แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เดี๋ยวนี้ไปที่ไหน ๆ ผู้คนก็มักจะพูดว่า "เดี๋ยวนี้อยู่ยาก" แล้วคนที่พูดนี่เรียกว่าทั้งหมดเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่เป็นคนเจ็บคนป่วย ไม่ใช่เป็นคนพิการ แล้วก็ไม่ใช่เป็นคนแก่เฒ่า บางคนก็ยังหนุ่มยังสาว หลายคนก็ยังอยู่ในวัยทำงาน ที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น บางคนก็อยู่ในช่วงวัยกลางคน แล้วทั้งหมดนั่นดูไปแล้วก็มีชีวิตที่สะดวกสบาย สะดวกสบายกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย หรือสะดวกสบายกว่าสมัยที่ตัวเองยังเด็กยังเล็ก แต่ทำไมจึงบอกว่าหรือบ่นว่าชีวิตเดี๋ยวนี้มันอยู่ยาก แล้วมันก็น่าแปลกนะ คนสมัยก่อนหรือแม้แต่ชาวบ้านทุกวันนี้ ก็ไม่ค่อยมีใครบ่นว่าเดี๋ยวนี้มันอยู่ยาก ทั้ง ๆ ที่คนเหล่านี้ชีวิตก็ไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่ ยิ่งถ้าเป็นสมัยก่อนหรือว่าเมื่อ 40-50 ปีที่แล้วนี่ มันลำบาก ไปไหนมาไหนก็ต้องเดินเอา ไม่มีไฟฟ้าใช้ น้ำประปาก็เข้าไม่ถึง อาหารการกินก็ลำบาก แต่คำว่าอยู่ยาก ๆ นี่ไม่ค่อยได้ยิน เพิ่งมาได้ยินก็ช่วงระยะหลังนี่แหละ จากคนที่มีชีวิตที่สะดวกสบาย
สะดวกสบายก็เพราะว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวก มีอุปกรณ์ทุ่นเวลา เดี๋ยวนี้จะไปไหนก็ไม่ต้องเดินแล้ว นั่งรถหรือขับรถ แม้แต่จะกินนี่ก็ไม่ต้องไปตลาดเลยด้วยซ้ำ สั่ง grab มาส่ง เอาอาหารมาส่ง สั่งไลน์แมน เอาอาหารมาส่ง อาหารที่ไหนก็เลือกได้ทั้งนั้น รสชาติหลากหลาย ยิ่งมีโทรศัพท์มือถือด้วยแล้ว ชีวิตมันสะดวกสบายมากเลย จะไปหาใครก็ไม่ต้องแล้ว โทรศัพท์เอา จะไปซื้อของก็ไม่ต้องถ่อไปด้วยตัวเอง สั่งซื้อออนไลน์ แต่ก่อนจะไปเบิกเงินธนาคารก็ต้องไปถึงธนาคาร เดี๋ยวนี้ถอนเงินออนไลน์ โอนเงินทางออนไลน์ มันสะดวกสบายอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน แต่ทำไมจึงบอกว่าอยู่ยาก
ที่ยากนี่ก็คงไม่ใช่ความยากทางกาย ทางกายนี่มันสะดวกสบาย แต่ที่ยากนี่คงเป็นความยากทางจิตใจ มีความเครียด มีความวิตกกังวล มีความกลัดกลุ้มใจ พวกนี้ต่างหากที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้มันอยู่ยาก แล้วจะว่าไปแล้วที่อยู่ยากนี่ มันก็มีส่วนสัมพันธ์กับความสะดวกสบาย บางทีเราอาจจะพูดไม่ถูก ว่าทำไมทั้งที่สะดวกสบาย หลายคนจึงบอกว่าอยู่ยาก ที่จริงต้องพูดว่าเป็นเพราะสะดวกสบายต่างหาก จึงอยู่ยาก เป็นเพราะสะดวกสบายมากขึ้นเรื่อย ๆ ชีวิตจึงอยู่ยาก พูดอย่างนี้ได้เพราะอะไร ก็เพราะว่าความสะดวกสบายมันไม่ใช่ได้มาฟรี ๆ มันต้องซื้อเอา ต้องมีเงินเพื่อซื้อรถซื้อบ้าน ยิ่งบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงาน หรือว่าใกล้ แหล่งคมนาคม ยิ่งราคาแพง คอนโดมิเนียมเดี๋ยวนี้ถ้าอยู่ในย่านที่เป็นทำเลดี ใกล้ที่ทำงาน ก็ต้อง 10 ล้าน รถยนต์ก็เหมือนกัน แม้แต่สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น อุปกรณ์เทคโนโลยี โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ iPod iPad อะไรต่ออะไรที่มันนำความสะดวกสบายมาให้ มันล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงินซื้อทั้งนั้นแหละ
แล้วจะมีเงินซื้อความสะดวกสบายได้ ก็ต้องทำงาน อยากได้ความสะดวกสบายมากก็ต้องทำงานหนัก ก็ต้องเลือกหางานที่มีรายได้สูง ซึ่งนั่นก็หมายถึงการต้องแข่งขันกันมากขึ้น แล้วก็ทำงานหนักมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลงานคุ้มค่ากับเงินเดือนที่เขาให้ บางคนก็ทำงาน 6 วันหรือ 7 วันเลยใน 1 สัปดาห์ เพราะว่างานที่ทำเป็นงานดี เงินเดือนสูง ยิ่งกว่านั้นจะต้องตื่นแต่เช้า บางทีตื่นตี 4 ตี 5 รีบไปทำงานแต่เช้า เพราะว่า ไม่อย่างนั้นรถติด แม้จะขับรถก็ต้องเจอรถติดบนทางด่วน ถ้าตื่นสาย กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึก ถ้าไม่เพราะทำงานเยอะ มีเรื่องติดพันมาก ก็เพราะรถมันติด แล้วเดี๋ยวนี้ตัวเองสะดวกสบายไม่พอ ลูกหลานก็ต้องสะดวกสบายด้วย หรือมีอนาคตที่ถูกวาดเอาไว้ หวังเอาไว้ว่าจะสะดวกสบายขึ้นในวันข้างหน้า นั่นก็หมายความว่าจะต้องพยายามหาทางทำให้ลูกได้เรียนโรงเรียนดัง ๆ โรงเรียนอินเตอร์ได้ยิ่งดี เพื่อให้ลูกมีอนาคตที่สดใส ชีวิตจะได้สบาย อันนี้มันทำให้ผู้คนต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อแลกความสะดวกสบาย ต้องแข่งขันกันมากขึ้น เพื่อจะได้มีเงินมากพอที่จะซื้อ หรือว่ารักษาความสะดวกสบายให้มันยืนยาวต่อเนื่องไปถึงลูกถึงหลานเลยทีเดียว
แล้วเดี๋ยวนี้เราไม่ได้ทำเพื่อความสะดวกสบายเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับหลายคนก็คือว่าสะดวกสบายอย่างตอนนี้ยังไม่พอ อยากจะสะดวกสบายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน หรือว่าอยากจะมีเหมือนคนอื่นเขา หรือยิ่งกว่านั้นคือรวยกว่าคนอื่นเขา ตรงนี้มันก็ทำให้ต้องแข่งขันกันหนักขึ้น ทำงานหนักขึ้น ถ้าสะดวกสบายอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันก็ยังพอทำเนา แต่พออยากจะสะดวกสบายมากขึ้น เพราะเห็นคนอื่นเขามี หรือว่าอยากจะรวยยิ่งกว่าเขา จะได้สะดวกสบายยิ่งกว่าเดิม มันก็ต้องทำงานหนัก เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าเป็นเพราะความสะดวกสบาย ที่ทำให้คนทุกวันนี้อยู่ยาก มันไม่ใช่ว่าทั้ง ๆ ที่สะดวกสบาย ทำไมจึงอยู่ยาก แต่ที่จริงมันเป็นเหตุเป็นผลกันเลย เพราะความสะดวกสบาย หรือเพราะปรารถนาความสะดวกสบาย เราจึงอยู่ยากขึ้น
แล้วยิ่งกว่านั้นเดี๋ยวนี้เราไม่ได้ต้องการแค่ความสะดวกสบายเท่าเดิม หรือมากกว่าเดิม หรือมากกว่าคนอื่น เรายังต้องการอย่างอื่นด้วย ต้องการอินเทรนด์ อยู่ในกระแสหรือว่าต้องการเกาะกลุ่ม เดี๋ยวนี้วัยรุ่นหนุ่มสาวนี่ต้องการเกาะกลุ่มมากเลย นั่นหมายความว่าใครมี เราก็ต้องมีบ้าง ไม่ให้น้อยหน้าคนอื่น ต้องทัดเทียมกับเขา มันเป็นเรื่องของหน้าตา บางทีไม่ได้ต้องการแค่เกาะกลุ่มนะ แต่ต้องการโดดเด่นกว่าคนอื่น และนี่ก็เป็นเรื่องหน้าตา เรื่องสถานภาพ พอเราต้องการอะไรที่มากกว่าความสะดวกสบาย เช่น สถานภาพ ชื่อเสียง ก็ต้องยิ่งทำงานหนักขึ้น บางคนเป็นหนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จไม่พอ อยากจะเป็นนักการเมือง จะได้โดดเด่น หรือว่าทำงานก็มีเงินพอใช้อยู่แล้ว แต่ว่ายังไม่ได้เป็นหัวหน้า ยังไม่ได้เป็นผอ. มันไม่ได้ มันต้องเป็นให้ได้ ก็เลยต้องดิ้นรนขวนขวายไขว่คว้า มันก็เลยเหนื่อย มันก็เลยอยู่ยากขึ้น ก็เลยเต็มไปด้วยความเครียด ความวิตกกังวล
และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้คนเดี๋ยวนี้รู้สึกว่าอยู่ยาก ก็คือการไม่รู้จักตัวเอง ตรงนี้คนไม่ค่อยได้มองเท่าไหร่ ไปคิดว่าที่มันอยู่ยากเพราะต้องดิ้นรน ต้องแข่งขัน ชีวิตต้องเร่งรีบ ข้าวของแพง อันนั้นก็จริงอยู่ แต่ว่าที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ก็คือการที่เราไม่รู้จักตัวเอง เริ่มตั้งแต่เราไม่รู้ว่าเราต้องการอะไรจากชีวิต หรืออะไรคือสิ่งที่มีคุณค่า มีความสำคัญต่อชีวิต เราไปคิดว่าการมีเงินมีทอง การมีสถานภาพ หรือว่าความร่ำรวยหรือความสะดวกสบาย คือสาระสำคัญของชีวิต เราก็เลยทุ่มเทพลังงาน เวลา รวมทั้งสละความสุข แม้กระทั่งความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในครอบครัว ก็เพื่อสิ่งเหล่านี้ ได้มาแล้วก็ไม่มีความสุข หรือว่ายังสุขไม่พอ ยังอยากได้อีก โดยที่สิ่งที่ได้มามันไม่ได้ตอบโจทย์ หรือสนองความต้องการส่วนลึกของจิตใจเลย
คนเราไม่ว่าจะต้องการสะดวกสบายแค่ไหน สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราขาดไม่ได้คือความสงบใจ หรือความสงบเย็น และความสงบที่ว่ามันไม่ได้เกิดจากการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สงัดหรือเงียบสงบ อันนั้นก็สำคัญอยู่ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า พึงนอนและนั่งในที่อันสงัด อันนี้ก็เป็นข้อหนึ่งในโอวาทปาฏิโมกข์ พึงนอนและนั่งในที่อันสงัด แต่ทั้งหมดนี้เพื่อนำไปสู่ความสงบในจิตใจ หรือความสงบเย็น ถ้าหากว่าจิตใจมันไม่พบความสงบเย็น แม้อยู่ในที่ที่สงัด ไร้เสียง ก็ยังรู้สึกกระสับกระส่าย รู้สึกไม่เป็นสุข คนจำนวนไม่น้อยก็หนีไปอยู่ในที่ที่ไม่มีเสียงรบกวน เสียงดัง ไปอยู่รีสอร์ทที่ไกลจากผู้คน แต่ก็สงบชั่วคราว เสร็จแล้วก็ว้าวุ่นขึ้นมาใหม่ ว้าวุ่นในจิตใจ เพราะอะไร เพราะว่าความอยาก ความวิตกกังวล มันรบกวน
สงบที่แท้คือสงบจากความอยาก ถ้าเรายังมีความอยากอยู่เรื่อยไป มันหาความสงบได้ยาก แล้วเดี๋ยวนี้มันก็มีสิ่งกระตุ้นให้เราอยาก สิ่งล่อเร้าเย้ายวนมันเยอะแยะไปหมดเลย โดยเฉพาะจากโทรศัพท์มือถือ แต่ก่อนสิ่งที่ล่อเร้าเย้ายวนเรามันก็จากโทรทัศน์ ซึ่งเราก็เปิดดูเป็นบางเวลา กลับมาบ้านจึงเปิดโทรทัศน์ เจอโฆษณาที่เขากระตุ้นให้เราอยากโน่นอยากนี่ แต่พอมาเข้านอนหรือไปทำงาน ไม่มีโทรทัศน์ดู สิ่งล่อเร้าเย้ายวนก็น้อยลง แต่เดี๋ยวนี้สิ่งล่อเร้าเย้ายวนมันตามเราไปทุกที่เลยนะ เพราะมันมากับโทรศัพท์มือถือ แล้วมันไม่ได้มากับโฆษณาโต้ง ๆ อย่างเดียว มันมากับโซเชียลมีเดีย เห็นคนอื่นเขามี เราก็อยากมีบ้าง เห็นเพื่อนเขาไปเที่ยว เราก็อยากเที่ยวบ้าง เห็นเขาไปกินอาหารร้านดัง เราก็อยากกินอย่างนั้นบ้าง แล้วก็รู้สึกเสียใจที่เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเราต้องทำงาน เพราะเราต้องดูแลลูก เราต้องดูแลพ่อแม่ เกิดความคับข้องใจ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่รบกวนความสงบในจิตใจอีกอย่างหนึ่ง
นอกจากสงบจากความอยากแล้ว เราต้องสัมผัสกับความสงบจากความวิตกกังวล จากความคับแค้นใจ ซึ่งมันก็ไปด้วยกัน ความอยาก ความวิตก หรือความกลัว ยิ่งอยากอะไร ก็กลัวว่าจะไม่ได้อย่างที่อยาก มันไปด้วยกันเลย ความอยาก ความกลัว หรือความวิตกกังวล ไม่ว่าอยากอะไรมันก็จะวิตกว่าจะไม่ได้สิ่งนั้น อยากได้ตำแหน่ง อยากเลื่อนขั้น อยากสอบให้ได้ ก็กลัวว่าจะไม่ได้สิ่งนั้น เกิดความวิตกกังวล และพอไม่ได้ก็คับแค้นใจ นอกจากสงบจากความอยากแล้ว หรือสงบจากความวิตกกังวลแล้ว สิ่งหนึ่งที่จิตใจเราต้องการก็คือสงบจากความรุ่มร้อน ความรุ่มร้อนส่วนหนึ่งก็เกิดจากความอยาก พอมีสิ่งล่อเร้าเย้ายวน อยากขึ้นมามันก็รุ่มร้อน แต่มันไม่ใช่แค่นั้น นอกจากสิ่งเย้ายวนแล้ว สิ่งยั่วยุมันก็ทำให้เรารุ่มร้อนเหมือนกัน เพราะมันยั่วยุให้เราโกรธ ยั่วยุให้เราเกลียด ยั่วยุให้เราไม่พอใจ ซึ่งเดี๋ยวนี้มันก็มีมาเรื่อย ๆ จากโซเชียลมีเดีย จากโทรศัพท์มือถือ
เดี๋ยวนี้ใครใช้โซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊กก็ดี ไลน์ก็ดี บางทีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกรุ่มร้อน เพราะเห็นข้อความหรือข่าวบางอย่าง บางทีก็แชร์กันไปแชร์กันมา แชร์ข่าวที่มันทำให้เกิดความโกรธ เกิดความหงุดหงิด โดยเฉพาะช่วงที่การเมืองไม่นิ่ง หรือว่ามีการความขัดแย้งกันทางการเมือง แต่ก็ไม่ใช่แค่นั้น บางทีก็รุ่มร้อนเพราะว่าคำพูดคำจาของเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเดี๋ยวนี้มันก็แพร่หลายกันได้ง่ายเหลือเกิน ผ่านโซเชียลมีเดีย ผ่านไลน์ คนเราถ้าหากว่าไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับความสงบจากความรุ่มร้อน มันก็ต้องอยู่ยากเป็นธรรมดา
แล้วที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง สงบจากความฟุ้งซ่าน อันนี้คือสิ่งที่รบกวนจิตใจผู้คนมาก ทำให้นอนไม่หลับ ทำให้กระสับกระส่าย ความสะดวกสบายที่มี มันไม่ได้ช่วยทำให้ฟุ้งซ่านในจิตใจมันลดน้อยลงเลย มันกลับทำให้เพิ่มมากขึ้น ที่จริงเวลาเราพูดถึงความว้าวุ่นฟุ้งซ่าน มันก็หนีไม่พ้นความอยากก็ดี ความวิตกกังวลก็ดี หรือว่าความหงุดหงิด ความเกลียดชัง หรือว่าความรุ่มร้อน และทำยังไงให้จิตใจไม่ได้พบกับความสงบจากสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นความอยาก ความวิตกกังวล ความเครียด ความรุ่มร้อน ความว้าวุ่นฟุ้งซ่าน เราจะหลบไปที่ไหนมันก็ตามแต่เราไปทุกที่ จนกว่าเราจะรู้จักหันมาดูแลจัดการกับตัวเราเอง โดยเฉพาะจิตใจของเรา
อันนี้คือความสำคัญว่าทำไมเราต้องรู้จักตัวเอง เพราะถ้าเราไม่รู้จักตัวเอง มันก็ยากที่จะพบกับความสงบในจิตใจ ถึงแม้ว่าจะได้รับความสำเร็จ ได้รับความสะดวกสบาย มีหน้ามีตา ได้รับคำยกย่องสรรเสริญชื่นชม เรตติ้งสูง มีคนกดไลค์ให้มาก แต่ว่าภายในไม่พบความสงบเลย บางทีมันก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไมนะ เพราะว่ามันทำให้เป็นทุกข์เหลือเกิน และที่ว่าอยู่ยาก ๆ ก็เพราะเหตุนี้แหละ เราไม่ได้พบ ไม่ได้สัมผัสกับ ความสงบในจิตใจ เพราะถูกความเครียดมันกลุ้มรุมเล่นงาน ถูกความอยากมันบีบคั้นใจ
การที่เรากลับมารู้จักตัวเองมันสำคัญนะ ในด้านหนึ่งพระท่านก็สอนให้เรารู้จักลดความอยาก หรือว่ารู้จักพอใจในสิ่งที่มี ทุกวันนี้เราสะดวกสบายมาไม่น้อยแล้ว ถ้าเรารู้จักพอใจในความสะดวกสบาย หรือว่าพอใจสิ่งที่มียินดีสิ่งที่ได้ การที่จะได้พบกับความสงบจากความอยาก มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่าพร้อม ๆ กับความรู้จักพอ สิ่งหนึ่งที่สำคัญ ก็คือการที่เรารู้จักเท่าทันความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้น อยู่ในสังคมทุกวันนี้มันก็ยากที่จะไม่เกิดความอยาก เพราะเป็นสิ่งเย้ายวนเยอะ และไม่ใช่ว่ามันจะง่ายที่ เราจะห่างไกลจากความเครียด ความวิตก หรือว่าความโกรธเกลียด ความหงุดหงิด เพราะมันมีสิ่งที่ยั่ว ๆ อยู่เรื่อย ๆ
ในด้านหนึ่งเราก็ต้องรู้จักควบคุมคุมการเสพข้อมูลข่าวสาร เพื่อไม่ให้สิ่งเย้ายวนแลยั่วยุมันมารบกวน หรือก่อความปั่นป่วนในจิตใจ แต่เราต้องการมากกว่านั้น หรือเราควรจะมีอะไรมากกว่านั้น อย่างที่บอกคือการรู้ทันความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้น เราห้ามไม่ให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ หรือเราห้ามมันได้ยาก ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชน เวลาตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง หรือว่าได้อ่านข้อความ ได้เห็นโฆษณา หรือว่าได้ยินคนเขาพูดจาตำหนิติเตียนหรือต่อว่าด่าทอ มันก็ย่อมเกิดความโกรธ มันก็ย่อมเกิดความไม่พอใจ หรือ แม้จะเป็นสิ่งดี ๆ ที่มากระทบตา มันก็ทำให้เกิดความอยาก อยากได้เหมือนคนอื่นเขา แต่ถ้าหากว่าเรามีสมรรถนะในการรู้ทัน ความคิดและอารมณ์เหล่านี้มันก็ทำอะไรเราได้ยาก
สมรรถนะที่ว่าคือการรู้ทันความคิดและอารมณ์ เกิดจากอะไร เกิดจากสติ ฉะนั้นถ้าเรามีสติมากพอ สติที่ฝึกไว้ดีแล้ว แม้มันจะมีความคิดและอารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้น มันก็มารบกวนหรือรังควานจิตใจเราได้ยาก มันช่วยทำให้เรารู้จักปล่อยรู้จักวางความคิดและอารมณ์ได้เร็วขึ้น และต่อไปมันก็ช่วยทำให้เราไม่ปล่อยใจลอยฟุ้งซ่าน จนกระทั่งไปครุ่นคิดนึกถึงแต่สิ่งที่ทำให้เกิดความโกรธ เกิดความโมโห ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็น เรื่องที่ผ่านไปแล้ว หรือไม่ไปหมกมุ่นจนทำให้เราเกิดความวิตกกังวล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น คือเป็นอนาคต ถ้าเรารู้จักกำกับใจให้อยู่กับปัจจุบัน มันก็ทำให้เรามีสมาธิกับการทำงานได้ดีขึ้น สิ่งที่จะมาทำให้ใจเราวอกแวก แม้มันจะมี แต่มันก็มีอิทธิพลต่อจิตใจเราน้อยลง และแม้จะมีความวิตกกังวลเวียนเข้ามา ผ่านเข้ามาในจิตใจ แต่เราก็รู้ทัน แล้วก็ไม่หลง จะเรียกว่าไม่หลงเชื่อมันก็ได้ หรือไม่หลงผลัดเข้าไปในความคิดและอารมณ์เหล่านั้น
อันนี้คือสิ่งที่ช่วยทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น คือรู้จักในระดับของจิตใจ ที่จริงมันทำให้เรารู้ ไม่ใช่แค่รู้จิตใจหรือรู้ใจอย่างเดียว มันทำให้เรารู้กายด้วย กายทำอะไรก็รู้ ใจคิดนึกอะไรก็รู้ อันนี้คือการรู้จักตัวเองในอีกระดับหนึ่ง คือไม่ใช่รู้เพียงแค่ว่าชีวิตเราอยู่เพื่ออะไร หรืออะไรคือสิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิตของเรา อะไรคือสิ่งที่มีความหมายสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตของเรา แต่มันยังหมายถึงการที่เรารู้เนื้อรู้ตัว รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ใช่แค่รู้ว่ากายกำลังทำอะไร แต่รู้ใจว่ากำลังคิดนึกอะไร รู้ว่ากำลังมีอารมณ์ใดเกิดขึ้น และไม่ปล่อยให้มันเข้ามาครอบงำจิตใจ สิ่งนี้มันช่วยทำให้เราเกิดความสงบได้ สงบจากความอยาก สงบจากความเครียด สงบจากความฟุ้งซ่าน สงบจากความว้าวุ่น หรือความรุ่มร้อน
บางทีเวลาพูดถึงความสงบ หลายคนนึกถึงสมาธิ แต่อย่าไปมองข้ามสติเด็ดขาดเลยนะ เพราะสติมันสำคัญมาก มันทำให้เราสามารถที่จะรับมือกับอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ เราอาจจะห้ามความคิดไม่ได้ และเราห้ามได้ยากด้วย แต่เราสามารถที่จะทำให้ความคิดนั้นไม่มารบก วนจิตใจได้ ก็เพราะเรามีสติ รู้ทันความคิด รู้จักปล่อยรู้จักวาง แล้วถ้าทำอย่างนี้ได้ชีวิตมันจะอยู่ง่ายขึ้น ในด้านหนึ่งเราจะไม่เป็นทาสของความสะดวกสบาย เราจะไม่ยอมทุ่มเทอะไรต่ออะไรหลายอย่าง เพื่อแลกความสะดวกสบาย ทั้งที่สิ่งที่เสียไปนั้นมันมีค่า เราจะไม่เป็นทาสของความสะดวกสบาย และขณะเดียวกัน เราก็จะพบกับความสบายที่ใจด้วย ไม่ใช่แค่สบายกายอย่างเดียว ใจก็สบายด้วย สบายเพราะเบา สบายเพราะสงบ สบายเพราะว่ามันไม่มีอะไรมารบกวน ไม่มีอะไรที่ต้องแบกต้องยึด มารู้จักกับความสบายแบบนี้บ้าง อันนี้มันจะช่วยทำให้การอยู่ในโลกนี้มันง่ายขึ้น มันจะไม่ยากเหมือนเดิม.
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 1 ธันวาคม 2565