พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรม ณ โรงแรมโนโวเทล 2 พฤศจิกายน 2565 (เนื่องจากเนื้อหายาวเกินพื้นที่เฟซ จึงแบ่งลง 2 ตอน)
เป็นเวลาเกือบ 3 ปี ที่เราได้เจอกับการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งมีผลกระทบต่อชีวิตของพวกเราและครอบครัว คนรอบข้าง รวมทั้งการทำงานของพวกเราเป็นอย่างมาก หลายๆ คนก็พบว่าเกือบ 3 ปี ที่ความสุขได้พร่องหรือหายไปจากชีวิต เพราะฉะนั้นเมื่อโควิดเริ่มที่จะคลี่คลาย หลายคนก็นึกถึงการแสวงหาความสุขมาชดเชยที่หายไป ตลอดช่วงระยะเวลา 3 ปี
แต่เราจะพบความสุขได้อย่างไร เราจะหาความสุขมาทดแทนความสุขที่ขาดหายไปอย่างไร
ความสุขนี่จะว่าไปมันเปรียบเหมือนกับผีเสื้อ ผีเสื้อถ้าเราอยากได้ เราไม่จำเป็นต้องไปวิ่งไล่ตามจับผีเสื้อเลย มันมีวิธีที่เหนื่อยน้อยกว่านั้น นั่นก็คือปลูกดอกไม้ไว้ที่บ้านของเรา เมื่อเราปลูกดอกไม้ไว้ในที่ของเรา ผีเสื้อก็จะมาเอง ฉันใดก็ฉันนั้น ความสุขไม่ใช่สิ่งที่เราต้องไปวิ่งไล่ตามหา ไม่ว่าจะเป็นไปตามสถานที่ต่างๆ หรือว่าไปซื้อไปสอยสิ่งต่างๆ ตามห้างตามร้าน หรือไปหาของกินเอร็ดอร่อย ไปฟังเพลงเพราะ จริงๆ แล้วความสุขมันสามารถที่จะมาให้เราพบให้เราสัมผัสได้
ดอกไม้ในบ้านเรามันดึงดูดผีเสื้อฉันใด จิตใจที่งดงามก็สามารถจะดึงดูดความสุขได้ฉันนั้น จิตใจที่งดงามนี่เกิดขึ้นได้อย่างไร เบื้องต้นก็เกิดขึ้นได้จากการที่เราทำความดี ตั้งมั่นในธรรม มั่นคงในศีล ศีลในที่นี้มีความหมายกว้างกว่าศีล 5 มันหมายถึงการกระทำและคำพูดที่งดงาม ที่เกื้อกูล ถ้าหากว่าเรามั่นคงในศีล ตั้งมั่นในธรรม ความดีนั้นก็จะดึงดูดความสุขให้เข้ามาสู่ใจเรา แต่ถ้าเราทำสิ่งตรงข้าม เช่น เห็นแก่ตัว เอาเปรียบ ความทุกข์ต่างหากที่จะมาหาเรา
มีเด็ก 2 คนเป็นเพื่อนกัน อายุประมาณ 9 ขวบ 10 ขวบ คนหนึ่งเป็นผู้ชาย คนหนึ่งเป็นผู้หญิง ผู้ชายมีลูกแก้วที่สวยงามหลายลูก ส่วนเด็กหญิงมีลูกกวาดที่น่ากินและอร่อย เด็กชายเห็นลูกกวาดของเพื่อนก็อยากได้ เลยบอกกับเพื่อนว่าเรามาแลกกันไหม ฉันจะให้ลูก แก้วเธอหมดเลย ส่วนเธอก็ให้ลูกกวาดฉันหมดเหมือนกัน เด็กหญิงก็ตกลง แล้วก็มอบลูกกวาดทั้งหมดเลยให้กับเพื่อน แต่เด็กชายนี่แทนที่จะให้ลูกแก้วหมด กลับกั๊กเอาไว้ ขยักลูกแก้วที่สวยและลูกแก้วที่ใหญ่เอาไว้กับตัว
คืนนั้นเด็กหญิงนอนหลับสบาย แต่เด็กชายนอนไม่หลับ ใจหนึ่งก็กังวลว่าเพื่อนจะรู้ความจริงไหม ว่าเราโกหกเพื่อน ขณะเดียวกันก็นึกสงสัยว่าเพื่อนให้ลูกกวาดเราหมดหรือเปล่า เพื่อนจะกั๊กเอาไว้เหมือนกับที่เราทำ เด็กชายได้ลูกกวาดแต่ไม่มีความสุข เพราะว่าไม่ทำตามที่พูด จะเรียกว่าโกหกก็ได้ แล้วก็จะเรียกว่าโกงก็ได้ ก็ได้ตามที่อยากแต่ไม่มีความสุข เพราะโกหก เพราะโกงเพื่อน ในขณะที่เด็กหญิงทำตามที่พูดทุกอย่าง แล้วก็ให้ทั้งหมดที่มี เด็กหญิงหลับสบาย
เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราปรารถนาให้ความสุขพรั่งพรูมาสู่ใจเรา อย่างแรกที่เราพึงทำก็คือทำความดี ถ้าเราไม่อยากให้ความทุกข์มารบกวนจิตใจเรา ก็หลีกเลี่ยงการเอาเปรียบ การโกหกคดโกง หรือการที่มีจิตคิดแต่จะเอา
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเราตั้งมั่นอยู่ในธรรม มั่นคงอยู่ในศีล ซึ่งก็เป็นเสมือนปราการที่ป้องกันความทุกข์ไม่ให้มาถึงใจเรา ในขณะเดียวกันความดีก็เหมือนกับดอกไม้ ที่ดึงดูดให้ความสุขมาสู่จิตใจของเราได้ง่าย แต่บางครั้งชีวิตของคนเรา ก็ต้องเจอกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา สิ่งที่ไม่สมหวัง อันนี้เป็นธรรมดาของชีวิต จะให้มีแต่สิ่งที่ดีๆ เกิดขึ้นกับเรา ท้องฟ้าแจ่มใส ผู้คนน่ารัก ทำงานสำเร็จ ไปตลอด มันย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่แม้อากาศผันผวน ผู้คนจะไม่ได้ทำดีกับเรา การงานเจออุปสรรค เราก็ยังสามารถจะมีความสุขใจได้ เรียกว่าเจอทุกข์แต่ใจไม่กระเทือน
คนไปเข้าใจว่าถ้ามีอะไรมากระทบกับเรา ทันทีเลยนะใจเราก็จะกระเทือน เจอกระทบปุ๊บ ใจกระเทือนปั๊บ มันไม่ใช่ แม้จะมีสิ่งมากระทบกับเรา จะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดี สิ่งที่ไม่พึงปรารถนา แต่ว่าใจอาจจะไม่กระเทือนก็ได้ มันไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
มีผู้หญิงคนหนึ่งเล่าว่า วันนั้นเป็นวันเสาร์ เดือนเมษายน อากาศร้อนมาก ร้อนจนกระทั่งเธอต้องเปิดแอร์เต็มที่เลย แต่ก็ยังรู้สึกอ้าว จู่ๆ ได้ยินเสียงบุรุษไปรษณีย์เรียกที่หน้าบ้าน เธอไม่พอใจเพราะเธอไม่อยากจะเดินออกไปรับของ เพราะถ้าเดินออกไปก็ต้องเจอแดด กว่าจะไปถึงประตูรั้ว ก็เลยแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่บุรุษไปรษณีย์รู้ว่ามีคนอยู่ เสียงแอร์ก็ดัง รถก็จอดอยู่ในบ้าน ก็เลยรอกลางแดด ระหว่างที่รอเขาก็ร้องเพลงไปด้วย เพลงลูกทุ่ง
ผู้หญิงเจ้าของบ้านพอรู้ว่าบุรุษไปรษณีย์ไม่ยอมไปแน่จนกว่าเธอจะออกไปรับของ เธอก็เลยเดินไปที่ประตูรั้ว รับของเสร็จ สีหน้าก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่เพราะว่าเจอแดด ก็เลยพูดกับบุรุษไปรษณีย์ว่า อากาศร้อนอย่างนี้ ยังมีอารมณ์ร้องเพลงอีกเหรอ บุรุษไปรษณีย์ซึ่งมีเหงื่อเต็มหลังเลย แกยิ้มแล้วก็พูดว่า โลกร้อนแต่ถ้าใจเย็น มันก็เย็นครับ ผมร้องเพลงแล้วมันใจเย็นครับ
คนหนึ่งอยู่ในห้องแอร์แต่หงุดหงิด คนหนึ่งตากแดด แต่แม้กายร้อน ใจไม่ได้ร้อนด้วย เพราะอะไร เพราะรู้จักเติมเต็มความสุขให้ใจ เติมเต็มความเย็นให้กับจิต แดดกระทบกายแต่ว่าใจไม่ร้อนด้วย คนไปคิดว่าถ้าเจอแดดร้อนแล้วใจจะต้องร้อนด้วย มันไม่ใช่ มันไม่ได้ เป็นอัตโนมัติอย่างนั้น ไม่ใช่แค่แดดร้อนกระทบกาย เสียงด่ากระทบหู ก็ไม่ใช่ว่าคนเราจะทุกข์หรือคนเราจะหงุดหงิด มันมีกระบวนการในจิตที่เกิดขึ้นระหว่างการกระทบ กับความสุขหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับใจ มันมีช่องว่าง ช่องว่างตรงนั้นก็คือมุมมอง ความรู้สึก หรือ ท่าทีของเราต่อสิ่งที่มากระทบ
สมัยที่หลวงปู่ขาว อนาลโย ยังมีชีวิตอยู่ มีแม่ชีคนหนึ่งชื่อแม่ชีสา แม่ชีสานี้อุปัฏฐากพระเณรดีมาก และปฏิบัติดีด้วย แต่วันหนึ่งหลวงปู่ขาวเรียกลูกศิษย์ซึ่งเป็นพระมา 2 รูป แล้วก็บอกว่าให้ไปที่กุฏิแม่ชีสา แล้วไปด่าแม่ชีสา ทั้งสองท่านก็งง แต่ว่าครูบาอาจารย์สั่ง ก็ต้องไป ไปที่กุฏิแม่ชีสา เรียกแม่ชีสาออกมา พอแม่ชีสาออกมา ทั้ง 2 ท่านก็รุมด่าเลย แต่ที่จริงผลัดกันด่ามากกว่า เพราะท่านด่าไม่ค่อยเก่ง ท่านต้องช่วยกัน แม่ชีสาทีแรกก็งง แต่ว่าก็พนมมือฟังอย่างนิ่งสงบ
พอทั้ง 2 ท่านด่าจบ เพราะไม่รู้จะด่าอย่างไรแล้ว แม่ชีสาแทนที่จะโกรธ แทนที่จะน้อยใจที่ครูอาจารย์มาว่าเรา ทำไมครูบาอาจารย์ไม่เห็นความดีของเรา แล้วถ้าคนอื่นเขารู้ว่าครูบาอาจารย์มาว่าเราแบบนี้ เราจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน ไม่มีเลย แม่ชีสายิ้มแล้วพูดว่า ท่านอาจารย์ด่าดิฉันหมดแล้วหรือ ดิฉันฟังแล้วซาบซึ้งใจเหลือเกิน เสียงด่าเป็นเสียงธรรมล้วนๆ เลย คราวหน้านิมนต์มาด่าใหม่นะ กิเลสมันจะได้หมดซะที
ทั้งสองกรณีนี้เหมือนกันอย่างหนึ่ง พอมีอะไรมากระทบกาย หรือกระทบหูแล้ว ใจไม่กระะเทือนด้วย เพราะอะไร เพราะว่ารู้จักรักษาใจ คนหนึ่งร้องเพลงแล้วใจมันก็เย็น แม้กายจะร้อน อีกคนหนึ่งมีสติ แล้วก็มองว่าเสียงด่าเป็นเสียงธรรมะ ที่สามารถจะขูดกิเลส ขัดอัตตาให้เบาบางลงได้ มันคือมุมมอง มันคือทัศนคติ มันคือสติ ที่ช่วยรักษาใจไม่ให้ทุกข์ไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น กับกายก็ดี หรือว่ากับสิ่งอื่น เช่น หน้าตา ศักดิ์ศรี เป็นต้น
เพราะฉะนั้นการให้ความสำคัญกับมุมมอง ทัศนคติ สำคัญมากเลย นอกเหนือจากการทำความดี มีศีล ตั้งมั่นในธรรม นอกจากการกระทำและคำพูดจะงดงามแล้ว จิตใจที่งดงามก็สำคัญเหมือนกัน งดงามด้วยธรรมะ ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่ยากลำบากเกินวิสัยของพวกเรา
ที่ประเทศไต้หวันมีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเกิดมาพิการ มีความพิการทางสมอง เดินเหินลำบาก ตลอดชีวิตต้องนั่งรถเข็น แถมพูดไม่ได้ จะสื่อสารต้องเขียนเอา เธอชื่อหวางเหม่ยเหลียน แต่ว่าเธอก็สามารถจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ประสบความสำเร็จทางการศึกษา เรียนจบปริญญาเอก มหาวิทยาลัยชื่อดังในอเมริกา UCLA อาตมาสมองไม่พิการ ยังไม่มีปัญญาเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยแห่งนั้นเลย แล้วเธอก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนเป็นจำนวนมาก
วันหนึ่งเธอได้รับเชิญให้ไปพูดที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง เธอพูดไม่ได้นะ เธอเขียนใส่กระดาน พอเธอบรรยายจบ ก็มีนักเรียนคนหนึ่งถามเธอว่า คุณอยู่ในสภาพนี้มาตั้งแต่เกิด คุณเคยรู้สึกน้อยใจบ้างไหม คุณมองตัวเองอย่างไร คำถามนี้มันเป็นคำที่ตรงมาก ปกติคนจีนเขาก็ไม่ถามกันแบบนี้ พอถามแบบนี้เข้า ห้องประชุมก็เงียบกริบ แต่หวางเหม่ยเหลียนเธอยิ้ม แล้วเธอก็หันไปที่กระดาน แล้วเธอก็เขียน
ฉันมองตัวเองอย่างไร 1.ฉันเป็นคนน่ารัก 2.ขาฉันเรียวงดงาม 3.พ่อแม่รักฉัน 4.พระเจ้าก็ประทานความรักให้กับฉัน (เธอเป็นคริสต์) 5.ฉันมีแมวที่น่ารัก 6.ฉันวาดรูปและเขียนหนังสือได้ เธอมีผลงานการวาดภาพที่งดงาม แล้วก็ได้แสดงเป็นนิทรรศการ แต่ข้อสุดท้ายนี่ มันเป็นบทสรุปรวบยอด เคล็ดลับที่ทำให้เธอมีความสุข และประสบความสำเร็จในการศึกษา เธอเขียนว่า ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ฉันไม่มองสิ่งที่ฉันขาด
สำคัญมากเลยนะ คนจำนวนมากมีอะไรต่ออะไรมากมาย แต่มองไม่เห็น ไม่รู้สึกชื่นชมหรือมีความสุข แถมยังมีความทุกข์ เพราะเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองไม่มี ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่มีแฟน หรือว่าไม่มีชื่อเสียง ไม่มีตำแหน่งที่สูง ไม่ได้เป็นผู้จัดการ เด็กจำนวนไม่น้อยมีความ ทุกข์ทั้งที่มีอะไรเยอะแยะ มีเครื่องเล่น ของเล่น เครื่องดนตรี คอมพิวเตอร์ กล้อง ก็ยังทุกข์ เพราะว่าไม่มี iPad เห็นแต่สิ่งที่ตัวเองไม่มี เห็นแต่สิ่งที่ตัวเองขาด ผู้ใหญ่ก็เป็น มีเยอะแยะแต่มองไม่เห็น ก็เลยไม่มีความสุข
ช่วงโควิดหลายคนมีความทุกข์เพราะเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองขาด สิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ เช่น สังสรรค์กับเพื่อน ไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ แต่สิ่งที่ตัวเองมี สิ่งดีๆ ที่ตัวเองมี มองไม่เห็น มองข้าม ไม่ว่าจะมีคนรักอยู่ใกล้ ยังกินอิ่มนอนอุ่น ยังมีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่ป่วย แต่มองไม่เห็นก็เลยทุกข์ เบื่อหน่าย รู้สึกว่าชีวิตมันไร้ค่า แล้วไม่ใช่เห็นแต่สิ่งที่ขาด สิ่งที่ไม่มี รวมทั้งยังมองเห็นแต่สิ่งที่ไม่ดี สิ่งดีๆ ที่มี มองไม่เห็น
แต่ถ้าเรามองเห็นหรือมองเป็น แม้มันจะสูญแม้มันจะเสีย แต่ก็จะไม่ทุกข์ง่ายๆ ผู้ชายคนหนึ่งชื่อโสภณ แกเป็นคนที่มีน้ำใจดีมาก นอกจากจะทำประโยชน์ส่วนรวม ยังขยันชักชวนคนรุ่นใหม่ เยาวชน นักศึกษา ไปเป็นจิตอาสาทำสิ่งดีๆ ช่วยเหลือโรงเรียนที่ยากจนในชนบท มีคราวหนึ่งแกชวนคนหนุ่มสาวไปซ่อมโรงเรียน แล้วก็ไปทำกิจกรรมวันเด็กที่โรงเรียนห่างไกลอยู่แถวแม่ฮ่องสอน
พอทำเสร็จแล้วก็กลับ ขากลับรถต้องลงเขา แล้วก็มีโค้งหลายโค้งมาก ปรากฏว่ามีโค้งหนึ่งเกิดพลาด รถไถลลงไปสู่พื้นดินข้างล่าง ไม่ถึงกับเหว แต่มันก็ต่ำพอสมควร ตอนนั้นแกมีสติดี แกก็บอกว่าขอให้เด็กทุกคนที่เขาพามาปลอดภัย ปรากฏว่าเด็กทุกคนปลอดภัย หมดยกเว้นตัวเขา เขาเลยกลายเป็นคนพิการตั้งแต่เอวลงมา
เพื่อนหลายคนพอรู้ข่าวก็มาร้องห่มร้องไห้กับเขาก็มี ตัดพ้อว่านี่ขนาดทำบุญทำไมจึงเจอเรื่องแบบนี้ ทำนองว่าทำดีไม่ได้ดีเลย แต่โสภณยิ้มแล้วก็บอกว่า ก็เพราะเราทำบุญน่ะสิ เราจึงเหลือตั้งเท่านี้ เหลือเท่านี้คืออะไร คือเหลือครึ่งตัว หลายคนทุกข์เพราะว่าพิการไปครึ่ง เห็นแต่ส่วนที่พิการ เห็นแต่ส่วนที่มันหายไป เห็นแต่ส่วนไม่ดีที่เกิดขึ้น แต่แทนที่คุณโสภณจะเห็นแต่ครึ่งหนึ่งที่พิการ แกเห็นครึ่งหนึ่งที่ยังดีอยู่ ยังเป็นปกติ ก็เลยไม่ทุกข์
แกมองเหมือนกับหวางเหม่ยเหลียน คือไม่มองสิ่งที่ขาดหรือสิ่งที่หายไป แต่มองสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่เหลืออยู่ หรือสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ คนเราถ้ามองแบบนี้จะทุกข์น้อย จะมีความสุขได้ง่าย และไม่ใช่มองเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองไม่มี หรือเห็นแต่สิ่งไม่ดีของตัวเท่านั้น การมองเห็นสิ่งที่ไม่ดี หรือสิ่งที่คนรักของเราขาดหายไป มันก็ทำให้ทุกข์
มีอาจารย์ท่านหนึ่งเล่าว่า วันหนึ่งลูกชายซึ่งเป็นนิสิตแพทย์ปี 4 มาหาเขา แล้วบอกว่า พ่อผมไม่ไหวแล้วนะ ผมเรียนหมอต่อไปไม่ได้แล้ว ผมไม่อยากรักษาคนไข้ ผมทนเห็นเลือดเห็นหนองไม่ไหว ผมอยากไปทำอยากไปเรียนในสิ่งที่ผมชอบ สิ่งที่ผมใฝ่ฝันก็คือ MBA (บริหารธุรกิจ) เพราะผมอยากเป็นนักวิเคราะห์ทางการเงิน แล้วก็บอกว่าผมจะเลิกเรียนหมอ ผมจะไปเรียนต่อ MBA
พ่อนี่ช็อคเลย ทั้งเสียใจทั้งผิดหวังทั้งโกรธ เพราะว่าเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ที่อุตส่าห์สนับสนุนตั้งแต่เล็กจนได้เรียนหมอ แถมลูกก็ติดแพทย์อันดับต้นๆด้วย แกบอกว่าแกทุกข์มากจนกระทั่งนอนไม่หลับเลย กระสับกระส่ายทั้งวันทั้งคืนเลย ทรมานมาก เพราะรู้สึกผิดหวังในตัวลูกชาย จนแทบไม่เป็นผู้ไม่เป็นคนเลย
แต่แล้ววันหนึ่งแกได้ฟังที่อาตมาพูดว่า คนเราถ้าไม่รู้จักพอมี 10 ล้านก็ไม่มีความสุข อยากได้ร้อยล้าน แต่ถ้ารู้จักพอ แม้มีรายได้แค่วันละ 200 บาทก็มีความสุข แกก็เลยนึกถึงพี่ชาย พี่ชายเป็นหมอทหาร แต่ว่าบังเอิญมีลูกชายซึ่งพิการแต่กำเนิด ติดเตียงมาตลอด ตัวพี่ชายซึ่งเป็นหมอทุกข์มากเลย สุดท้ายก็ไปกินเหล้าดับทุกข์ กินจนติดเหล้า กลายเป็นโรคสุราเรื้อรังแล้วก็ตายก่อนวัยอันควร ส่วนลูกที่ติดเตียงก็ไม่ทราบจะเป็นอย่างไรต่อไป
อาจารย์คนนี้บอกว่า พอได้คิดแบบนี้แกรู้สึก โอ้ เรานี่โชคดีจังเลยนะ ลูกชายเรานี่มีสุขภาพดี ฉลาด ไม่เกกมะเหรกเกเร ไม่ติดยา แล้วทำไมเราจึงทุกข์เพราะเขา เราน่าจะยินดีที่เขารู้ว่าเขาชอบอะไร และเขาเลือกที่จะทำตามความใฝ่ฝันของตัว ทำไมเราจึงมาทุกข์แบบนี้ เราโชคดีกว่าพี่ชายมากเลย เป็น 10 เป็น 100 เท่า พอคิดได้แบบนี้แกเลิกทุกข์เลย ลูกก็ยังไม่คิดจะไปเรียนต่อแพทย์ แต่ว่าเขาไม่ทุกข์แล้ว เพราะเขาแทนที่จะเห็นสิ่งที่ลูกไม่มี สิ่งที่ลูกไม่ทำ เขากลับมามองว่าลูกมีอะไรดีบ้าง และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขามีความสุขได้
คนเราถ้าเรามองเห็นแต่สิ่งที่ไม่ดี หรือสิ่งที่ไม่มี ไม่ว่าของเราเอง หรือของคนอื่นที่เรารัก เราจะมีความสุขได้ยากมากเลย เราจะเห็นแต่สิ่งไม่ดีที่คนอื่นทำกับเรา คนชมเรา เราอาจจะไม่ค่อยรู้สึก จำไม่ค่อยได้ แต่คนด่าเรา เราจำได้แม่น เราจะจดจำได้แต่ความผิดพลาดที่ตัวเองทำ แต่ความสำเร็จมองไม่เห็น หรือเห็นแต่ความทุกข์ สิ่งไม่ดีที่คนอื่นทำกับเรา แต่สิ่งดีๆ ที่คนอื่นทำให้เรา กลับมองไม่เห็น กลับจำไม่ได้ ตรงนี้อาตมาคิดว่าเป็นสิ่งที่เราต้องหันมาทบทวน เวลาเรามีความทุกข์ มันเป็นเพราะใจของเราหรือเปล่า เป็นเพราะเราไปตั้งความหวังมากเกินไปไหม เราไม่ได้ทุกข์เพราะใครแต่เราทุกข์เพราะการที่ไปยึดกับความคาดหวังของตัวหรือเปล่า
ขณะเดียวกัน บางทีเราก็ต้องมาสำรวจว่า ที่เราทุกข์เพราะเราไปหมกมุ่นกับสิ่งไม่ดี แล้วก็ปล่อยใจ ผลักไสสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไหม บางทีเพียงแค่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ความทุกข์มันก็เบาลง สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเรา มันไม่ทำให้เราทุกข์มากเท่ากับการที่เราไปผลักไส ต่อต้าน ไม่ยอมรับ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ สิ่งนั้นจะเป็นความไม่สะดวกสบาย ความเป็นไปของคนรัก หรืออารมณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในใจเรา
ผู้หญิงคนหนึ่ง จะเรียกว่าเธอมีทุกอย่างที่คนธรรมดาปรารถนาก็ว่าได้ มีสามีที่ดี เป็นแฟมิลี่แมน ลูกก็เป็นคนดีทั้ง 3 คน ขยันขันแข็งในการงาน รักพ่อรักแม่ ไม่เกกมะเหรกเกเร ฐานะของเขาก็ดี และทั้งครอบครัวก็มีความสัมพันธ์ที่อบอุ่น มีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศทั้งครอบครัวอยู่เป็นระยะๆ ชีวิตแบบนี้ก็น่าจะมีความสุขได้ แต่ว่าหนึ่งเธอพบว่าเธอมีความรู้สึกเบื่อ แล้วตอนหลังก็กลายเป็นความรู้สึกซังกะตาย ไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่ เธอก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วตอนหลังมันก็เกิดขึ้นถี่ขึ้นๆ ไปเที่ยวก็แล้ว มันก็ยังไม่รู้สึกว่ามาช่วยทำให้เกิดความสดชื่นเบิกบาน
เธอคิดว่ามันเป็นเพราะฮอร์โมนหรือเปล่า เพราะเธอก็อายุเกือบ 50 แล้ว ตอนหลังอาการมันก็กำเริบ ไม่ใช่แค่ซังกะตาย แต่ว่ารู้สึกกระสับกระส่าย แล้วก็เกิดอาการนอนไม่หลับ มีอาการแพนิกตื่นตระหนก มันเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เธอไปหาหมอ หมอบอกว่าสุขภาพเธอดี ไม่มีปัญหาเรื่องฮอร์โมน สุดท้ายเธอไปหาจิตแพทย์
จิตแพทย์คนนี้ไม่ได้รู้แต่ศาสตร์สมัยใหม่ แกสนใจเรื่องการเจริญสติ การทำสมาธิภาวนาด้วย ฟังอาการของผู้หญิงคนนี้แล้ว หมอก็พูดกับคนไข้ว่า อยากให้คุณทำอย่างหนึ่ง ให้คุณทำตามผมนะ ทำตามที่ผมแนะนำ พูดกับตัวเองดังๆ เลยนะว่า ฉันอนุญาตให้ตัวเองซังกะตาย แม้มันจะเกิดๆ หายๆ ไปจนตลอดชีวิตก็ตาม พูดดังๆ 3 ครั้ง
ทีแรกเธอไม่ยอมพูด หมอก็คะยั้นคะยอให้พูด เธอก็เลยพูด พูดแต่ละประโยคนี่มันยาก ฉันอนุญาตให้ตัวเองรู้สึกซังกะตาย แม้มันจะเกิดๆ หายๆ ไปจนตลอดชีวิต แต่สุดท้ายเธอก็พูดครบ 3 จบ หมอถามว่ารู้สึกอย่างไรบ้างตอนนี้ เธอบอกมันเกร็งที่ท้อง มันแน่นที่หน้าอก แล้วก็มันปวดที่คอ หมอถามว่ามันเลวร้ายไหม มันอันตรายไหม เธอบอกไม่ แล้วความรู้สึกซังกะตายตอนนี้ยังมีอยู่ไหม ยังมีอยู่
หมอบอกว่าให้คุณลองสังเกตความรู้สึกนี้ดู สังเกตมันโดยที่ไม่ตัดสิน ไม่วิพากษ์วิจารณ์ แค่ดูเฉยๆ เธอก็ทำตามที่หมอแนะนำ หมอถามว่าคุณคิดว่ามันเป็นภัย มันเป็นอันตรายไหม ไอ้ความรู้สึกนี้ หรือเป็นปัญหาไหม เธอก็บอกว่ามันก็ไม่เชิงเป็นปัญหา แค่รบกวนใจ หมอก็แนะนำว่า คุณกลับไป ให้คุณลองสังเกตดูความรู้สึก ดูมันเฉยๆ ไม่ต้องตัดสิน ยอมรับอย่างที่มันเป็น
หลังจากนั้นเธอก็มาหาหมอ 2-3 ครั้ง เธอบอกกับหมอว่า ตอนนี้มีความรู้สึก 2 อย่างปะปนกัน ความรู้สึกแรกคือผิดหวังที่มันไม่ไปเสียที แต่ความรู้สึกที่ 2 คือโล่งใจ โล่งใจที่ยอมรับมันได้ เธอบอกว่าเดี๋ยวนี้เธอยอมรับความรู้สึกนี้ได้แล้ว อารมณ์ซังกะตาย และพบว่า หลังจากนั้นเธอก็รู้สึกดีขึ้น สดชื่น มีชีวิตชีวามากขึ้น ทั้งๆ ที่ความรู้สึกซังกะตายยังอยู่ แต่ทำไมเธอรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น สดชื่นมากขึ้น เพราะเธอยอมรับมันได้
ปัญหาของเธอไม่ได้อยู่ที่ความรู้สึกซังกะตาย แต่เธอรู้สึกไม่ยอมรับ พยายามผลักไสมัน ยิ่งผลักไสก็ยิ่งทำให้เธอยิ่งทุกข์ เพราะมันไม่ยอมหาย เกิดอาการนอนไม่หลับ เกิดอาการกระสับกระส่าย เกิดอาการแพนิก อาการนี่ไม่ได้เกิดจากความซังกะตาย แต่เกิดจากการที่ไปกดข่ม ไปผลักไส แล้วมันไม่ไป แต่พอยอมรับมันได้ แม้ความรู้สึกซังกะตายยังอยู่ แต่ใจกลับโปร่งโล่งขึ้น
มันก็คล้ายๆ กับคนที่พอรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ทีแรกก็จะหดหู่มากเลย แล้วหลายคนคิดว่าความหดหู่เกิดขึ้นจากมะเร็ง แต่ไม่ใช่น่ะ มีคนหนึ่งพูดไว้ดีเธอเป็นมะเร็งเหมือนกัน เธอบอกว่ามะเร็งไม่ได้ทำให้รอยยิ้มของคุณหายไป ความรู้สึกทุกข์ใจต่างหากที่มาทำให้รอยยิ้มหายไป และที่ทุกข์ใจเพราะอะไร ทุกข์ใจเพราะไม่ยอมรับ
คนที่พูดนี่เป็นมะเร็งเมื่ออายุ 30 มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งมะเร็งชนิดนี้มักจะเกิดขึ้นกับคนแก่หรือคนที่สูบบุหรี่เป็นประจำ เธอแค่ 30 แล้วก็ไม่เคยแตะบุหรี่ ฉะนั้นตอนที่เธอรู้ว่าเธอเป็นมะเร็งชนิดนี้ เธอเป็นทุกข์มาก เธอบ่นโวยวายตีโพยตีพาย เหวี่ยงวีนใส่คนรอบข้าง ไม่เว้นแม้กระทั่งหมอหรือพยาบาล และพ่อแม่
จนกระทั่งวันหนึ่งเธอก็เข้าคอร์สปฏิบัติธรรม เจริญสติ มาสังเกตดูใจของตัว และพบว่าความทุกข์ใจที่เกิดขึ้นกับเธอ ตัวการสำคัญคือการไม่ยอมรับ บ่นโวยวายตีโพยตีพาย แต่พอเธอเริ่มปรับใจยอมรับได้ มันโล่งมันเบาเลย เธอพูดไว้ดีเธอบอกว่าความจริงบางครั้งก็โหดร้าย แต่การไม่ยอมรับความจริงต่างหากที่โหดร้ายกว่า เพราะมันเหมือนคุกที่ขังใจเราเอาไว้ เธอกำลังจะพูดว่ามะเร็งมันโหดร้ายก็จริง แต่ที่มันโหดร้ายกว่าคือการที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ทำไมต้องเป็นฉันๆ แต่พอยอมรับได้ เธอยิ้มได้ มะเร็งก็ยังอยู่ แต่เธอยิ้มได้
ฉะนั้นแม้ว่ามันจะมีทุกข์เกิดขึ้นกับกาย แต่ว่าใจไม่ทุกข์ก็ยังได้ จิตสามารถจะไกลทุกข์ได้แม้ว่ากายเป็นทุกข์แล้ว เพราะการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่สิ่งที่เกิดขึ้นกับกาย เช่นโรคภัยไข้เจ็บ แต่รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจ เช่น ความรู้สึกซังกะตาย ความรู้สึกเบื่อ คนที่ ภาวนา ทำกรรมฐานจะพบกับอารมณ์เหล่านี้อยู่เนืองๆระหว่างที่ปฏิบัติ ไม่ใช่แค่ความฟุ้ง แต่รวมถึงความหงุดหงิด ความเบื่อหน่าย
แต่ครูบาอาจารย์ก็จะสอนว่าให้ดูเฉยๆ ให้รู้ซื่อๆ หลวงพ่อของอาตมา หลวงพ่อคำเขียนท่านสอนว่ารู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ ไม่ต้องผลักไสมัน ไม่ตามมัน แล้วก็ไม่ต้าน ความโกรธเกิดขึ้นก็แค่รู้มัน ความหงุดหงิดเกิดขึ้นก็แค่รู้มัน รู้เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรกับมัน แล้วจะพบว่าทุกข์เพราะความโกรธนี่จะบรรเทาลง เพราะว่ามันมีแต่ความทุกข์ แต่ไม่มีผู้ทุกข์ มีแต่ความโกรธ แต่ไม่มีผู้โกรธ
สติเป็นสิ่งสำคัญมากที่ช่วยรักษาใจ มันไม่เพียงแต่ช่วยให้เรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่มันยังช่วยทำให้เรารู้จักปล่อยรู้จักวาง ไม่ไปยึดไม่ไปแบกอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ หรือสิ่งที่มันกระทบจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเสียงด่า หรือว่าความเจ็บความปวด คนเราถ้าหากว่าเรามีสติรู้ทันสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ ไม่ยึดไม่แบก มันก็เบาลงได้เยอะ
ผู้หญิงคนหนึ่ง เธอกับสามีอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมาสิบกว่าปี มีความรู้สึกว่าสามีเป็นคนที่รักครอบครัว แล้ววันหนึ่งเธอพบว่าเขามีผู้หญิงอื่น พอรู้ความจริง เธอทุกข์มากเลย โกรธกราดเกรี้ยว ขึ้นกูขึ้นมึงเลย สุดท้ายก็แยกทางกัน
ครั้งหนึ่งเธอเคยคิดว่าเธอคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา แต่ตอนนี้คิดว่าไม่มีเขาดีกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ เพราะว่าหลังจากนั้นมันก็มีความทุกข์เกิดขึ้น มีความโกรธ แม้จะแยกทางกับเขาไปแล้ว แต่เขาก็ยังมาคอยรบกวนจิตใจของเธอ นึกถึงเขาทีไรก็โกรธ รุ่มร้อน จนกระทั่งเธอต้องไปปฏิบัติธรรม เธอก็ไปปฏิบัติธรรมเจริญสติอยู่หลายครั้ง ก่อนหน้านั้นก็มีความสงบเย็น แต่คราวนี้มันรุ่มร้อนตั้งแต่วันแรกเลย ไม่ว่าจะเดินหรือจะนั่งมันรุ่มร้อน วันที่ 2 ก็ยังเป็นอย่างนี้ ไม่มีความสงบเย็นเลย วันที่ 3 ก็ยังโกรธ ยังเกรี้ยว กราด ยังรุ่มร้อน
แต่มีช่วงหนึ่งเธอเดินจงกรม แล้วเธอก็เอามือประสานไว้ มือสองมือประสานไว้ข้างหน้า แล้วก็เดินเป็นชั่วโมง หลังจากที่เดินเป็นชั่วโมงเธอรู้สึกเมื่อยมือ พอเมื่อยเธอก็เลยปล่อยมือ ปล่อยแขน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือมันไม่เพียงแต่สบายกายเท่านั้น แต่ใจมันโล่งด้วย เพราะ ตอนนั้นเธอได้มารู้ว่าที่เธอทุกข์ใจ ที่เธอร้อน เพราะใจไปนึกถึงเขาอยู่ตลอดเวลา การที่ใจไปนึกถึงผู้ชายคนนั้น มันทำให้จิตใจเธอโกรธ เธอคับแค้นรุ่มร้อนมาก พอเธอปล่อยเขาไปจากใจในช่วงเวลาเดียวกับที่ปล่อยมือ มันสบายเลย เธอได้เห็นเลยว่าปล่อยเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น
แต่ตอนที่เธอทุกข์ 3 วันเต็มๆ เธอไม่รู้เลยว่าเป็นเพราะเธอไปยึดชายคนนั้นเอาไว้ หมกมุ่นอยู่กับชายคนนั้น ทั้งๆ ที่นึกแล้วทุกข์ นึกแล้วร้อน แต่ไม่รู้ ไม่รู้ตัวว่าไปยึดเอาไว้ ไม่รู้ตัวว่าไปหมกมุ่นครุ่นคิดกับคนๆ นั้น จนกระทั่งพอปล่อยมือ มันถึงได้คิด ได้เห็นว่าใจกำลังทำอะไรอยู่ ใจกำลังแบกกำลังยึด กำลังหมกมุ่น ธรรมชาติของจิตน่ะพอรู้ มันปล่อย และที่รู้คือรู้ด้วยสติ เกือบ 3 วันที่เธอไปยึดไปแบกไว้โดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้ทุกข์ร้อนมากเลย แต่ทันทีที่มีสติ มันปล่อยเลย พอปล่อยหรือวาง สิ่งที่เกิดขึ้นคือเบา
ความทุกข์ของคนเรา โดยเฉพาะความทุกข์ใจกล่าวถึงที่สุดแล้วมันเกิดจากการไปแบกไปยึดเอาไว้ และทั้งๆ ที่สิ่งที่เราไปแบกหรือยึด มันเป็นสิ่งที่ทำความทุกข์ให้กับเรา เราไม่ได้นึกถึงพ่อแม่ เราไม่ได้นึกถึงคนรัก เราไม่ได้นึกถึงลูก แต่เรานึกถึงคนที่เขาทรยศหักหลังเรา เรานึกถึงคำพูดที่เขาทิ่มแทงเรา เรานึกถึงเหตุการณ์ที่เจ็บปวดในอดีต ทั้งที่มันนึกแล้วทุกข์แต่ก็ยังไปยึดเอาไว้ และทั้งที่ทุกข์แล้วยึดไปทำไม ก็เพราะไม่รู้ตัว เพราะไม่มีสติ บางทีก็ไปนึกถึงปัญหา แต่บางทีก็อาจจะเป็นเพราะไปยึดกับความคาดหวัง
มันมีวิธีจับลิงที่น่าสนใจมาก เขาไม่ใช้กรง เขาใช้ลูกมะพร้าว ลูกมะพร้าวเขาตัดหัว แล้วก็เจาะให้เป็นรูเล็กๆ พอที่ลิงจะเอามือสอดเข้าไปได้ แต่ไม่ใหญ่พอที่ลิงจะเอากำมือออกมา แล้วในลูกมะพร้าวนั้นก็อาจจะใส่ของกินที่ลิงชอบ รวมทั้งไข่เป็ดหรือว่าพวกฝรั่ง ฝรั่งที่ เริ่มส่งกลิ่น แต่ยังไม่เละ แล้วอีกปลายข้างหนึ่งเขาจะผูกเชือกเอาไว้ แล้วไปยึดกับต้นไม้
ลิงพอมาอยู่แถวๆ นั้นมันจะได้กลิ่น กลิ่นฝรั่งหรือว่ากลิ่นไข่ต้ม มันก็จะมาที่มะพร้าวนั้น แล้วมันก็จะเอามือล้วงเข้าไป รอดแล้วก็ล้วงเข้าไป แล้วก็ไปกำฝรั่งหรือว่าไข่ แต่เวลามันจะดึงออกมา มันดึงไม่ได้ เพราะว่ารูนี่มันเล็กกว่า แต่มันก็ยังพยายามดึง และเชื่อไหมมันดึงทั้งวันทั้งคืน จนกระทั่งมันหมดแรง หลังจากนั้น 2-3 วัน พรานก็จะเอาแหมาคลุมตัวมันเอาไว้ แล้วจับมันไปขาย
สิ่งนี่มันพยายามดึงเท่าไหร่ดึงไม่ออก แต่เพียงแค่มันคลายมือ หรือวางไข่ วางหรือปล่อยฝรั่ง มันก็จะเป็นอิสระได้ แต่ลิงมันไม่ยอมคลาย มันกำมันยึดเอาไว้อย่างนั้นแหละ บางทีเราเห็นลิงเราก็ขำนะ ว่าทำไมมันโง่แบบนั้น แต่บ่อยครั้งคนเราก็เป็นอย่างนั้น ไปยึดเอาไว้ ยึดทรัพย์สมบัติหรือรถยนต์ บ้าน ซึ่งบางครั้งเป็นอดีตไปแล้ว ถูกยึดบ้านไปแล้ว ถูกยึดรถไปแล้ว หรือว่ายึดกับหุ้นที่มันกลายเป็นขยะไปแล้ว แต่ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมเทขาย ยึดเอาไว้ เสร็จแล้วเป็นอย่างไร ก็โดนทุกข์เล่นงาน
พรานจับลิง แต่ความทุกข์จับคนเอาไว้ คนที่ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง คนที่ไปยึดไปแบก อาจารย์คนที่ว่าแกทุกข์เป็นเดือนๆ เลย เพราะแกยึดกับความคาดหวังว่าลูกต้องเป็นแพทย์ๆ ทั้งที่ลูกไม่เอาแล้ว ขอไปเรียน MBA แต่แกยังไม่ยอมปล่อย แต่สุดท้ายแกได้สติ พอแกปล่อยความคาดหวังลง ลูกจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ลูก แกก็เป็นอิสระเลยจากทุกข์ หรือลิงสามารถเอามือออกมาจากลูกมะพร้าว ก็เป็นอิสระได้
คนเรายึดโดยที่ไม่รู้ตัวเพราะเราไม่มีสติ และทั้งๆ ที่สิ่งที่เรายึด มันทำความทุกข์ให้กับเรา เราไม่ได้ทุกข์เพราะความสูญเสีย แต่เราทุกข์เพราะเราไม่ยอมรับความสูญเสีย เราทุกข์เพราะเรายังยึดสิ่งนั้นเอาไว้ว่ามันเที่ยง ว่ามันต้องเป็นของเรา ว่ามันต้องเป็นไปตามใจเรา ทั้งๆ ที่มันไม่เที่ยงเลย ทั้งๆ ที่มันไม่อยู่ในอำนาจของเรา
จิตมันจะไกลทุกข์เลยนะ ถ้าเรารู้จักปล่อยรู้จักวาง ไม่ใช่ปล่อยวางสิ่งที่ให้ความสุขกับเราที่มันกลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่ต้องรู้จักปล่อยวางสิ่งที่ทำความทุกข์ให้กับเรา เช่น ความโกรธ การกระทำ คำพูดของใครบางคน ที่เจ็บปวด ทิ่มแทงเรา ปัญหาสารพัดที่ทำให้เราหนักอกหนักใจ
บ่อยครั้งคนเราก็ไม่ต่างจากผู้ชายคนหนึ่งที่เดินผ่านหินก้อนใหญ่ ผ่านไปแล้ว ก็วกกลับ มาแบกหินก้อนนั้น แล้วก็บอกว่าหนักเหลือเกินๆ ทุกข์เหลือเกินๆ ทำไมมันทุกข์อย่างนี้ แล้วไปโทษหิน ทำไมหินหนักอย่างนี้ๆ ถามว่าความทุกข์ของเขาเกิดจากอะไร เกิดจากหิน หรือเปล่า หรือเกิดจากการแบก หลายคนไปโทษหิน ส่วนใหญ่เลย แต่ลืมคิดไปว่าแค่ปล่อยแค่วางหิน มันก็หายเหนื่อย หายทุกข์
หินไม่ได้ทำให้เราทุกข์ การแบกหินทำให้เราทุกข์ แล้วทำไมถึงแบก เพราะหลง หลงอย่างแรกคือไม่รู้ตัว หลงอย่างที่สองคือไม่รู้ความจริง ไม่รู้ว่ามันไม่เที่ยง ไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์ ไม่รู้ว่ามันเป็นหิน มันไม่ใช่นุ่น ไปคิดว่ามันเป็นทอง พอคิดว่าเป็นทองก็ไปแบกมันเอาไว้ แต่ที่จริงมันคือหิน ตราบใดที่ยังมองว่าเป็นทองก็ยังแบกเอาไว้ แต่พอมองว่าเป็นหิน มันก็ทิ้ง เหมือนคนที่ไปแบกหีบสมบัติ เพราะคิดว่าในหีบนั้นมีแต่ธนบัตร แต่พอรู้ว่าในนั้นมีแต่แบงค์กงเต็ก มันปล่อยเลย เป็นเพราะความหลง หรือความไม่รู้ความจริง
ที่จริงเราจะไกลทุกข์ ถ้าเรารู้จักปล่อยรู้จักวาง ปล่อยวางอย่างแรกคือมีสติ รู้ว่ากำลังแบกความทุกข์อยู่ เหมือนกับผู้หญิงคนนั้น ที่มารู้ในวันที่ 3 ว่าไปแบกไปยึด ความทรงจำเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นเอาไว้ ซึ่งเป็นคนที่ไม่สมควรจะนึกถึงเลย พอรู้เท่านั้น ปล่อยเลย นี่เรียกว่าปล่อยด้วยสติ ต่อมาปล่อยด้วยปัญญา คือเห็นว่ามันไม่มีอะไรที่จะมายึดมั่นถือมั่นได้ ทุกอย่างมันไม่เที่ยง ทุกอย่างมันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา พอปล่อยวางได้ แม้ทุกข์กายแต่ใจไม่ทุกข์ เพราะว่ามันทุกข์แต่กาย แต่มันไม่มีเราที่ทุกข์
หลวงพ่อคำเขียน หลวงพ่อของอาตมา ท่านพูดถึงตอนที่ท่านเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็ง แล้วคนก็สงสารท่าน ท่านบอกอย่าสงสารท่านเลย สงสารตัวเองดีกว่า แล้วท่านก็บอกว่า ความปวดนี่มันไม่ได้ลงโทษเรา ความเป็นผู้ปวดต่างหากที่มันลงโทษเรา ความปวดมันเป็น อาการที่เอาไว้ดูเอาไว้เห็น อย่าเข้าไปเป็น กายปวดแต่ถ้าไม่ยึดความปวดนั้นว่าเป็นเรา เป็นของเรา มันก็ไม่มีผู้ปวด มันมีแต่กายที่ปวด เมื่อไม่มีผู้ปวด ใจก็ไม่ปวดด้วย
คราวหนึ่งหลวงปู่บุดดาท่านไปผ่าเอานิ่วออก สมัยก่อนต้องใช้วิธีการผ่า ผ่าเสร็จท่านก็บอกหมอว่าจะไปแล้ว ค่อยยังชั่วแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว คือท่านจะออกโรงพยาบาลแล้ว หมอพยาบาลก็แปลกใจ หลวงปู่ไม่เจ็บเหรอ คนที่ผ่าน้อยกว่าท่านยังเจ็บเลย หลวงปู่ทำไมไม่เจ็บ หลวงปู่บอกเจ็บสิ ทำไมไม่เจ็บ ร่างกายหลวงปู่ก็เหมือนคนทั่วไปนั่นแหละ แต่ใจไม่ได้เจ็บด้วย อย่ามาปนกัน คือท่านเจ็บแต่กาย แต่ว่าใจไม่ได้เจ็บ เพราะมันไม่ได้มีความรู้สึกว่ามีกูผู้เจ็บ เพราะท่านมีปัญญาเห็นว่า ทั้งเนื้อทั้งตัวมันมีแต่กายกับใจ มันไม่มีกู
คนไปสำคัญมั่นหมายว่ากายนี้คือกู ใจนี้คือกู ฉะนั้นพอกายเจ็บก็กูเจ็บ แต่หลวงปู่ท่านมีปัญญาเห็นว่ามันไม่มีกู มันมีแต่รูปกับนาม มีแต่กายกับใจ เป็นเพราะคนเรามองไม่เห็นตรงนี้จึงทุกข์ เพราะมีแต่ความคิดว่ากูๆ ตลอดเวลา รถของกู บ้านของกู ลูกของกู รวมทั้งร่างกายของกูด้วย แต่พอมีปัญญาเห็นแล้วมันไม่มีกู มีแต่รูปกับนาม มีแต่กายกับใจ เวลาปวดก็ปวดแต่กาย แต่ใจไม่ได้ปวดด้วย เพราะมันไม่มีกูผู้ปวด ถ้ามองแบบนี้ ใจมันไกลทุกข์เลย แม้ว่ากายจะทุกข์ก็ตาม แต่ใจมันไกลทุกข์
แต่ถึงแม้เราจะทำอย่างนี้ไม่ได้ ยังมองไม่เห็นตรงนี้ แต่ว่าอย่างน้อยที่อาตมาพูดมาตั้งแต่ต้น ทุกคนทำได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ช่วยให้ใจห่างทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นการมองในสิ่งที่มี ไม่มองสิ่งที่ขาด มองในสิ่งดีๆ ที่มี ไม่มองเห็นแต่สิ่งที่ไม่ดี ไม่ว่าของตัวเองก็ตาม หรือของคนอื่นก็ตาม
ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น มีสติรู้ จักปล่อยรู้จักวางอารมณ์ และความคิดที่มันทิ่มแทงเผารนจิดใจ อย่างน้อยก็รู้จักหาความสุขที่มันอยู่กับตัวอยู่แล้ว คนเราถ้ารู้จักมองดูก็จะเห็นว่าความสุขไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวเลย ความสุขอยู่กับเราอยู่แล้ว ที่เราไม่เจ็บไม่ป่วยนี่ก็คือความสุขอย่างหนึ่ง ความสุขคือการที่คนรักยังอยู่กับเรา ความสุขก็คือการที่เรายังกินอิ่มนอนอุ่น
และที่จริงความสุขจริงๆ ก็อยู่ที่ปลายจมูกนั่นแหละ ความสุขที่ปลายจมูก คุณลองหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ เอาจิตมาอยู่ที่ปลายจมูก คุณจะพบกับความสงบเย็นในเวลาไม่นาน เมื่อเอาใจใส่กับลมหายใจ หรือเมื่อเราใส่ใจกับลมหายใจ ลมหายใจจะไม่เพียงแต่นำของออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายเรา แต่ยังสามารถจะเอาความสงบเย็นไปหล่อเลี้ยงบำรุงจิตใจของเราได้ รู้จักหาความสุขใกล้ตัว โดยอาศัยลมหายใจบ้าง เวลาโกรธรุ่มร้อน กลับมาอยู่ที่ลมหายใจ หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
หรือมิฉะนั้น มีความสุขอยู่กับความรู้เนื้อรู้ตัว คนสมัยโบราณเวลาจะอวยพรลูกหลาน เขาจะอวยพรว่าให้รู้เนื้อรู้ตัวนะลูก เพราะความรู้เนื้อรู้ตัวหรือความรู้สึกตัว คืออริยทรัพย์ที่มีค่า คุณมีเงินเท่าไหร่ คุณเรียนสูงเท่าไหร่แค่ไหน คุณมีบ้านหลังใหญ่เพียงไร แต่ถ้าไม่มีความรู้เนื้อรู้ตัว ไม่มีความรู้สึกตัว ก็จะพบว่าไม่มีความสุข และต้องไปหาความสุขจากที่นั่นที่นี่ แต่เพียงแค่มีความรู้สึกตัว ซึ่งอาจจะอาศัยลมหายใจมาช่วยดึงจิตพาใจมาอยู่กับเนื้อกับตัว คุณก็จะมีความสุขได้ง่าย
เมื่อมีความรู้สึกตัว จิตใจโปร่งเบา จะเรียกว่าความสุขมันจะมาหาเราก็ได้ ความสุขมันเลือกที่จะมาหาคนที่มีความรู้สึกตัว เหมือนกับผีเสื้อที่จะมาหาบ้านที่มีดอกไม้ อยากให้ความสุขมาสู่ใจเรา ก็ทำใจให้มีความรู้สึกตัว มีสติ หรือให้ดียิ่งก็คือมีปัญญา แล้วความสุขก็จะ พรั่งพรูสู่ใจเรา สุขจะไม่ใช่เป็นเรื่องไกลตัว มันจะเป็นเรื่องใกล้ตัว และความรู้สึกตัวนั่นแหละที่จะทำให้ทุกข์ห่างไกลจากจิต แม้จะมีสิ่งรอบตัวที่ไม่น่าพิศมัยก็ตาม.