พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565
เมื่อวานนี้ก็ได้พูดถึงธรรมะสำคัญหรือธรรมะพื้นฐานที่เด็กๆ ควรจะมี ซึ่งถ้ามีแล้วก็จะทำให้เด็กเป็นชาวพุทธโดยสาระ ไม่ใช่ชาวพุทธแต่ในนาม หรือว่าชาวพุทธในทะเบียนบ้าน ธรรมะที่ว่านี้ข้อหนึ่งก็คือ รู้จักคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตัวเอง แต่อย่างที่บอกไปว่าถ้าคนเรา คิดถึงคนอื่นอยู่บ่อยๆ ก็จะไม่ไปทำตัวให้เป็นภาระหรือเบียดเบียนคนอื่น หรือจะทำอีกยิ่งกว่านั้นก็คือว่า
เอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่นด้วย ซึ่งก็ทำให้การรักษาศีลของเด็กเป็นเรื่องง่าย หรือมีใจน้อมนำไปในทางนั้น
เพราะว่าศีล 5 ก็เป็นเรื่องการไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วยการกระทำและคำพูด เมื่อนึกถึงคนอื่น หรือขยายไปถึงสรรพสัตว์ ก็ไม่อยากจะไปเบียดเบียนใคร ในแง่หนึ่งก็ทำให้คุณธรรมของเด็กตั้งมั่น
แต่ว่าประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง ก็คือทำให้มีความทุกข์น้อยลง มีความสุขได้ง่ายขึ้น ถ้าคนเรานึกถึงคนอื่น โดยเฉพาะคนที่เขามีความทุกข์เดือดร้อน ประสบความยากลำบาก ดูเหมือนว่ามันขัดแย้งกันนะ คิดถึงคนอื่นแล้วเราจะมีความสุขมากขึ้น ความทุกข์น้อยลงได้ยังไง
ที่จริงคนเรา ถ้าคิดถึงแต่ตัวเองมากๆ มันทุกข์ง่าย มีความสุขได้ยาก แต่ถ้าเราหมกมุ่นกับตัวเองน้อยลง คิดถึงคนอื่นมากขึ้น อยากจะช่วยเหลือคนอื่นที่เขาทุกข์ยาก ความสุขนี่มันจะพรั่งพรูสู่ใจเราได้ง่าย หรืออย่างน้อยๆ ทำให้ความทุกข์น้อยลง โดยเฉพาะความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการหมกมุ่นกับตัวเอง
เมื่อสมัยที่อาตมายังเป็นวัยรุ่นประมาณ 50 ปีที่แล้ว มีนักร้องดังชาวฮ่องกงชื่อแอกเนสชาน แล้วก็เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นไทยด้วย เพลงของแอกเนสชานนี้ก็เปิดตามวิทยุแทบทุกวัน ชีวิตของเธอน่าสนใจ
เธอเล่าว่าตอนที่เธออายุประมาณสัก 11-12 เธอมีความทุกข์มาก เพราะว่าพ่อแม่ไม่ค่อยใส่ใจในตัวเธอเท่าไหร่ พ่อแม่มีแต่ชื่นชมลูกคนโตกับคนที่สอง ตัวเธอคนที่สี่ พี่สาวคนโตพี่สาวคนที่สองนี้หน้าตาดี เรียนเก่ง แม่ก็ชมสองคนนี้ แต่ไม่เคยพูดถึงตัวเธอเลย ชมก็ยัง ไม่ค่อยชมเท่าไหร่ เจออย่างงี้บ่อยๆ เข้า เธอก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสำคัญ เกิดปมด้อย รู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่า จิตใจก็เลยเศร้าหมอง ไม่มีความสุขเลย
แต่วันหนึ่งครูพาเธอกับนักเรียนร่วมห้องไปเยี่ยมบ้านพักคนชราบ้าง ไปเยี่ยมเด็กกำพร้าบ้าง แล้วมีครั้งหนึ่งไปเยี่ยมค่ายผู้อพยพ ผู้อพยพนี้มาจากเวียดนามตอนนั้นเกิดสงครามเวียดนาม คนเวียดนามก็อพยพทางเรือ บางทีก็ไปฮ่องกงก็กลายเป็นผู้อพยพ แล้วก็มีค่าย
เธอก็ไปเยี่ยม เห็นสภาพของคนในค่ายแล้วก็รู้สึกว่า โห น่าหดหู่ ไม่ว่าจะเป็นเด็กคนแก่ผู้ใหญ่นี้ก็อยู่อย่างลำบาก เธอเลยได้คิดเลยนะว่า มีคนที่ทุกข์กว่าเราเยอะเลย นี่เขาพลัดที่นาคาที่อยู่ เขาก็ไม่มีบ้าน อาหารการกินก็ลำบาก เพิ่งมาเห็นว่ามีคนทุกข์มากกว่าตัวเอง หรือความทุกข์ของตัวเองดูเล็กน้อยไปเลย
แต่เธอไม่ได้คิดแค่นั้น เธอทำด้วย อยากจะช่วยคนเหล่านั้น ก็เลยไปหาทางระดมเงินบริจาคจากนักเรียนด้วยกัน วิธีการก็คือว่าเล่นกีตาร์ร้องเพลงเวลาเที่ยง เพื่อรับบริจาคเงิน เอาเงินไปช่วยผู้อพยพผู้ลี้ภัยในค่าย ทีแรกก็ทำเฉพาะในโรงเรียนของเธอ แต่ตอนหลังก็ไปทำในโรงเรียนอื่นด้วย ระดมเงินด้วยการร้องเพลงเล่นกีต้าร์ เธอก็ทำอยู่เป็นปี
แล้ววันหนึ่งก็พบว่า เธอกลายเป็นคนที่สดใสร่าเริง กล้าแสดงออก มีความเชื่อมั่นในตัวเอง เปลี่ยนไปเลยนะจากเดิมที่เป็นคนที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ไม่มีความสำคัญ รู้สึกหม่นหมอง แต่ตอนนี้กลายเป็นคนที่สดใสร่าเริง กล้าแสดงออก ความ สดใสร่าเริงของเธอก็แสดงออกทางเพลงที่เธอร้องและก็บรรเลง
เธอก็มานึกว่า ทำไมเราเปลี่ยนไปเพราะอะไร แล้วก็พบว่าเป็นเพราะเธอลืมความทุกข์ของตัวเอง หรือใช้คำว่าลืมตัวเอง เพราะอะไร เพราะว่าไปจดจ่อใส่ใจกับการช่วยคนที่เขาเดือดร้อน ทำยังไงจะให้เขามีเงินที่จะช่วยประทังชีวิต หรือว่าทำให้มีความเป็นอยู่ในค่ายดีขึ้น พอไปคิดถึงคนอื่นมากเข้าก็ลืมความทุกข์ของตัวเองไป ที่เคยรู้สึกน้อยใจในโชคชะตา ว่าแม่ไม่รักแม่ไม่สนใจ มันหายไปเลย ก็เลยกลายเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง กลายเป็นคนที่สดใสร่าเริง
อันนี้เป็นตัวอย่างของเราในการที่คนเราคิดถึงคนอื่น โดยเฉพาะคนที่ทุกข์กว่าเรามันทำให้เรามีความทุกข์น้อยลง แล้วก็มีความสุขได้ง่าย มันไม่ใช่แค่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เมื่อเราลงมือช่วยเขาเท่านั้น แต่มันยังเป็นประโยชน์กับตัวเราเองด้วย
แล้วเด็กวัยรุ่น หรือเด็กทุกวันนี้มีความทุกข์มาก เพราะคิดถึงแต่ตัวเองว่า ตัวเองไม่มีอย่างโน้นไม่มีอย่างนี้ บางทีก็นึกถึงหน้าตาของตัวเองเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ เปรียบเทียบกับคนในอินสตาแกรม ในเฟซบุ๊กรุ่นเดียวกันวัยเดียวกัน รู้สึกว่าตัวเองนี้ขี้เหร่ ถ้าคิดถึงแต่ตัว เองนี่ทุกข์นะ เพราะว่ามีเท่าไหร่ได้เท่าไหร่ก็ไม่พอใจ เพราะว่ามีตัวเปรียบเทียบที่ดีกว่า ทำให้รู้สึกว่าตัวเองแย่
บางทีก็เปรียบเทียบตัวเองกับพี่น้อง แต่พอไปนึกถึงคนอื่น ทำอะไรเพื่อคนอื่นนี่ทำให้ความทุกข์น้อยลง มีความสุขได้ง่ายขึ้น แล้วก็อาจช่วยทำให้มีชีวิตที่เรียบง่ายมากขึ้น
มีวัยรุ่นคนหนึ่ง วันๆ ก็ชอบเที่ยวช็อป ชอบซื้อเสื้อผ้าแพงๆ ใช้เงินของพ่อแม่เดือนละสามหมื่น นี่ก็คือเมื่อสิบปีที่แล้วเงินเดือนที่ได้จากพ่อแม่สามหมื่น บางทีไม่พอด้วย แต่วันหนึ่งมีคนชวนไปเป็นจิตอาสาที่มูลนิธิคนตาบอด แล้วงานนี้ก็คือ ขายเสื้อยืดตัวหนึ่งก็ตัวละ100 120 ตัวหนึ่งขายได้กำไรก็10 20 บาท กว่าจะขายได้แต่ละตัว โอ้ยเหนื่อย แค่ 10 20 บาทหรือ100 ใช้เวลาเป็นชั่วโมง ในขณะที่ตัวเองนี่ใช้เงินนี่สุรุ่ยสุร่ายมาก ก็เลยรู้เลยว่าเงินน่ะหายาก เห็นคุณค่าของเงินขึ้นมา
ตอนหลังก็ไปเป็นจิตอาสาช่วยมูลนิธิเด็กกำพร้า แล้วก็เด็กตาบอดเต็มตัว มีความสุขนะ แล้วตอนหลังปรากฏว่าการช็อป การซื้อของลดน้อยลงไปเยอะเลย แต่ก่อนใช้เดือนละ 30000 ยังไม่พอเลย แต่ตอนหลังนี้เดือนละ6000 นี่ก็พอแล้ว เพราะรู้ว่าเงินหายาก
แล้วก็อีกอย่างหนึ่งมีความสุขจากการทำอะไรเพื่อผู้อื่น ไม่ต้องพึ่งพาความสุขจากการกินการเที่ยวการช็อปเหมือนเมื่อก่อน อันนี้ก็เรียกว่ารู้จักเข้าถึงความสุขโดยไม่อิงวัตถุ
ความสุขที่ไม่อิงวัตถุนั้นก็เป็นธรรมะข้อหนึ่งที่เด็กควรจะมี ซึ่งก็อาจจะเกิดขึ้นได้จากการทำสิ่งที่มีคุณค่า เป็นจิตอาสาหรือช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน หรือความสุขจากการเรียนก็ได้ ถ้าเกิดว่าเด็กมีคุณธรรมเหล่านี้ มันไม่ใช่ดีกับเด็กคนเดียว ยังดีกับตัวเองด้วยคือความสุขได้ง่าย มีความทุกข์ได้ยากแล้วก็มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายมากขึ้น