พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565
ช่วงนี้มีข่าวว่าโควิดเริ่มกลับมาระบาดใหม่ มีหลายคนที่รู้จักทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยก็ติดโควิดกัน ถึงแม้ว่าจะระบาดน้อยกว่าช่วงต้นปีหรือว่าช่วงเมษายนพฤษภาคม หรือว่าน้อยกว่าปีที่แล้ว สองปีที่แล้ว ก็วางใจไม่ได้เพราะว่าคนตายก็ยังมีอยู่ มีข่าวว่าเฉลี่ยแล้วตายวันละ 10 คน อาทิตย์หนึ่ง 70 คน เฉพาะคนที่ติดโควิดวันหนึ่งก็ 700 กว่าคน ซึ่งตัวเลขจริงๆก็น่าจะมีมากกว่านี้ไม่รู้กี่เท่า
ถ้าเป็นเมื่อปีที่แล้วหรือ 2 ปีที่แล้วหากมีการระบาดแบบนี้ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา ก็คงจะมีผลกระทบชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนมากเลย เพราะว่าราชการก็คงจะมีมาตรการเข้มงวด เช่น งดการชุมนุม งดจัดกิจกรรมที่มีคนมาชุมนุมกันมากๆ ปิดกิจการบางอย่างที่มีคนเข้ามาข้องเกี่ยวกันหลายคน หรือหนักกว่านั้นก็มีการห้ามเดินทาง มีการปิดเมืองหรือว่าปิดประเทศเลยทีเดียวอย่างเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
แต่ว่าตอนนี้มาตรการเหล่านี้ก็ไม่ได้ใช้แล้ว เพราะว่าผู้คนก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิค แต่ก่อนนี้ตอนที่โควิด แพร่ระบาดใหม่ๆที่ไหนที่ไหนก็ใช้มาตรการเดียวกันก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ปลอดโควิดหรือคนติดโควิดเป็นศูนย์ที่เรียกว่า Zero covid
อย่างเมื่อสองปีที่แล้ว เมืองไทย หลายๆประเทศก็ใช้มาตรการเข้มงวดแบบนี้ก็คือ ทำให้คนติดโควิดเป็นศูนย์ให้ได้ หรือว่าให้มันน้อยที่สุดด้วยการใช้มาตรการต่างๆ การล็อคดาว การจำกัดเดินทางโดยเฉพาะ คนที่ป่วยหรือติดโควิดก็ต้องเก็บกักตัว ใครจะมาเมืองไทยก็ต้องกักตัวอยู่ที่โรงแรมหรือสถานบริการ 14 วันเป็นต้น ตอนนี้เมืองไทยและก็ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช้มาตรการนี้แล้ว
แต่ยังมีประเทศหนึ่งที่ยังใช้มาตรการนี้อย่างเหนียวแน่นเลยคือประเทศจีน รัฐบาลยังยืนยันประกาศที่จะใช้นโยบายทำให้ประเทศปลอดโควิดให้ได้ เรียกว่า Zero covid เลยทีเดียว แล้วก็ทำอย่างหนักแน่นมั่นคงมา 3 ปีแล้ว
วิธีการก็คือ มีการตรวจ ATK ตรวจหาเชื้อตามเมืองต่างๆ บางทีทำทุกวันเลย บางเมืองคนเป็นล้าน ตรวจทุกวันเลย ใช้งบประมาณมหาศาล ถ้าเกิดเจอใครที่ติดโควิดต้องกักตัวคนที่เป็นโควิด กักคนเดียวไม่พอยังกักคนที่อยู่ใกล้เคียง จะเป็นคนร่วมงาน ครอบครัว เพื่อนบ้าน บางทีอยู่ในตึกเดียวกันก็กักหมดเลยเพื่อไม่ให้โควิดกระจายแพร่ออกไปสู้สังคมภายนอก
เท่านั้นไม่พอ บางทีต้องปิดตึกเลย ห้ามคนออก เท่านั้นไม่พอปิดเมืองเลย ห้ามคนออกจากเมือง ห้ามเข้าออก ห้ามเดินทาง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ปลอดโควิด ซึ่งก็ช่วยทำให้ลดจำนวนคนตายได้เยอะเลย คนเมืองจีนคนที่ตายเพราะโควิดนั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับประชากร
แต่ว่าคนเริ่มทนไม่ไหวแล้ว นโยบายนี้พอใช้อย่างเข้มงวด ประชาชนจำนวนมากเริ่มทนไม่ไหว เพราะว่าทำมาหากินก็ไม่ได้ จะไปเยี่ยมพ่อแม่ก็ไม่ได้ เจ็บป่วยก็ไปโรงพยาบาลไม่ได้ เพราะว่าถูกกักบริเวณ ยัง ไม่ต้องพูดถึงความรู้สึก ความเครียด ความกลัดกลุ้ม ซึ่งตอนนี้ก็ยังมีปัญหาต่อไปว่า
แล้วจะทำอย่างไรต่อไป เปิดประเทศเมื่อไหร่เชื้อโรคก็จะแพร่ระบาดกันอย่างมหาศาลทีเดียว คนก็จะล้มตายเป็นเบือ ก็เลยต้องปิดประเทศเอาไว้ก่อน แต่จะปิดนานเท่าไหร่เพราะคนก็ทนไม่ไหวกันแล้ว มีการ ประท้วงกันมากมาย ทั้งนี้เพราะว่านโยบายหรือความมุ่งหมายคือ ทำให้ปลอดโควิดให้ได้ทั้งประเทศ ซึ่งตอนนี้เริ่มพิสูจน์ได้แล้วว่าถ้าทำไปนานๆ มันไม่ไหว
ถ้าใช้นโยบายนี้สักปีสองปี แล้วค่อยเริ่มปรับเปลี่ยนจากการต่อสู้กับโควิคให้เป็นศูนย์ เปลี่ยนมาเป็นการมาอยู่กับโควิดโดยที่ไม่เจ็บไม่ป่วยอย่างที่เมืองไทยตอนนี้เปลี่ยนแล้วจาก 2 ปีที่ผ่านมาเรามีนโยบายให้ประเทศปลอดโควิด แล้วก็รู้ว่าทำอย่างนี้ไม่ได้นานทำได้ชั่วคราว เพราะว่าอย่างไรก็ต้องแพร่ระบาดจนได้ ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นการอยู่กับโควิดให้ได้โดยที่ไม่เจ็บตัวมาก
จะอยู่กับโควิดได้อย่างไรโดยที่ไม่เดือดร้อนมาก มาตรการสำคัญก็คือฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อจะรับมือกับโควิด แต่มาตรการอื่นก็ยังไม่ทิ้ง ใส่หน้ากากอนามัย หรือว่าเว้นระยะห่าง รวมทั้งระมัดระวังเวลามาพบปะกันชุมนุมกัน หลีกเลี่ยงการมั่วสุม ระมัดระวังการคลุกคลี อันนี้ก็ยังต้องทำอยู่
แต่สิ่งสำคัญก็คือการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อจะอยู่กับโควิดได้ เพราะว่าตอนนี้ทั่วโลกยกเว้นประเทศจีน ยอมรับแล้วว่ยังไงก็หนีโควิคไม่พ้น ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันหรือปรับตัวอยู่กับมันให้ได้ ถ้าหากว่าไปตั้งเป้าว่าจะต้องเอาชนะโควิดให้ได้ โควิดเป็นศูนย์ อันนี้ก็คงจะเกิดความเสียหายมากอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศจีน เศรษฐกิจก็เริ่มแย่ เย่หนักขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนก็เครียดมาก เดือดร้อนมากเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองก็เริ่มจะไม่นิ่งแล้ว
อันนี้ก็สะท้อนความจริงว่า เชื้อโรคมันไม่มีทางที่เราจะเอาชนะมัน ชนิดที่ว่าทำให้มันสูญหายไปจากโลกหรือว่าทำให้ชีวิตเราปลอดจากเชื้อโรคได้ สมัยก่อนเขาเคยเชื่อว่าเราจะเอาชนะเชื้อโรคได้โดยเฉพาะเชื้อโรคติดเชื้อ เพราะว่าเรามีวัคซีน มียาปฏิชีวนะสารพัด
แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าทั้งหมดนี้มีข้อจำกัด เพราะว่าเชื้อโรคมีการพัฒนาไปได้เรื่อยๆ มีการกลายพันธุ์ไปเรื่อยๆ อย่างโควิดเห็นได้ชัดมันกลายพันธุ์ไปได้เรื่อยๆ เหมือนกับหวัดกลายพันธุ์ไปได้เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้ชีวิตเราปลอดจากเชื้อโรค หรือทำให้สิ่งแวดล้อมของเราปลอดจากเชื้อโรค มันยาก เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือปรับตัว เพื่อที่จะอยู่กับมันอย่างที่เรียกว่าสันติก็ได้ หรืออย่างที่ไม่เดือดร้อน มาก ซึ่งอันนั้นก็คือการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายของเรา
ที่จริงทุกวันนี้การที่เราไม่เจ็บป่วยมันไม่ใช่เป็นเพราะว่าไม่มีเชื้อโรคอยู่ในร่างกายของเราเลยน่ะ มันมีเชื้อโรคหลายตัวอยู่ในร่างกายของเราแต่ว่าเราไม่เจ็บไม่ป่วย อย่างเช่นเชื้อวัณโรค มันอยู่ในร่างกายของคนเราเรียกว่าทั่วโลกเลย มีคนประมาณว่า 1 ใน 3 ของประชากรโลกหรือประมาณ 2,000-3,000 ล้านคนมีเชื้อวัณโรคอยู่ในตัว แต่ทำไมไม่ล้มป่วย มีคนแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่ล้มป่วย ถ้าคิดเป็นจำนวนคนก็ 1 หรือ 2 หรือ 3 ล้านคน เป็นสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับ 2 พันล้านคนที่มีเชื้อวัณโรค
ที่ไม่ป่วยเพราะอะไร เพราะว่ามีภูมิคุ้มกัน จะให้ร่างกายมันปลอดเชื้อ มันยาก แต่สิ่งที่เราทำได้คือมีภูมิคุ้มกัน พอเรามีภูมิคุ้มกันแล้ว เชื้อโรคเข้ามาในร่างกายอย่างไร เราก็ยังพอจะรับมือกับมันไหว อันนี้หมาย ถึงเชื้อโรคจำนวนมาก แต่เชื้อโรคบางชนิดเราก็ยังไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอ อย่างเช่น covid หรือว่าโรคเอดส์ HIV เข้ามาเมื่อไหร่ แทบจะร้อยทั้งร้อยก็ต้องป่วยเพราะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
แต่โรคจำนวนมากเข้ามาในร่างกายของเรา เราก็ไม่ได้ล้มป่วย รวมทั้งหวัดด้วย หลายคนก็มีเชื้อหวัดแต่ว่ามีเชื้อหวัดเข้ามาในร่างกาย แต่ไม่ป่วยเพราะว่าเรามีภูมิคุ้มกัน จริงๆแล้วผู้รู้ยังบอกว่าเซลล์มะเร็งก็เกิดขึ้นในร่างกายของคนเราจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ที่ผู้คนจำนวนมากไม่เป็นมะเร็งก็เพราะว่ามีภูมิคุ้มกันคุมเอาไว้อยู่ทำให้เซลล์มะเร็งไม่แพร่หลายมาก แต่ถ้าภูมิคุ้มกันเกิดพร่องเมื่อไหร่เซลล์มะเร็งก็จะแพร่จนกระทั่งกลายเป็นมะเร็งไปเลย
เพราะฉะนั้นในโลกที่เต็มไปด้วยเชื้อโรค มันหวังไม่ได้ที่จะให้ร่างกายเราปลอดเชื้อหรือว่าบ้านเราปลอดเชื้อ แต่สิ่งที่เราทำได้คือเรียนรู้หรือปรับตัวที่จะอยู่กับมันโดยสร้างภูมิคุ้มกัน เชื้อโรคฉันใด ความทุกข์ก็ฉันนั้น จะให้ชีวิตของเราปลอดจากความทุกข์เลยนั้นเป็นไปไม่ได้
มีคนจำนวนไม่น้อย คาดหวังว่าชีวิตจะปลอดทุกข์ได้ เวลาอวยพร เวลาอธิษฐานก็บอกว่า ขอให้ไม่เจ็บไม่ป่วย ขอให้ไม่ประสบความทุกข์ความยาก ไม่ประสบอุปสรรค ไม่เจอเสนียดจัญไร ขอให้ไม่รู้จักคำว่าไม่มี ทั้งหมดนี้เกิดจากความคาดหวังว่า เราจะทำให้ชีวิตของเราปลอดจากความทุกข์ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ชีวิตของเราอย่างไรๆก็ต้องเจอทุกข์ จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่
สิ่งสำคัญก็อยู่ที่ว่าเรามีการเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อที่จะรับมือความทุกข์ได้ พ่อแม่จำนวนไม่น้อยเวลาเลี้ยงลูกก็จะออกแบบชีวิตของลูก ชนิดที่ว่าจะไม่เจอความทุกข์เลย ออกแบบชีวิตของลูกเพื่อไม่ให้เจอความทุกข์เลย เริ่มตั้งแต่เรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง อาจจะเริ่มตั้งแต่เข้าเรียนอนุบาลเพื่อจะได้มีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ แล้วก็จะได้มีอาชีพที่มั่นคง มีความสำเร็จในอาชีพการงาน
รวมทั้งดูแลจัดการสุขภาพของลูกประเภทว่าไม่ให้มีเชื้อโรคเลย ไม่ให้ยุงไต่ ไม่ให้ไรตอม ไม่ให้ลูกเจอความยากลำบาก ออกแบบชีวิตของลูก ออกแบบสิ่งแวดล้อมของลูกไม่ให้เกิดทุกข์เลย แม้แต่เสี่ยง เจอทุกข์ก็ไม่ยอมให้มีความเสี่ยง ชีวิตแบบนี้เป็นชีวิตที่อันตราย เป็นชีวิตที่เสี่ยงมากเลย ถ้าหากว่าพ่อแม่ตั้งใจให้ลูกมีชีวิตที่ไม่มีความเสี่ยงเลย กลับทำให้ลูกมีชีวิตที่มีความเสี่ยงมาก เพราะว่ายังไงๆมันก็จะต้องเจอความทุกข์
เหมือนกับพ่อแม่ที่พยายามดูแลสุขภาพอนามัย ไม่ให้ลูกมีเชื้อโรคเลย อนามัยจัดมาก ไม่ให้แตะต้องอะไรที่จะมีเชื้อโรค ไม่ให้เล่นทราย ไม่ให้เล่นดิน ไม่ให้เล่นน้ำคลอง เพราะว่ามีเชื้อโรค ในอาหารต้องมีการกำจัดเชื้ออย่างดี แต่สุดท้ายลูกก็ป่วยโน่นป่วยนี่ เพราะอะไร เพราะไม่มีภูมิคุ้มกัน แล้วก็หนีเชื้อโรคไม่พ้น
ฉันใดก็ฉันนั้น เชื้อโรคเราหนีไม่ได้ฉันใด ความทุกข์เราก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงมันได้ฉันนั้น ชีวิตเราก็ต้องเจอกับความทุกข์ ไม่ว่าจะในรูปของโลกธรรมฝ่ายลบ เสื่อมลาภเสื่อมยศ ถูกนินทาว่าร้าย หรือว่าเจอรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่ไม่น่าพอใจที่เรียกว่าอนิฏฐารมณ์ ชีวิตเราแต่ละคนไม่มีทางที่จะหนีทุกข์พ้น
เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเราจะรับมือกับความทุกข์ได้อย่างไร ก็คือเราต้องมีภูมิคุ้มกัน แต่ไม่ใช่มีภูมิคุ้มกันเชื้อโรคแต่เป็นภูมิคุ้มกันความทุกข์ ภูมิคุ้มกันโรคเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย แต่ภูมิคุ้มกันความทุกข์นั้นก็คือการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับจิตใจ
ภูมิคุ้มกันในร่างกายเรามันเกิดจากอะไร มันเกิดจากการเจอเชื้อโรค บางทีก็ต้องฉีดวัคซีนเข้าไป วัคซีนเป็นเชื้อโรคอ่อนๆ เมื่อร่างกายเราเจอเชื้อโรคที่มาจากธรรมชาติหรือว่ามาจากวัคซีนก็ทำให้เรามีภูมิคุ้มกันโรค
ภูมิคุ้มกันใจเพื่อป้องกันความทุกข์ก็เหมือนกัน เราจะมีภูมิคุ้มกันความทุกข์ได้ ก็ต่อเมื่อเราเจอความทุกข์บ่อยๆ การเจอความทุกข์มันทำให้เราเกิดภูมิคุ้มกันขึ้นมาในจิตใจ คนที่เจอความผิดหวังอยู่เรื่อยๆ เขาก็จะมีภูมิคุ้มกันความผิดหวัง พอเจออะไรไม่ได้ดั่งใจ ก็จะไม่ตีอกชกหัว ไม่ตีโพยตีพาย เพราะว่าเขามีภูมิคุ้มใจ ภูมิคุ้มใจอาจจะเกิดจากความอดทน เพราะว่าเจอความผิดหวังมาเยอะ จิตใจก็เลยมีความอดทน อันนี้เรียกว่าขันติ มีความอดทนในรูปของขันติ คนที่เจอความทุกข์บ่อยๆ เขาจะมีความอดทนจนกระทั่งเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
เมื่อ 10 ปีก่อนมีสารคดีที่ทำขึ้นมา เป็นรายการคนค้นคน เขาทำเรื่องราวของย่ายิ้ม ย่ายิ้มไปใช้ชีวิตอยู่บนเขาแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก แต่ก่อนลูกๆก็ไปอยู่กับย่ายิ้มด้วย ทำไร่ทำนา แต่ตอนหลังคงคิดว่าชีวิตลำบากก็เลยลงมา ก็คงเหลือแต่ย่ายิ้ม ย่ายิ้มก็ปลูกผักหาหญ้า ปลูกข้าวด้วย ก็อยู่บนเขา เฉพาะวันพระจึงจะลงจากเขาโดยเฉพาะช่วงเข้าพรรษา ลงจากเขามาเข้าวัด อายุ 80 ลงเขาไม่ใช่เรื่องง่าย
พอผ่านวันพระเสร็จ ก็เดินขึ้นเขา บางทีก็มีรถช่วยขับไปส่ง ขนข้าวขนพริกขึ้นไป ย่ายิ้มอยู่คนเดียวบนเขาแล้วก็อยู่อย่างมีความสุข มีคราวหนึ่งพิธีกรถามว่า เดินจากเขามาวัด มันไกล มันลำบากโดยเฉพาะเวลาฝนตก ย่ายิ้มไม่เหนื่อยหรือ แกตอบว่าก็มันเคยเสียแล้ว พูดจบก็ยิ้ม
พิธีกรก็ถามว่าอยู่บนนั้นคนเดียว เกิดเจ็บป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร ย่าก็ตอบว่า ก็มันเคยเสียแล้ว พูดง่ายๆก็คือ ไม่เป็นไรหรอก พิธีกรถามว่าถ้าเกิดว่าลงเขาไม่ได้เพราะฝนตกหนัก ข้าวก็หมด ต้องขุดหัวกลอยกิน แล้วจะอิ่มหรือ จะไหวหรือ ย่ายิ้มก็ตอบเหมือนเคยว่า ก็มันเคยเสียแล้ว พูดง่ายๆก็คือว่าเจออะไร ก็ไม่ได้ทำให้ย่ายิ้มเป็นทุกข์เลย เป็นเพราะว่าเคยเจอมาหมด การที่เจอความทุกข์มา เจอความยากลำบากมา ก็ทำให้ย่ายิ้มมีภูมิคุ้มกันในจิตใจ ก็เลยไม่ทุกข์ เจอทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์ เพราะว่าจิตใจเข้มแข็ง มีความอดทนอันนี้เรียกว่าขันติ
นอกจากขันติแล้ว ภูมิคุ้มใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ สติ สติมันช่วยรักษาใจไม่ให้ความทุกข์มาครอบงำจิตใจเวลาเจอสิ่งที่ไม่สมหวัง ไม่เป็นดั่งใจ ความผิดหวังก็ไม่สามารถมาครอบงำจิตใจได้ เวลามีคนมาต่อว่าด่าทอ ความโกรธความน้อยใจก็ไม่สามารถครอบงำจิตใจได้ เวลาสูญเสีย พลัดพราก ความเศร้าก็ไม่สามารถที่จะบีบคั้นใจได้
ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีความเศร้า ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีความโกรธ ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีความหงุดหงิดรำคาญใจ มีแต่ว่ามันไม่สามารถที่จะทำร้ายจิตใจได้ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นหรืออารมณ์อกุศลที่เกิดขึ้นในใจ ไม่ใช่ว่าพอมันเกิดขึ้นแล้ว จะลงเอยด้วยการที่ทำให้เราเป็นทุกข์ อยู่ที่ว่ามันจะครอบงำใจเราได้หรือเปล่า และสิ่งที่ทำให้มันครอบงำใจไม่ได้ก็คือสติ สติช่วยทำให้รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น
แม้ว่าอารมณ์นั้นจะเป็นอารมณ์อกุศล เป็นความทุกข์ เป็นความโกรธ เป็นความเครียด เป็นความเศร้า เป็นความกังวล เกิดขึ้นก็จริงแต่ว่าไม่อาจจะทำร้ายจิตใจได้ เพราะว่ามีสติ เป็นเครื่องรักษาใจ ที่จริงสติรักษาใจด้วยการที่รู้ทัน ไม่ใช่เป็นเกราะที่จะรักษาใจ แต่ว่าเป็นตาในมากกว่า ที่ทำให้เห็นที่ทำให้รู้ว่ามีอารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้น เมื่อรู้แล้วก็ไม่เข้าไปยึด ไม่เข้าไปเป็น หรือพูดอีกอย่างหนึ่งไม่ปล่อยให้มันมาครอบงำใจเข้ามา
อันนี้มันก็คล้ายๆกับภูมิคุ้มกันในร่างกายของเรา ที่พอมีเชื้อโรคเข้ามา ก็จัดการกับเชื้อโรคเหล่านั้น เพียงแต่ว่าภูมิคุ้มกันในร่างกายเข้าไปทำร้ายร่างกาย แต่ว่าภูมิคุ้มกันใจโดยเฉพาะสติ มันก็ไม่ถึงกับไปทำลายไปเล่นงานอารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยตรง มันเพียงแต่ไม่ทำให้อารมณ์เหล่านั้นเข้ามาครอบงำใจ
แต่ในขณะเดียวกันการที่รู้ทันอารมณ์เหล่านั้น และกลับมารู้เนื้อรู้ตัว รู้สึกตัว พูดง่ายๆก็คือสติ มันก็ทำให้อารมณ์เหล่านั้นมันตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะว่ามันอยู่ได้ด้วยความหลง เหมือนไฟอยู่ได้เพราะออกซิเจนออกซิเจนดับไป ไฟก็ดับ ความหลงหมดไป อารมณ์เหล่านี้มันก็ดับไปด้วยเหมือนกัน
และที่ความหลงหมดไปเพราะมีความรู้สึกตัวที่เกิดขึ้นจากการที่มีสติรู้ทันอารมณ์ความคิดเหล่านั้น อันนี้เป็นภูมิคุ้มกันที่สำคัญมาก มันเป็นตัวที่ทำให้เกิดระยะห่าง ระหว่างจิตกับอารมณ์ ไม่ปล่อยให้จิตเข้าไป คลอเคลียกับอารมณ์จนเข้าไปเป็น เวลานี้เราพูดถึงการวางระยะห่าง ระยะห่างจากผู้คนที่อาจจะติดเชื้อเพื่อ Social distancing
การวางระยะห่างทางด้านความสัมพันธ์ คือไม่เข้าใกล้เกินไป ทำให้ไม่ติดเชื้อ ทำนองเดียวกันสติทำให้เกิดระยะห่างภายใน ที่ทำให้ความทุกข์เข้ามาครอบงำใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราตระหนักชัดแล้วว่า ในเมื่อเราหนีไม่มีทุกข์ไม่พ้น โดยเฉพาะทุกข์ที่เป็นโลกธรรมฝ่ายลบ ที่เป็นอนิฏฐารมณ์ ที่เกิดจากความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ประสบกับสิ่งที่ไม่รัก เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์ ไม่ใช่หนีมัน แต่อยู่กับทุกข์ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ เพราะว่าใจมีเครื่องรักษาเรียกว่าคุ้มใจ สิ่งนั้นคือขันติ สิ่งนั้นคือสติ
และที่สำคัญคือปัญญา ปัญญาที่เห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง เห็นว่ามันเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง หรือเห็นว่ามันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันไม่เที่ยงที่จะยึดมั่นถือมั่นได้ หรือว่ามีปัญญาเพียงแค่รู้ว่า มีกับหมด ได้กับเสีย พบกับพราก เจอกับจากเป็นของคู่กัน เวลามีก็ไม่ดีใจ
เพราะฉะนั้นเวลาหมดก็ไม่เสียใจ เวลาได้ก็ไม่ได้ดีใจ เพราะเวลาเสียก็ไม่เสียใจ เวลาพบก็ไม่ลิงโลด เวลาพรากก็จะไม่เศร้าโศก เวลาใครชมก็ไม่หลงใหลปราบปลื้ม เวลาใครเขาตำหนิก็ไม่ทุกข์ อันนี้คือเห็นธรรมดาของโลกว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง อันนี้เรียกว่าเป็นปัญญาเป็นภูมิคุ้มใจ รักษาใจของเราไม่ให้ทุกข์ได้.