พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 9 พฤศจิกายน 2565
มีฝรั่งคนหนึ่งอายุ 75 ปี สุขภาพดีมาตลอด แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งก็เริ่มพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง การใช้คำก็สลับไปสลับมา เป็นอย่างนี้อยู่พักใหญ่ ภรรยาเลยพาไปหาหมอ ตรวจโน่นตรวจนี่ สุดท้ายพบว่าเป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาทที่เชื่อมโยงกับกล้ามเนื้อ ซึ่งทำให้มีปัญหาทั้งในเรื่องการใช้ความคิด การพูดคุย รวมทั้งการบังคับกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ในร่างกาย เริ่มตั้งแต่กล้ามเนื้อส่วนที่เกี่ยวกับการพูด
หมอบอกว่า อาการแบบนี้หรือโรคแบบนี้ มันไม่มียารักษานะ มันจะรุนแรงไปเรื่อยๆ ต่อไปจะพูดไม่ได้เลย แล้วการใช้ความคิดในการใช้เหตุใช้ผลตัดสินใจ ก็จะเริ่มเสียไป จะทำได้เพียงแค่ฟังรู้เรื่องเข้าใจ แต่พูดไม่ได้ แล้วต่อไปก็จะมีปัญหาการกลืน เพราะพวกนี้มันต้องใช้กล้ามเนื้อ
คนเราไม่ค่อยรู้ว่าการกลืนอาหาร ไม่ใช่เพราะอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลกที่ทำให้อาหารมันตกถึงท้อง แต่เป็นเพราะใช้กล้ามเนื้อซึ่งมีถึง 50 มัด ไม่ใช่น้อยเลยนะในการที่จะทำให้อาหารตกไปถึงท้อง แล้วต้องอาศัยสมองในการควบคุมสั่งการ ให้กล้ามเนื้อในการกลืนนั้นทำงานได้อย่างสอดคล้องกัน แต่พอกล้ามเนื้อเริ่มมีปัญหาเพราะสมองเริ่มเสื่อม ตอนนี้จะเริ่มแย่แล้ว หมอก็อธิบายอย่างนี้นะ
แล้วหมอก็พูดตรงๆ ว่า คงจะอยู่ได้ 2-5 ปี คุณปู่คนนี้แกฟังแล้วก็ไม่ได้ตื่นตกใจนะ แกก็บอกว่า “ผมก็อยู่มาตอนนี้ก็ 75 ปีแล้ว ไม่รู้ว่าอีก 2-5 ปีข้างหน้านี้จะตายเพราะอะไรก็ยังไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นเจอโรคนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องทุกข์ร้อนอะไร” แล้วแกก็หัวเราะ คือไม่ได้เป็นทุกข์เป็นร้อนเลย เพราะรู้ว่าถึงไม่ตายเพราะโรคนี้ ก็คงตายเพราะเหตุอื่น อาจจะหัวใจวาย หัวใจหยุดเต้น หลอดเลือดสมองตีบตันทำให้เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต หรือโดนรถชน ในใจแกคงคิดแบบนี้เพราะอายุก็มากแล้ว 75 ปี ถึงไม่เป็นโรคนี้ก็คงเจอโรคอื่นหรือเหตุอื่น ที่ทำให้อยู่ได้ไม่เกิน 5 ปี
แกก็ยอมรับสภาพได้ แต่ไม่ได้ยอมรับเฉยๆ เพราะแกพยายามใช้ชีวิตอยู่ให้มีคุณค่า ขณะเดียวกันก็พยายามทำสิ่งที่ทำให้เกิดความเพลิดเพลินเจริญใจ ไปเยี่ยมญาติพี่น้อง ไปเยี่ยมลูกหลาน และสถานที่ต่างๆ ที่น่าสนใจ
แต่สิ่งหนึ่งที่แกทำไม่ขาด ทำสม่ำเสมอคือ ร้องเพลง แกเป็นคนที่ชอบร้องเพลงมาก และเป็นคนที่ร้องเพลงในโบสถ์อยู่เป็นประจำ เพราะศรัทธาในศาสนามาก แกนับถือศาสนาคริสต์ เพลงที่ร้องในโบสถ์ก็เป็นเพลงสรรเสริญพระเจ้า คล้ายๆ เป็นจิตอาสา ร้องเพลง สรรเสริญพระเจ้าในโบสถ์มานานแล้ว แต่ตอนหลังพอเจ็บป่วยก็เริ่มร้องเพลงลำบาก ไม่ได้ออกงาน แต่เวลาเขาซ้อมก็ไปร่วมซ้อมร้องเพลงกับเขาด้วย
ตอนหลังอาการลุกลามมากขึ้นๆ จนกระทั่งพูดไม่ได้ เขียนไม่ได้ อ่านก็ยังไม่ได้เลยนะ ชีวิตคนเราถ้าหากพูดไม่ได้ เขียนไม่ได้นี่ มันก็ไม่รู้ว่าจะสื่อสารหรือแสดงความรู้สึกอย่างไร ก็น่าอึดอัดนะ ทั้งๆ ที่สมองดีหมดในส่วนของการรับรู้ ใครพูดก็เข้าใจ ภรรยาอ่านหนังสือ ให้ฟังก็รู้เรื่อง แต่ตัวเองอ่านไม่ได้ เพราะสมองส่วนที่เกี่ยวกับภาษานี่มันแย่แล้ว รวมทั้งสมองส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมกล้ามเนื้อ
ตอนหลังเดินเหินก็ลำบาก บางทีเดินก็ล้ม การทรงตัวแย่ ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนที่เกี่ยวกับขาและเท้าไม่ได้แล้ว มันเห็นเลยนะ พออายุมากนี่ ร่างกายมันไม่เหมือนเดิมแล้ว มันเห็นชัดเลยว่าร่างกายนี่ ‘ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา’ สั่งอะไรก็ไม่ได้เลย
แกก็ทำใจนะ ไม่ได้อึดอัด ไม่ได้โวยวายตีโพยตีพาย อะไรที่ยังพอทำได้ก็ทำ เช่น ฟังคนพูดรู้เรื่อง ฟังภรรยาอ่านหนังสือให้ฟังรู้เรื่อง แต่ตอนหลังอาการก็ลุกลามมากขึ้น เดินเหินก็ลำบาก การกินก็มีปัญหา เรียกว่าช่วยเหลือตัวเองแทบไม่ได้แล้ว ก็มีภรรยาช่วยซึ่งก็ดีมาก ทั้งมีความห่วงใยสามีและมีความเข้าอกเข้าใจ แล้วก็ไม่ตีโพยตีพายไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสามี ก็รู้ว่าอีกไม่นานเขาจะไปแล้ว แต่ไม่ได้จมอยู่กับความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่พยายามใช้เวลาที่มีอยู่อย่างมีคุณค่า คืออยู่กับปัจจุบันนั่นแหละ ขณะที่สามียังทำ อะไรได้ก็ทำด้วยกัน มีความสุขด้วยกัน ไม่ต้องไปพะวงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งมันมีแต่ทำให้ท้อแท้
กำลังใจจากภรรยา ทำให้คุณลุงคนนี้รักษาใจไม่ได้ทุกข์ไปได้ด้วยเหมือนกัน มีวันหนึ่งภรรยาก็ร้องเพลง ทั้งสองเคยร้องเพลงด้วยกันในโบสถ์ แต่ตอนหลังมีแค่ภรรยาร้องเพลงคนเดียว เช้าวันหนึ่งภรรยาร้องเพลงบทหนึ่งซึ่งทั้งคู่เคยร้องเป็นประจำในโบสถ์ เป็นเพลง สรรเสริญพระเจ้า เพลงนี้มีทั้งท่อนส่งและท่อนรับ ภรรยาก็ไม่รู้คิดยังไงนะ จู่ๆ นึกอยากจะร้องเพลงนี้ พอร้องท่อนแรกจบ จู่ๆ สามีก็ร้องท่อนสองรับทันทีเลย แล้วก็ร้องแบบชัดถ้อยชัดคำมาก จังหวะจะโคนถูกต้องหมดเลย เหมือนกับตอนที่ยังเป็นปกติ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นแก พูดไม่ได้แล้วนะ ตัวภรรยาก็งง พอสามีร้องท่อนนี้ตัวเองก็ร้องท่อนที่สอง สามีก็ร้องรับ แล้วก็ส่งรับกันจนจบเพลงอย่างสมบูรณ์
ภรรยานี่งงมากเลย เอ๊ะ สามีร้องได้ยังไงทั้งๆ ที่พูดไม่ได้ บางทีกินยังลำบากเลยนะ แต่เวลาร้องนี่ร้องได้ถูกต้องแจ่มชัด เสียงชัดเจน ที่คิดว่าความจำของสามีมันแย่ลง แต่กับเพลงนี่ไม่มีเลย ปรากฏว่าต่อจากนั้นมา ทั้งคู่จะร้องเพลงนี้อยู่ทุกวัน จนกระทั่งตอนหลังสามี เริ่มแย่ ต้องนอนติดเตียง ตอนนี้ก็ร้องไม่ไหวแล้ว กินก็กินลำบาก กลืนก็กลืนยาก แล้วสุดท้ายก็สิ้นลมขณะที่นอนหลับกลางดึก
ตัวภรรยาแม้จะเสียใจที่สามีจากไป แต่ก็ดีใจที่เขาจากไปอย่างสงบ เป็นการจากไปที่สวยงาม แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ คนที่สมองแย่แล้ว พูดไม่ได้ กล้ามเนื้อที่คุมเกี่ยวกับเรื่องการกลืน การกิน หรือแม้แต่การพูดมันก็เสียไปแล้ว แต่ทำไมร้องเพลงได้ แล้วร้องแบบชัดถ้อยชัดคำมาก
ไปถามหมอ หมอก็บอกว่าจิตเขายังดีอยู่นะ หมอใช้คำว่าส่วนหลังของจิตเขายังทำงานอยู่ แต่ส่วนหน้ามันเสียไปแล้ว เหมือนว่าจิตส่วนลึกเขายังทำงานอยู่ แต่ส่วนผิวมันไม่ทำงานแล้ว หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือสมองนี่แย่แล้ว แต่จิตยังดีอยู่ แล้วคงเป็นเพราะว่าร้องเพลงนี้ บ่อย ร้องเพลงนี้เป็นประจำ รวมทั้งมีความรู้สึกซาบซึ้งกับเพลงนี้ เพราะมีความศรัทธาในพระเจ้า การที่ร้องเพลงบ่อยๆ ร้องซ้ำๆ กัน มันก็ทำให้มีผลต่อการทำงานของสมอง มันเกิดวงจรชนิดหนึ่งขึ้นมา สมองจำได้ ร่างกายจำได้ กล้ามเนื้อจำได้ พอร้องเพลงนี้มันก็ทำงาน สอดประสานกัน
อันนี้ก็เป็นเรื่องของใจแท้ๆ เลยนะ ใจที่มีความศรัทธา ใจที่มีความซาบซึ้งในบทเพลง แล้วที่สำคัญคือการทำอะไรซ้ำๆ การร้องเพลงซ้ำๆ กันมันทำให้รู้สึกผูกพัน เรียกว่า ‘จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว’ ก็ได้ พอเจอเพลงนี้เข้า จิตมันตื่นขึ้นมาเลย เหมือนกับสั่งกายที่แย่อยู่แล้วให้ทำได้
แล้วพอพูดถึงเรื่องเพลง มันก็มีอิทธิพลต่อจิตใจของคนมากนะ โดยเฉพาะคนที่เขามีความผูกพันกับเพลง ขนาดคนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์อย่างแรง มีหลายรายทีเดียว เป็นอัลไซเมอร์จนถึงขั้นจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร อย่าว่าแต่จำลูก จำภรรยาเลย ประเภทที่ว่าตื่นมา แล้วตกใจว่าใครมานอนอยู่ข้างๆ โทรศัพท์ไปถามลูกสาวว่ามันมีคนแปลกหน้านอนอยู่เตียงเดียวกัน ลืมไปเลยว่าคือภรรยาของตัวเอง แต่ตอนหลังมันไม่แค่ลืมภรรยา บางทีก็ลืมลูกไปด้วย แต่พอได้ฟังเพลงบางเพลงที่ตัวเองผูกพันก็นิ่งเลยนะ ถูกสะกดด้วยเพลง ทั้งๆ ที่ บางทีเงอะงะๆ ทำอะไรไม่ถูก จำอะไรไม่ได้ แต่จำเพลงได้ โดยเฉพาะเพลงที่ตัวเองผูกพัน อาจจะไม่ได้ร้องแต่ฟังอยู่เป็นประจำ
ความรู้สึกผูกพันกับเพลง จังหวะจะโคนของเพลง มันก็มีผลต่อจิตใจหรืออาจรวมถึงสมองด้วย จู่ๆ มันก็นึกขึ้นมาได้ถึงเพลงนี้ ทั้งที่ความจำอย่างอื่นมันแย่หมดแล้ว แต่เพลงมันเหมือนกับกระตุ้นส่วนลึกของจิตใจให้ตื่นขึ้นมา จากคนที่เงอะงะอยู่ไม่สุขกลับกลายเป็นคนที่มีสมาธิดื่มด่ำอยู่กับเสียงเพลง อันนี้ก็คงเป็นเพราะได้ฟังเพลงนี้บ่อยๆ ฟังบ่อยจนกระทั่งมันซึมลึกไปในจิตใจ
แต่ไม่ใช่เฉพาะเสียงเพลงที่ได้ฟัง หรือเสียงที่ร้องเป็นประจำ อะไรก็ตามที่เราผูกพันมันมีผลต่อจิตใจของเรา แม้ในยามที่ร่างกายหรือสมองมันแย่แล้ว
มีหลวงพ่อท่านหนึ่งป่วยเป็นโรคหัวใจ อาการก็หนัก เพราะสมองตีบเลือดไม่ไปเลี้ยง สมองก็เกิดเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตขึ้นมา อยู่ในภาวะโคม่า อวัยวะต่างๆ ก็เริ่มแย่ลงไปเรื่อยๆ เพราะมีหลายโรค นอนอยู่ห้องไอซียู สัญญาณชีพของร่างกายไม่ว่าจะเป็นเรื่องปอด เรื่อง หัวใจ เรื่องสมอง มันแย่หมดเลย อยู่ได้เพราะการดูแลของหมอ ท่อเท่อนี่ก็เต็มเลยนะ เรียกว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์เลย อาการก็ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ เจ้าตัวก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย
แต่อยู่ไปสักพัก หมอพยายามก็สังเกตว่า พอถึงเวลาประมาณหกโมงเย็น สัญญาณชีพที่มันไม่ค่อยดี ไม่ว่าจะเป็นความดัน การเต้นของหัวใจ หรือการหายใจ มันจะกลับดีเลย แล้วก็ดีอย่างนี้อยู่สักพักหนึ่ง ประมาณชั่วโมงหนึ่ง พอทุ่มนึง สองทุ่ม มันก็จะเริ่มรวนใหม่ พอวันรุ่งขึ้นหกโมงเย็นก็จะเริ่มดี ร่างกายเหมือนกับว่าเริ่มเข้าที่เข้าทาง แต่พอผ่านไปชั่วโมงหนึ่ง พอถึงทุ่มนึง เอาแล้ว สัญญาณชีพก็เริ่มแย่ใหม่ เริ่มน่าวิตก เป็นอย่างนี้อยู่หลายวัน
จนกระทั่งมีพระที่ดูแลท่านสังเกตสงสัยว่า นี่เป็นเพราะช่วงหกโมงเย็นถึงทุ่มนึงเป็นช่วงทำวัตร หลวงพ่อท่านนี้ท่านทำวัตรเป็นประจำไม่เคยขาดเลย แล้วเป็นไปได้มากเลยว่า ที่ท่านอาการเริ่มดีขึ้นเฉพาะช่วงหกโมงเย็นถึงทุ่มนึง เพราะมันเป็นช่วงเวลาทำวัตร จิตของ ท่านนึกถึงการทำวัตรสวดมนต์ แม้ว่าร่างกายมันหมดสภาพไปแล้วในสายตาของหมอ แต่จิตนึกถึงการสวดมนต์ จดจำได้ ก็เป็นไปได้ว่าใจของท่านอาจจะสวดมนต์ไปด้วย เพราะเป็นกิจวัตรประจำวันที่ทำมา 20-30 ปี หรืออาจจะนานกว่านั้น พอจิตเริ่มสวดมนต์ ใจก็สงบ พอใจสงบ ความดันก็ดี การหายใจก็ดี หัวใจก็ดี ปอดก็ดี ก็ค่อยๆ กลับมาดี แต่พอพ้นเวลาทำวัตรก็กลับมาแย่เหมือนเดิม
นี่ก็เป็นเรื่องที่แปลกนะ หลวงพ่อท่านนี้ท่านมีความผูกพันกับการทำวัตรสวดมนต์มาก แม้ว่าร่างกายจะแย่แล้ว แต่จิตใจท่านยังรับรู้ได้ อย่าไปคิดว่าคนที่อยู่ในภาวะโคม่านี่เขาไม่รับรู้อะไรนะ บางทีหมอพูดอะไรเขาก็ได้ยิน
อย่างมีเด็กคนหนึ่งโดนไฟไหม้ พอมาที่โรงพยาบาล หมอก็ต้องสาละวนกับการที่จะฉีดยาเข้าเส้น แต่หาเส้นไม่เจอ ก็ต้องใช้ตรงหน้าผากนี่แหละ เนื้อตัวนี่เขม่าเต็มเลยนะ เพราะน้ำที่ใช้ดับไฟทำให้เขม่าเต็มตัว กว่าจะหาเส้นได้ก็ใช้เวลา แต่สุดท้ายก็ทำได้สำเร็จ ตอน หลังเด็กก็ฟื้น แต่เนื่องจากบ้านถูกไฟไหม้ไปแล้ว พ่อก็ให้เด็กพักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล
ตอนอยู่โรงพยาบาลเด็กก็ช่วยหมอ ช่วยพยาบาล เพราะสมัยก่อนโรงพยาบาลมันไม่ค่อยมีระเบียบอะไรมาก เป็นโรงพยาบาลอำเภอ มีคราวหนึ่งเจอคนที่ถูกไฟไหม้เหมือนกับเด็กคนนี้ พอมาถึงห้องฉุกเฉิน หมอก็ทำอะไรไม่ถูก เด็กเลยบอกว่า “ก็ทำอย่างที่เคยทำกับผมไง หาเส้นตรงแถวหน้าผากนี่แหละ” หมองงเลยนะ เพราะตอนที่ทำให้ครั้งนั้น เด็กนี่อยู่ในอาการโคม่า แล้วเด็กรู้ได้ยังไง เด็กบอกรู้ จำได้ แถมยังบอกว่า “ตอนนั้นปวดมากเลยนะ ตะโกนบอกหมอให้หยุดๆ แต่หมอไม่หยุด” นี่เด็กโคม่านะ แต่เขารู้เรื่องตลอด แล้วรู้สึกเจ็บด้วย
เพราะฉะนั้น พระรูปนี้แม้ท่านจะโคม่า แต่จิตของท่านคงยังรับรู้ได้ พอถึงเวลาสวดมนต์ ใจท่านก็คงจะสวดมนต์ตามไปด้วย คือแม้ป่วยก็ไม่ทิ้งการทำวัตรสวดมนต์ ก็เลยพลอยทำให้จิตใจนี่สงบ
คนเราพอทำอะไรซ้ำๆ โดยเฉพาะสิ่งที่มีความหมายต่อจิตใจ พอถึงเวลาหน้าสิ่งหน้าขวานหรือถึงเวลาเจ็บป่วย จิตมันระลึกได้ จิตก็ทำงานของมันเอง ที่เคยร้องเพลงอยู่เป็นประจำ พอถึงเวลามันก็ร้องเพลงขึ้นมาได้ ทั้งๆ ที่ร่างกายนี่มันแย่แล้ว แต่จิตมันสั่งกายได้
ไม่เฉพาะคนป่วยเท่านั้นนะ ในยามปกติเวลาเกิดเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน หรือความเป็นความตาย บางทีสิ่งที่เราทำอย่างสม่ำเสมอมันก็ส่งผลหรือทำงานได้นะ มีผู้ชายคนหนึ่งแกเล่าว่า วันหนึ่งขี่จักรยานอยู่บนถนน ปรากฏจู่ๆ มีรถคันหนึ่งพุ่งเข้ามาจากข้างหลัง สงสัยจะเป็นเวลากลางคืนนะ รถนี่ชนจักรยานของชายคนนั้นอย่างแรงเลย แต่ก่อนที่จะชนเพียงแค่เสี้ยงวินาที ชายคนนั้นบอกว่า เห็นแสงสว่างวาบขึ้นมาในใจ แล้วก็เห็นหน้าของครูบาอาจารย์ เห็นหน้าของหลวงพ่อที่เคารพนับถือ แล้วจิตก็เริ่มสวดมนต์เลย เสร็จแล้วก็หมดสติไป
แน่นอนนะ เขาไม่ตาย เพราะถ้าเขาตายก็คงไม่สามารถจะเล่าเรื่องนี้ได้ แต่ถ้าเขาตายก็คิดว่าเขาคงไปดีนะ เพราะตอนนั้นจิตของเขาไม่มีความกลัวเลย นึกถึงหน้าของหลวงพ่อ นึกถึงบทสวดมนต์ที่มันทำงานของมันเอง ตอนนั้นความรู้เนื้อรู้ตัวมันมีแค่ชั่วแวบเดียว แต่ ว่าจิตนี่มันทำงานหลายอย่างในเวลาแค่เสี้ยววินาที เขาคงเป็นคนที่สวดมนต์เป็นประจำนะ เพราะฉะนั้นเวลาเกิดเหตุ จิตมันนึกถึงการสวดมนต์ขึ้นมาทันทีเลย แล้วพอจิตนึกถึงการสวดมนต์ จิตก็สงบ ไม่มีอาการหวาดกลัว หวาดวิตก ที่จริงเขาก็คงจะนึกถึงหลวงพ่อ หรือ เคารพหลวงพ่อมาก คงจะน้อมนึกในใจอยู่เป็นประจำ พอเกิดวิกฤติขึ้นมาก็เห็นภาพของหลวงพ่อขึ้นมาก่อนที่จะสวดมนต์
ฉะนั้น จิตของคนเราเวลาทำอะไรซ้ำๆ กัน โดยเฉพาะสิ่งที่มันมีความหมายต่อจิตใจ สิ่งที่เราศรัทธา สิ่งที่เราผูกพัน มันไม่ได้หายไปไหนนะ มันพร้อมจะออกมาแล้วช่วยน้อมนำใจของเราให้เกิดความสงบ แม้กระทั่งในยามที่น่ากลัวเป็นอันตราย แต่ใจก็ไม่หวั่นไหว
แล้วคนเราถ้ามีความผูกพันกับอะไรสักอย่าง แล้วน้อมใจอยู่กับสิ่งนั้นบ่อยๆ มันเป็นต้นทุนที่ดีนะ เวลาเราอยู่ในความยากลำบาก หรือเกิดอันตราย เกิดความเจ็บป่วยขึ้นมา มันจะช่วยน้อมใจเราให้สงบได้ เหมือนกับเวลาเราเจริญสติ ทีแรกเราก็ต้องรักษาสติ รักษาความ รู้สึกตัว แต่พอถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน สติมันจะรักษาใจเรา
เช่นเดียวกัน สิ่งที่เราศรัทธา ใหม่ๆ เราก็ต้องปลูกศรัทธา สร้างศรัทธาให้เกิดขึ้น แต่พอศรัทธาตั้งมั่นแล้วนะ ศรัทธานี่จะรักษาเรา
มีคุณยายคนหนึ่งแกป่วยอยู่ในโรงพยาบาล ตอนนั้นก็อยู่ในระยะท้ายแล้ว มีช่วงหนึ่งปวดมากเลย ยาก็เอาไม่อยู่ ช่วงที่แกร้องครวญครางก็มีพยาบาลคนหนึ่งเดินผ่านมา พยาบาลคนนี้ชื่อ เกื้อจิตร แขรัมย์ อยู่จังหวัดบุรีรัมย์ ปกติพยาบาลจะถามคนป่วยว่าปวดกี่คะแนน จากศูนย์ถึงสิบ จะได้ให้ยาถูก แต่พยาบาลคนนี้แกถามแปลก แกถามว่า “ยาย ในชีวิตนี้ทำอะไรแล้วมีความสุขมากที่สุด” ยายตอบทันทีเลยว่า “หล่อพระ” แกเคยหล่อพระเมื่อสิบกว่าปีก่อน สำหรับคนอีสานแล้ว การหล่อพระถือเป็นเรื่องมหากุศลมากเลย ไม่ใช่ว่าจะทำกัน ได้ง่ายๆ คุณยายหล่อพระแล้วมีความศรัทธาซาบซึ้งมาก
พยาบาลก็ไวนะ ก็ถามว่า “ยายจำได้มั้ยว่า วันนั้นยายใส่เสื้อสีอะไร นุ่งผ้าสีอะไร” ยายจำได้หมดเลย พยาบาลก็เลยชวนคุย คนไข้ก็คุยด้วยนะ คุยประมาณ 10-20 นาทีได้ พอคุยเสร็จคุณยายก็พูดขึ้นมาเลย “หมอๆ” แกเรียกพยาบาลว่าหมอ “แปลกนะ มันหายปวดไปเยอะเลย” ความปวดนี่หายไปเยอะเลยนะ ทั้งที่เมื่อกี๊ยังร้องว่าปวดๆ แล้วพยาบาลก็ไม่ได้ให้ยาด้วย แต่ความปวดมันลดลงเพราะอะไร เพราะนึกถึงสิ่งที่ตัวเองศรัทธา คือ พระพุทธเจ้า หรือพระรัตนตรัย หรือบุญที่ได้บำเพ็ญ
ศรัทธาที่สะสมนั้นไม่ได้สูญเปล่าเลยนะ พอนึกถึงหรือพอมีใครพูดถึง จิตใจก็เกิดความปิติ
พระพุทธเจ้าก็ตรัสนะว่า ศรัทธาทำให้เกิดปราโมทย์ ปราโมทย์คือความเบิกบานใจ ปราโมทย์ทำให้เกิดปิติ อิ่มเอิบใจ ปิติทำให้เกิดปัสสัทธิ ความผ่อนคลายกายและใจ แล้วทำให้เกิดสุข พูดสั้นๆ คือ ‘ศรัทธาทำให้เกิดสุข’ แล้วสุขในที่นี้มันไม่ใช่แค่สุขที่ใจนะ มันสุขที่กายด้วย เพราะความปวดกายนี่มันหายไปเลย มันลดไปเยอะเลย ทั้งที่ไม่ได้มอร์ฟีน อันนี้เพราะศรัทธา แล้วศรัทธานี่ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นนะ แต่เป็นสิ่งที่คุณยายแกสะสมมานาน พอสะสมมานาน ถึงเวลามันก็มาช่วยได้เมื่อมีคนพูดถึง หรือแม้ไม่มีใครพูดถึง แค่ระลึกนึกถึงมันก็ช่วยได้นะ
สิ่งที่เราทำซ้ำๆ ถ้าเป็นสิ่งที่ดี มีคุณค่า มีความหมาย ไม่ว่าจะเป็นการปลูกศรัทธาในพระรัตนตรัย หรือการมีศรัทธาในการทำวัตรสวดมนต์ หรือการรู้สึกดื่มด่ำผูกพันกับการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า หรือการระลึกนึกถึงครูบาอาจารย์อยู่เนืองๆ รวมทั้งการสวดมนต์อยู่ บ่อยๆ สิ่งเหล่านี้มันไม่สูญเปล่านะ จิตมันจำได้ แล้วถึงเวลาสิ่งที่เราทำนี่จะออกมาทำงาน ช่วยน้อมใจให้เป็นกุศล ชนิดที่ว่ากายนี่ก็ยอม ‘จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว’ กายแม้มันจะไม่ไหว แต่พอเจอจิตที่เป็นกุศลขึ้นมา มันก็ยอมน้อมตามไปด้วย ที่เคยปวดก็หายปวด ที่เคย พูดไม่ได้ก็ดันร้องเพลงได้ หรือที่เคยหัวใจเต้นเร็ว หายใจเหนื่อยหอบ มันก็สงบขึ้นมา หายใจเป็นปกติ หัวใจก็เต้นเป็นปกติ แม้จะชั่วคราวก็ตาม
ฉะนั้น สิ่งที่เราทำซ้ำๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำวัตรสวดมนต์ ไม่ว่าจะเป็นการเจริญสติ การแผ่เมตตา การระลึกถึงครูบาอาจารย์บ่อยๆ การน้อมระลึกถึงพระรัตนตรัยอยู่เนืองๆ เป็นอาจิณ พวกนี้มันไม่สูญเปล่าเลย ในยามวิกฤติจะมาช่วยกู้ใจเราออกจากความทุกข์ ออกจากความอกุศลได้ ถึงเวลาจะตายก็สงบ แล้วก็ไปดี ไม่มีความหวาดวิตกอะไร