอ่อนโยนกับความคิด เห็นมันเกิดขึ้น ดูมันดับไป อันนี้แหละเป็นวิธีการปฏิบัติได้ที่ไม่ยาก
การตามลมหายใจที่เขานำมาใช้ในการศึกษาวิจัย เขาใช้วิธีสแกนตามร่างกาย สแกนไปตามสมอง ศีรษะ คอ ไหล่ บ่า ท้อง ค่อยๆไล่ไปเรื่อยๆ แล้วก็ผ่อนคลาย คือมีสติรู้กาย แล้วก็ให้จิตมันแล่นไปตามกาย ด้วย ความรู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งก็ไม่ยากอะไรเลย
เพราะฉะนั้นถ้าจะเอาวิธีนี้มาใช้สำหรับคนทั่วไป จะช่วยลดความเครียดลดความวิตกกังวลได้มาก ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเครียด มันมีอยู่เป็นธรรมดา แต่ว่ามันจะลดลง แล้วก็ใช้ชีวิตตามปกติ หรือใช้ชีวิตให้มดีขึ้นได้.