พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565
มีสามสิ่งที่มักจะเป็นตัวผลักดันขับเคลื่อนชีวิตของคนเรา รวมทั้งความเป็นไปของโลกภายนอกหรือโลกรอบตัว นั่นก็คือ โลภ โกรธ หลง ซึ่งมันพาผู้คนไปประสบกับความทกข์หรือการสร้างความทุกข์ให้แก่กันและกัน โดยวนเวียนอยู่กับเรื่องเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ทีแรก ก็ได้ลาภก่อนแล้วก็เสื่อมลาภ ได้ยศแล้วก็เสื่อมยศ สรรเสริญแล้วก็นินทา สุขแล้วก็ทุกข์ ที่เราเรียกว่า โลกธรรม ๘
คือสิ่งที่นำพาผู้คนไปเจอความทุกข์ และเกี่ยวข้องกันไปในทางที่ผิดพลาด สร้างความทุกข์ให้แก่กันและกัน อันนี้คือสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากหนังสือธรรมะหรือจากพระไตรปิฎก ที่ท่านได้พรรณนาถึงกิเลสตัณหาที่นำพาผู้คนไปสู่การแก่งแย่ง แข่งดี ขับเคี่ยวกัน
อันที่จริง สิ่งที่ผลักดันผู้คนให้หมุนเวียนเกี่ยวข้องกันไปในทางที่ก่อความทุกข์ นอกจากเราจะเรียนรู้ผ่านหนังสือธรรมะ หรือพระคำภีร์ หรือพระไตรปิฎกอย่างเรื่องราวในชาดกแล้ว เรายังสามารถเรียนรู้ได้จากนิยาย นิยายที่จำลองความเป็นไปของผู้คนซึ่งมีมากหน้า หลายตา นอกจากเราจะเห็นกิเลสของผู้คนที่นำพามนุษย์เรามาขับเคี่ยวกันแล้ว บางทีเราก็ได้เห็นสัจธรรมความจริงของชีวิตได้ อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือเปล่า หรือว่าเราจะเห็นแต่ความสนุกสนาน หรือเก็บเกี่ยวแต่ในสิ่งที่มันเป็นด้านลบด้านร้ายของมนุษย์
อย่างสามก๊ก เป็นนิยายที่จำลองนิสัยหรือธรรมชาติ หรือบางทีก็เรียกว่าสันดานของมนุษย์ ซึ่งไม่ว่าจะผ่านมากี่พันปีก็แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย เวลาอ่านสามก๊กเราจะเห็นเลยนะ เรื่องของการชิงไหวชิงไหวต่อสู้ขับเคี่ยวกันเพื่อมีอำนาจ เพื่อสนองกิเลสตัณหา ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยความโลภ โกรธ หลง แล้วก็มีแง่มุมบางแง่มุมที่มันให้ข้อคิดเตือนใจเราได้ดี อย่างเช่นอุบายที่ต่างฝ่ายต่างใช้เพื่อทำลายคู่ต่อสู้ เราได้เห็นเลยนะว่าเขาใช้อุบายต่างๆ อย่างไรบ้าง
วิธีหนึ่งก็คือ การใส่ร้ายหรือปล่อยข่าวลือ เพราะต้องการกำจัดฝ่ายตรงข้าม ก็มีการปล่อยข่าวใส่ร้ายว่า คนนี้เป็นคนทรยศ ฝักใฝ่ฝ่ายตรงข้าม หรือเป็นสายของศัตรู หรือคิดการใหญ่ก่อการกำเริบ จะก่อกบฏ แล้วคนที่หลงเชื่อข่าวพวกนี้เขาจะหาทางกำจัด ซึ่งก็กลาย เป็นการเข้าทางของฝ่ายตรงข้าม อันนี้เขาเรียกว่า ยืมมือฝ่ายตรงข้ามมากำจัดศัตรู ซึ่งใช้บ่อยเลยนะ วิธีการปล่อยข่าวลือ กระซิบเป่าหู ใช้อุบายต่างๆ เพื่อให้เกิดการเข้าใจผิด หรือยุแยงเสี้ยมให้เกิดความระแวงถึงขั้นทำร้ายกัน ประหัตประหารกัน วิธีนี้ทำกันมานานแล้ว แต่ยังใช้ได้อยู่ในทุกวันนี้
อีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ แทนที่จะใช้วิธีหลอกลวง อำพรางตัวเองในการปล่อยข่าวลือหรือใส่ร้าย กลับแสดงตัวเปิดเผยเลยนะ แสดงตัวเปิดเผยด้วยการเขียนจดหมายด่าหรือเยาะเย้ย วิธีนี้ขงเบ้งใช้หลายครั้ง แล้วได้ผลด้วย อย่างตอนที่ก๊กเล่าปี่กับก๊กซุนกวนร่วมมือกัน เพื่อจะสู้กับโจโฉซึ่งส่งกองทัพกำลังพลนับแสนมาล้อมเมืองกังตั๋ง ขงเบ้งกับจิวยี่ซึ่งเป็นแม่ทัพของก๊กซุนกวน ก็ร่วมมือกันในการเผากองทัพเรือของโจโฉ จนกระทั่งพินานศวายวอดในศึกที่เรียกว่า ศึกเซ็กเพ็ก แต่พอกำจัดทัพโจโฉได้ ฝ่ายจิวยี่ก็คิดจะหาทางกำจัดเล่าปี่ และคณะ แต่ไม่สำเร็จเพราะขงเบ้งรู้ทัน ขงเบ้งก็พาเล่าปี่หนีกลับไปตั้งหลัก
พอปลอดภัยแล้ว ขงเบ้งก็เขียนจดหมายมาถึงจิวยี่ เริ่มแรกก็ล้อเลียนหรือเยาะเย้ยว่า “ขอบคุณนะที่ท่านได้ส่งทหารกองสังหารมาพิทักษ์พวกข้าพเจ้า แต่บังเอิญพวกข้าพเจ้ากลับเมืองก่อนกะทันหัน ก็เลยไม่ได้รบกวนทหารสังหารของท่าน ข้าพเจ้าขอบคุณท่านมากนะ ที่ส่งทหารมาช่วยพิทักษ์ ก็อยากจะตอบแทนคุณของท่านด้วยการบอกข่าวว่า ตอนนี้โจโฉกำลังจะยาตราทัพไปตีบ้านเกิดของท่าน เพราะหมายในตัวคนรักของท่าน โจโฉเตรียมจะเชยชมคนรักของท่านแล้ว เพราะเขาเป็นคนมักมากในกาม ขอให้ท่านเตรียมตัวได้เลยนะ”
พอเขียนเท่านี่้แหละ จิวยี่โกรธแค้นมาก ปรากฏว่ากระอักเลือดแล้วก็ล้มป่วย จนไม่นานก็ตายสมความปรารถนาของขงเบ้ง
ตอนหลัง ขงเบ้งก็ใช้วิธีนี้อีกกับแม่ทัพของโจโฉชื่อ อองลอง ซึ่งอองลองก็ฟ่ายแพ้ทัพขงเบ้ง แต่ขงเบ้งไม่พอใจอยู่เท่านั้น เลยเขียนจดหมายไปเยาะเย้ยอองลองว่า
“ท่านไม่น่าจะเดือดร้อนเลยในการทำศึกสงคราม เพราะท่านอายุมากแล้ว อายุ ๗๖ นี่ควรเป็นเวลาพักผ่อนของท่าน ไม่ควรออกมายกทัพจับศึกเลย ทหารเก่าจวนตายอย่างท่านเนี่ยควรจะพักผ่อนมากกว่า เพราะกำลังวังชาความสามารถของท่านมันแทบไม่เหลือแล้ว แต่ท่านก็ไม่เจียมสังขาร ยังพากองทัพมาสู้รบกับพวกข้าพเจ้า แล้วพวกท่านนี้หาได้เจียมตัวไม่ว่า มารับใช้คนที่เป็นอธรรม คือโจโฉ ตัวท่านเองก็ใช่ย่อยนะ เป็นคนที่ตีสองหน้า เป็นคนทรยศเนรคุณต่อผู้มีพระคุณ ขณะที่พระเจ้าเหี้ยนเต้ชุบเลี้ยงท่านมา แต่แทนที่ท่านจะมีความสำนึกในบุญคุณของพระเจ้าเหี้ยนเต้ กลับฝักใฝ่โจโฉ ซึ่งโจโฉก็ยึดอำนาจมาจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ โดยที่ท่านก็ให้ความร่วมมือ นับว่าท่านเป็นคนเนรคุณมาก
“ท่านเองก็ใกล้ตายแล้ว อีกไม่นานท่านก็ต้องไปปรโลก แล้วท่านจะมองหน้าบรรพชนของท่านได้อย่างไร ในเมื่อท่านเป็นคนอตัญญู เป็นคนที่ไม่มีธรรม รับใช้ผู้ที่เป็นคนเลวร้าย ถ้าหากมารดาของท่านรู้ว่า ท่านเป็นผู้ประพฤติชั่วเลวทรามแบบนี้ ก็คงบีบคอท่านตั้งแต่ ท่านยังเป็นทารกแล้ว ไม่ปล่อยให้ท่านเกิดมาแล้วทำอาการกำเริบเสิบสานแบบนี้ ท่านจะไปเจอหน้ามารดาของท่านได้อย่างไร ยังมีหน้าจะไปเจอมารดา สบตามารดาของท่านในปรโลกได้หรือ มีทางเดียวเท่านั้นคือ ท่านควรไปจะเกิดเป็นสุนัขมากกว่า”
อองลองได้อ่านจดหมายก็โกรธมาก หัวใจวายตายคาที่เลย สำเร็จประโยชน์ของขงเบ้ง
หลังจากนั้นขงเบ้งก็ทำอย่างนี้อีกกับแม่ทัพโจจิ๋นของก๊กโจโฉ โจจิ๋นนั้นพ่ายแพ้ทัพขงเบ้งทั้งที่มีกำลังพลเป็นแสน แต่เจอกองทัพจำนวนหยิบมือของขงเบ้งใช้สติปัญญาความสามารถ ทำให้น้ำท่วมทัพของโจจิ๋นเสียหายไปเยอะ คนตายไปมาก โจจิ๋นล้มป่วยเลยนะ แต่ขงเบ้งไม่พอใจเท่านั้น ก็เลยเขียนจดหมาย หรือบางสำนวนเขาก็ว่าไปด่าต่อหน้าเลย ในระหว่างที่ประจันหน้ากัน บอกว่า
“ที่ท่านป่วยซมไม่ใช่เพราะพิษไข้หรอก แต่เพราะท่านกลัวว่า ท่านจะรอดจากการถูกตัดหัวได้อย่างไร ในเมื่อพาผู้คนนับแสนมาล้มตายแบบนี้ ท่านเองเป็นคนที่ไม่มีสติปัญญาเลย สติปัญญาหนาทึบ ไม่รู้การศึกสงคราม ตำราพิชัยสงครามก็ไม่ได้เจนจัด แต่ที่ขึ้นมาเป็นแม่ทัพได้เพราะซื้อตำแหน่ง คนที่เป็นแม่ทัพเขาต้องหยั่งรู้ฟ้าดิน รู้หนทางน้ำ หนทางลม ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานของพิชัยสงคราม แต่ท่านหามีความรู้ไม่ จึงพาทหารล้มตายเป็นจำนวนมาก
“แล้วทหารเหล่านี้ก็ก่นด่าท่าน แต่ท่านจะได้ยินได้อย่างไร เพราะสมองในศีรษะของท่านมันมีเพียงแค่น้อยนิด ท่านจะรับรู้ถึงความทุกข์ของผู้คนได้อย่างไร ท่านเองไม่มีความสามารถเลยในการศึกสงคราม ปัญญาหนาทึบ แม้ใครสอนก็ไม่ฟัง แม้ใครแนะนำก็ไม่เชื่อ ท่านทำการศึกสงครามพ่ายแพ้ยับเยินแบบนี้ ท่านนึกหรือไม่ว่าประวัติศาสตร์จะจารึกชื่อท่านว่าอย่างไร และหากท่านไปปรโลกเมื่อไหร่ ท่านคงไม่มีความสุขหรอก เพราะประชาชนจะไปที่หลุมศพท่าน แล้วถ้มน้ำลายใส่หลุมศพท่าน ไม่ต่างจากน้ำที่ท่วมทัพทหารของท่าน”
โจจิ๋นอ่านจบ หัวใจวายเลย เพราะแค้นมาก ถูกเหยียดหยาม ถูกด่า หัวใจวายตายคาที่เลย
ต่อมา ขงเบ้งทำศึกสงครามกับสุมาอี้ ยกทัพไปแแต่สุมาอี้ไม่ยอมออกสู้รบด้วย ปิดประตูเมือง ขงเบ้งท้ายังไงก็ไม่ยอมออกมา แล้วทำยังไง ก็ใช้วิธีเดิมคือ เขียนจดหมายถึงสุมาอี้ที่เป็นแม่ทัพในก๊กของโจโฉ บอกว่า “ข้าพเจ้าขอส่งชุดเสื้อผ้าสตรีมาให้ท่าน หวังว่าชุดนี้จะเหมาะกับตัวท่าน ธรรมดาชายชาติทหารเมื่อมีศึกมาประชิดเมือง ก็ย่อมออกไปต่อสู้ เมื่อมีอริมาท้าทายก็ย่อมไม่นิ่งเฉย แต่การที่ท่านนิ่งเฉยไม่ออกมาสู้รบ นับว่าเสียศักดิ์ศรีมาก สมควรที่จะสวมชุดสตรีนี้ เพราะอากัปกิริยาของท่านมันไม่ต่างจากผู้หญิงที่กลัวแดดกลัวฝน กลัวความทุกข์ยาก รักสวยรักงาม หวังว่าชุดสตรีนี้ท่านคงจะชอบ”
สุมาอี้อ่านแล้วหัวเราะ ไม่มีความโกรธแค้นเลย แล้วเขียนจดหมายตอบกลับไปว่า “ขอบคุณขงเบ้ง หวังว่าท่านจะมีสุขภาพแข็งแรง” ปรากฏว่าแผนของขงเบ้งไม่สำเร็จ เพราะสุมาอี้ไม่หลงกล ไม่โกรธ แต่กลับหัวเราะ สุดท้ายขงเบ้งก็ต้องเป็นฝ่ายปราชัยไปเอง เพราะ ท่ามกลางศึกนั้นในที่สุดขงเบ้งก็ตาย แต่ยังดีที่กองทัพยังพอที่จะเอาตัวรอดมาได้
จดหมายสี่ฉบับนี้ของขงเบ้ง สามฉบับได้ผล ไม่ว่าจิวยี่ อองลอง หรือโจจิ๋น อ่านแล้วก็โกรธ คนหนึ่งกระอักเลือดตาย อีกสองคนหัวใจวายตาย แต่ทำอย่างนั้นกับสุมาอี้ไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะสุมาอี้ฉลาด ไม่หลงกลศัตรู จะว่าไปก็ไม่ถือสาด้วย สิ่งที่ขงเบ้งทำคือ กระตุ้นให้โกรธ เพราะรู้ว่าความโกรธมันจะกลับมาทำร้ายเจ้าของ แล้วที่จริงทั้งสามก็คนน่าจะรู้ว่า อุบายของขงเบ้งคือมายั่วให้โกรธ โดยพยายามจับจุดที่เป็นจุดอ่อน หรือจุดที่เจ้าตัวยึดมั่นถือมั่น
อย่างจิวยี่ก็คิดว่าตัวเองฉลาด ขงเบ้งก็ต้องการชี้ให้เห็นว่าฉันรู้ทันแกนะ อีกอย่างจิวยี่ก็ไปยึดติด ไปหลงรักหญิงสาว พอมีใครมาแตะหญิงสาว จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่โจโฉจะเข้าไปหมายเชยชมคนรักของตัวเอง พอได้ยินเท่านั้นก็โกรธ เรียกว่าไปแตะจุดอ่อนหรือสิ่งที่เจ้าตัวถือเป็นเรื่องสำคัญ
ขณะที่อองลองก็ถือว่าตัวเองเป็นคนที่มีคุณธรรม เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์สุจริต แต่ดันถูกด่าว่าอกตัญญู ไม่รู้จักบุญคุณของคน ไปคบคนชั่ว แล้วจะไปดูหน้าบรรพชนได้อย่างไร คนที่ถือเรื่องนี้ก็ยิ่งโกรธ ส่วนโจจิ๋นก็ถือว่าตัวเองเป็นคนที่มีปัญหา แต่ถูกหาว่าตัวเองเป็น คนสมองทึบปัญญาทราม ก็โกรธมาก ลืมตัว ลืมไปว่าขงเบ้งเขาเขียนจดมายมาเพื่ออะไร
ที่จริงถ้าฉลาดหน่อยอย่างสุมาอี้จะรู้ว่า นี่มันแค่อุบาย แต่สามคนนี้พอถูกจี้จุดอ่อนก็โกรธขึ้นมาทันที แล้วความโกรธมันทำร้ายใคร มันทำร้ายตัวเอง ที่จริงคนที่ฉลาดมีสติก็ย่อมรู้ว่า ขงเบ้งทำอย่างนี้ก็เพื่อยุให้โกรธ เมื่อรู้ว่าศัตรูต้องการแบบนี้ จะไปโกรธสมใจเขาทำไม แต่ธรรมชาติของมนุษย์ก็เป็นอย่างนี้แหละนะ พอมีความยึดมั่นถือมั่นในอะไรบางอย่าง แล้วพอมีคนมากระทบตรงนั้น มันก็โกรธ
เรื่องนี้ก็ชี้ให้เห็นว่า สุดท้ายความโกรธมันไม่ได้ทำร้ายใครเลย มันทำร้ายตัวเอง นี่ก็เป็นข้อเตือนใจว่า คนเราเนี่ยเวลาใครที่เขาไม่หวังดีกับเราหรือมุ่งร้ายเรา ถ้าเขามาด่าเรา ก็ไม่สมควรที่เราจะเข้าทางเขา เพราะเขาต้องการให้เราโกรธอยู่แล้ว แล้วทำไมเราจะต้องไป เข้าทางเขาในเมื่อเขาเป็นศัตรู เขาไม่ได้มุ่งหวังหรือปรารถนาดีกับเรา
แต่คนส่วนใหญ่พอมีศัตรูมาว่า โกรธเลย แล้วก็เข้าทางเขา ศัตรูเขาต้องการที่จะให้เราทุกข์ ให้เรารุ่มร้อน หรือบางทีก็หัวใจวายตาย ก็ไปสนองความต้องการของเขา ทำให้เขาได้สมใจอยาก แต่คนที่มีสติ มีปัญญา เขาจะไม่หลงกล จะไม่ยอมปล่อยใจให้เข้าทางฝ่าย ตรงข้าม อย่างสุมาอี้นี่หัวเราะเลยนะ ส่วนหนึ่งเพราะสุมาอี้ไม่ใช่แค่รู้ทันอย่างเดียว แต่ว่าไม่ถือสา พอไม่ถือสามันก็ไม่โกรธ จะมาจี้จุดยังไงฉันก็เฉย เพราะรู้ว่านี่แกต้องการให้ฉันโกรธ แล้วฉันจะโกรธสมใจแกทำไม ในเมื่อแกเป็นผู้ที่มุ่งร้ายกับฉัน
อันที่จริง ถ้าหากคนเราเห็นโทษของความโกรธ เราจะไม่ปล่อยใจให้จมไปในอำนาจของความโกรธ ยกตัวอย่าง เนลสัน แมนเดลา เขาพูดดีนะ เขาบอกว่า “ความโกรธหรือความคับแค้น มันคือยาพิษที่เรากินด้วยหวังจะให้คนอื่นตาย” – ความโกรธคือยาพิษที่เรากิน เพื่อหวังให้คนอื่นตาย – เวลาเราโกรธ เราก็มุ่งร้ายหรือแช่งชักหักกระดูกอีกฝ่ายหนึ่ง “ขอให้มึงตาย ขอให้มึงตกนรก” แต่คนที่ตกนรกคนแรกคือใคร ก็คือเรานะถ้าเราโกรธ
เรากินยาพิษเพื่อให้คนอื่นตายมันแสดงถึงความโง่นะ แต่คนเราพอโกรธมันก็ขาดปัญญาแล้ว จิวยี่ซึ่งเป็นคนที่ฉลาดมาก ก็กระอักเลือดตายเพราะแผนตื้นๆ ของขงเบ้ง อันนี้เพราะความขาดสติหรือไม่ได้เข้าใจถึงธรรมชาติของคนที่เป็นศัตรูที่มุ่งร้าย ที่จริงถ้าไม่ได้ สนใจถ้อยคำของขงเบ้งอย่างที่สุมาอี้ทำ จิวยี่ก็คงจะมีอายุยืนนะ เช่นเดียวกับโจจิ๋นและอองลอง แต่เพราะไปสนใจ อันนี้แหละคือเหตุแห่งความทุกข์ เหตุแห่งความโกรธ
หลวงพ่อชา ท่านเคยพูดกับลูกศิษย์นะ “ถ้ามีคนมาว่าเราว่าเป็นหมา ท่านจะว่าอย่างไร” ลูกศิษย์คนหนึ่งบอก “เราอยู่ดีๆ มาว่าเราเป็นหมา ก็ต้องโกรธสิครับ” หลวงพ่อชาก็เลยบอกว่า “นั่นแสดงว่าท่านเป็นหมาสิ” อันนี้หลวงพ่อชาท่านกำลังจะสอนว่า อย่าไปสนใจคำด่าว่าของเขา ถ้าเขาหาว่าเราเป็นหมา แล้วเราไปสนใจ เราก็เป็นหมา
ขณะที่อาจารย์พุทธทาสท่านพูดแรงกว่านั้นอีกนะ ท่านบอกว่า “หมาเห่าอย่าเห่าตอบ เพราะถ้าเห่าตอบมันจะมีหมาเพิ่มขึ้นอีกตัวหนึ่ง” มันจะไม่ได้มีหมาแค่ตัวเดียวนะ มันมีหมาสองตัว
เรื่องนี้พระพุทธเจ้าให้ข้อคิดเตือนใจได้ดีนะ มีพราหมณ์คนหนึ่งมาตามด่าท่าน พระองค์กำลังเดินกลับเชตวัน พราหมณ์ก็เดินตามมาด่า พระองค์ก็ไม่ตอบโต้ จนกระทั่งถึงเชตวันแล้ว พระองค์ก็เลยนั่งสนทนากับเขาว่า “เคยมีคนมาหาท่านที่บ้านไหม” พราหมณ์ก็บอกว่า “มีสิ ข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นคนขาดเพื่อน ไม่ใช่เป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอก มีคนมาหาข้าพเจ้าที่บ้านอยู่เนืองๆ” “แล้วท่านทำอย่างไร” “ข้าพเจ้าก็เอาของมาต้อนรับ” พระพุทธเจ้าก็เลยถามว่า “ถ้าเขาไม่รับของของท่าน ของนั้นจะเป็นของใคร” พราหมณ์ก็ตอบว่า “ก็เป็นของ ข้าพเจ้าน่ะสิ” พระพุทธเจ้าก็เลยตอบว่า “ท่านด่าเรา แต่เราไม่รับคำด่าของท่าน คำด่าทั้งหมดก็เป็นของท่านน่ะสิ” พราหมณ์นี่อึ้งเลยนะ พูดง่ายๆ คือคำด่านี่มันจะมีผลก็ต่อเมื่อเรารับ ถ้าเราไม่รับหรือไม่ใส่ใจ มันก็ไม่มีความหมาย ไม่มีพิษสง
นี่เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของสุมาอี้กับคนอื่น สุมาอี้ถูกขงเบ้งด่ายังไง สุมาอี้ก็ไม่รับ ไม่สนใจ แถมหัวเราะ ไม่เอามาเป็นอารมณ์ แต่คนอื่นนี่เอาจริงเอาจังมาก เขาด่าว่าเป็นหมา ก็ไปรับสมอ้างว่า “เออ ฉันเป็นหมาจริงๆ” ก็เลยกระอักเลือดตายหรือไม่ก็ หัวใจวายตาย
อันนี้ก็เป็นบทเรียนสอนใจ ที่บางทีมันมีพลังยิ่งกว่าหนังสือธรรมะ เพราะเป็นภาพที่จำลองมาจากธรรมชาติของมนุษย์ ฉะนั้นถ้าเราเจอคำด่าโดยเฉพาะจากคนที่มุ่งร้าย ให้เรานึกถึงสุมาอี้เอาไว้ อย่าทำตัวเป็นจิวยี่ อองลอง หรือโจจิ๋น เพราะถ้าทำอย่างนั้น เราก็โง่เท่านั้นเอง เพราะเราไปเข้าทางเขา