พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565
อาทิตย์ที่แล้วมีการประชุมระดับนานาชาติที่สำคัญมาก ไม่ได้หมายถึงประชุมเอเปค ประชุมเอเปคนี้ยังเกี่ยวข้องกับไม่กี่ประเทศในเขตเอเชียแปซิฟิก และเน้นแต่ด้านเศรษฐกิจ แต่ว่าการประชุมที่ว่าเป็นการประชุมที่เกี่ยวพันกับอนาคตของโลกเลยทีเดียว มีตัวแทน ประเทศที่เข้าประชุมถึงสองร้อยกว่าประเทศ นั่นคือการประชุมเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมโลก หรือ พูดให้เจาะจงคือประชุมเกี่ยวกับปัญหาโลกร้อน
บางทีก็เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก แต่คำว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ดูไม่ชัดเจน แต่ถ้าพูด ถึงโลกร้อน หลายคนก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเรื่องใหญ่
อาทิตย์ที่แล้วมีการประชุมที่ว่า ที่จริงก็ไม่ได้ประชุมแค่อาทิตย์เดียว เอเปคประชุมแค่สามสี่วัน แต่การประชุมที่เรียกสั้น ๆ ว่า COP27 ที่ประเทศอียิปต์ ประชุมสองอาทิตย์ แล้วก็ไม่สามารถจะยุติตามกำหนดได้ ต้องขยายเวลาไปอีกสองวัน เพิ่งได้ข้อสรุปเมื่อวาน (๒๐ พฤศจิกายน)
การประชุมครั้งนี้สำคัญอย่างไร อย่างที่เราทราบโลกกำลังร้อนขึ้นทุกทีๆ โลกร้อนก็หมายถึงปัญหานานาชนิดที่จะตามมา เช่น น้ำท่วม ฝนแล้ง คลื่นความร้อนที่แพร่กระจาย รวมทั้งระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ยังไม่นับปัญหาอีกมากมายที่ตามมาเช่น การปลูกพืชและการ ผลิตอาหารก็จะได้รับผลกระทบกระเทือน สัตว์น้ำที่เคยเป็นอาหารของมนุษย์ก็จะลดน้อยถอยลง โรคระบาดก็จะมากขึ้น
เรื่องนี้รู้กันมานานเกือบสามสิบปี แล้วความรู้ก็เพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นแต่ละอย่างๆ ก็ทำให้รู้ว่าปัญหานี้น่ากลัวมาก น่าวิตกยิ่งกว่าเดิม เขาก็เลยตั้งเป้าเมื่อหลายปีที่แล้วว่า ถ้าจะบรรเทาปัญหาโลกร้อนจะต้องควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพราะก๊าซนี้ทำให้โลกร้อน เรียกว่าก๊าซเรือนกระจก ซึ่งไม่ใช่มีแค่คาร์บอนไดออกไซด์ ยังมีก๊าซชนิดอื่นด้วยเช่น มีเทน
แต่คาร์บอนไดออกไซด์สำคัญมาก ซึ่งเกิดขึ้นจากการเผาน้ำมัน การใช้ถ่านหิน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำคัญ และจำเป็นต่อเศรษฐกิจของโลก แต่เดี๋ยวความจำเป็นก็ลดลง เพราะมีพลังงานอื่นมาทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม เป็นต้น ซึ่งไม่ทำให้มีก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น
เขาจึงตั้งเป้าว่า จะต้องควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ได้ คือไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยเทียบกับเมื่อสองร้อยปีก่อน คือก่อนจะมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยตั้งกรอบเวลาว่า จะต้องไม่ให้เกิน ๑.๕ องศาภายในปี ๒๐๕๐ หรือ ๒๘ ปีข้างหน้า หาไม่แล้วจะเกิดวิกฤติที่รุนแรงเกินกว่าที่จะทำอะไรได้ ดังนั้น 1.5 องศาจึงเป็นเป็นเป้าสำคัญ
อย่างไรก็ตามถึงวันนี้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นราว1.3 องศาไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้ก็แน่นอนว่า เมื่อถึงปี ๒๐๕๐ อุณหภูมิโลกจะเพิ่มมากกว่า ๑.๕ องศาอย่างแน่นอน อาจไปถึง ๒ องศาเลยก็ได้
มีความคาดหวังว่าการประชุมครั้งนี้จะมีข้อตกลงร่วมกันทั้งโลกว่าจะลดการเผาน้ำมัน และการเผาถ่านหินอย่างจริงจัง เพื่อคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาแต่ผลที่ออกมาจากการประชุมครั้งนี้ไม่ได้ทำให้มีความหวังเลย เพราะว่าไปคุยกันเรื่องอื่นเสียเยอะโดยเฉพาะเรื่องที่ว่า จะจ่ายเงินชดเชยให้กับประเทศที่เดือดร้อนจากปัญหาโลกร้อนอย่างไรบ้าง เช่นปากีสถานซึ่งปีนี้เจอน้ำท่วมหนัก และบางประเทศก็โดนน้ำทะเลท่วมไปแล้ว ประเทศเหล่านี้ไม่ได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากมาย เพราะเป็นประเทศยากจน แต่ต้องมารับกรรม
ตัวการสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้นก็คือประเทศอุตสาหกรรม หรือประเทศที่ร่ำรวยซึ่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากมายมาตลอด ๒๐๐ปี แต่ตอนนี้ประเทศยากจนกลับต้องรับกรรมไป เขาจึงบอกว่า ประเทศร่ำรวยต้องจ่ายค่าชดเชยให้ฉันนะ ตกลงกันได้เมื่อวานนี้เอง แต่ที่ยังไม่ได้คุยกันจริงจังเลยก็คือ แล้วจะลดการเผาน้ำมัน การเผาถ่านหินกันอย่างไร รวมทั้งทำอย่างไรจะปลูกป่าให้มากขึ้นเพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ตอนนี้มีการคาดการณ์ว่า มีโอกาส 50:50 หรือครึ่งครึ่งที่อุณหภูมิโลกจะเพิ่มถึง 1.5 องศา หรือมากกว่านั้นภายในเวลาห้าปี ซึ่งหมายความว่า ถึงตอนนั้นเราจะทำอะไรไม่ได้ เพราะสายเกินไปแล้ว
คำถามสำคัญตอนนี้คือทำอย่างไร เราจะสามารถคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาภายในปี ๒๐๕๐ เเต่ตอนนี้ทำท่าจะไม่มีความหวัง เพราะว่าประชุมรอบที่ผ่านมา ไม่มีการพูดเรื่องนี้จริงจัง ไม่มีความก้าวหน้าจากปีที่แล้ว การประชุมปีที่แล้วมีข้อตกลงชัดเจนว่าจะลดการใช้ถ่านหิน ถ้าปีนี้มีการตั้งเป้าว่าจะงดใช้ถ่านหินเลยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โลกก็ยังจะมีหวัง แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีการพูดกันเลย
ก็น่าเป็นห่วงนะ เพราะไม่มีข้อตกลงระดับโลกเลย แต่ก็พอจะมีข่าวดีอยู่บ้าง อย่างบราซิลซึ่งได้ประธานาธิบดีคนใหม่ เขาประกาศเลยว่า ในอีก 8 ปีข้างหน้านี้ การทำลายป่าอเมซอนจะเป็น 0 แต่นี้ก็เป็นแค่คำประกาศของประเทศเดียว ไม่มีข้อตกลงร่วมกันของนานา ประเทศในประเด็นนี้หรือประเด็นอื่น ๆ โดยเฉพาะการเผาน้ำมันและการใช้ถ่านหิน ตอนนี้ก็เลยหวังว่าปีหน้าจะมีการคุยเรื่องอย่างนี้จริงจัง แต่เวลาก็เหลือน้อยลงอย่างที่บอก พูดได้ว่าตอนนี้เวลาไม่คอยท่าแล้ว
อันนี้ก็บอกเล่าเพื่อให้รับรู้เอาไว้ เพราะว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับคนทั้งโลก เกี่ยวพันกับเรา เกี่ยวพันกับลูกหลานของเรา จะมาสนใจแต่เรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียวก็ไม่พอ เพราะว่าตอนนี้โลกเหมือนกับรถที่กำลังวิ่งไปสู่หน้าผา เราจะช่วยกันชะลอรถไม่ให้ตกหน้าผาได้ อย่างไร ตอนนี้มันยากมากแต่ก็ต้องรับรู้เอาไว้