พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 28 ตุลาคม 2565
การดำเนินชีวิตเปรียบเหมือนกับการเดินทาง คำว่าเดินกับดำเนินก็เป็นคำเดียวกันอยู่แล้ว และเดินทางนี่ ถ้าเป็นการดำเนินชีวิต มันก็คือการเดินเท้า และการที่คนเราจะเดินเท้าได้ก็ต้องมีความสมดุล เราเดินด้วยขาทั้งสอง มันก็ต้องมีความสมดุล เพราะไม่อย่างนั้นเดินก็จะลำบาก ขาข้างหนึ่งสั้น ขาข้างหนึ่งยาว มันก็เป็นการเดินที่ทุลักทุเล เพราะว่าต้องเดินแบบกระโผลกกระเผลก
ความสมดุลระหว่างของขา 2 ข้างสำคัญสำหรับการเดินเท้าอย่างไร ความสมดุลก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิต สมดุลหรือดุลยภาพก็มีหลายลักษณะ เอาง่ายๆ เช่น สมดุลหรือดุลยภาพในทางกาย อันนี้จำเป็น เช่น ระหว่างการทำงานกับการพักผ่อน เราทำงานก็ต้องใช้กายทำงานมาก แต่ถ้าทำงานแล้วไม่มีพักผ่อน หรือพักผ่อนไม่พอเพียง ก็ทำงานได้ไม่นาน หรือถ้าเอาแต่พักผ่อน ไม่ทำงาน มันก็กลายเป็นเกรียจคร้าน ชีวิตก็ย่ำแย่
ทำนองเดียวกัน ดุลยภาพระหว่างการกินอาหารเพื่อเติมพลังงานกับการใช้พลังงาน ก็สำคัญเหมือนกัน ถ้าหากว่าเรากินอาหาร เติมพลังงานเข้าไปในร่างกายเยอะแต่ว่าใช้พลังงานน้อยเช่น นั่งๆ นอนๆ ไปทำงานก็นั่งรถไป ถึงที่ทำงานก็นั่งอยู่หน้าคอมหรือบนโต๊ะ ทำงานเสร็จก็นั่งรถกลับบ้าน ถึงบ้านก็นั่งอีก ดูโทรทัศน์ เล่นโทรศัพท์อย่างนี้ คือไม่ค่อยออกกำลังกาย มันก็เจ็บป่วย
เดี๋ยวนี้เรากินอาหาร เราเติมพลังงานเข้าไปในร่างกายนี่เยอะมาก อาหารดีๆ ทั้งนั้น ทั้งน้ำตาล ทั้งไขมัน ทั้งโปรตีน แต่ไม่ได้ใช้เลยกับการออกแรง อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นชีวิตที่ขาดสมดุล สุดท้ายก็เจ็บป่วยด้วยโรคร้าย โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือแม้กระทั่งโรคมะเร็ง อันนี้ก็เป็นเรื่องของดุลยภาพในทางกาย
ในทางใจก็เหมือนกัน ดุลยภาพในทางใจที่สำคัญอันหนึ่ง ที่คนมักจะมองข้าม ก็คือความสามารถในการคิด กับการรู้จักวางความคิด เดี๋ยวนี้เราถูกฝึกมาให้คิดเก่ง คิดเร็ว คิดไว คิดได้นาน ยิ่งกว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่หรือว่ารุ่นปู่ย่าตายาย คนรุ่นนั้นหรือแม้กระทั่งชาวบ้าน ชาวชนบททุกวันนี้ จะให้เขาคิดนานๆ เขาก็เมื่อยล้า เพราะเขาไม่ได้ถูกฝึกมาให้คิดนานๆ ไม่เหมือนกับการทำงานขุดดิน ทำได้ทั้งวัน
ในขณะที่คนในเมือง หรือคนที่มีการศึกษาสูงๆ ให้ขุดดินแค่ 5 นาทีก็เหนื่อยแล้ว แต่ถ้าให้คิดนี่คิดได้เป็นวันหรือทั้งคืนเลยก็ได้ เพราะเราถูกฝึกมาให้คิดเก่งิคิดเร็ว คิดไว คิดได้นาน อึด แต่ว่าสิ่งที่ต้องมีควบคู่กันก็คือการรู้จักวางความคิด หรือว่ารวมไปถึงการรู้จักทักท้วงความคิด รู้จักชะลอความคิด เป็นเพราะเราไม่ได้ถูกฝึกมาให้รู้จักวางความคิดหรือรู้ทันความคิด มันก็เลยคิดไม่หยุดเลย
เดี๋ยวนี้คนเป็นทุกข์มาก เพราะว่าคิดไม่หยุด จนนอนไม่หลับ เดี๋ยวนี้การนอนไม่หลับก็กลายเป็นปัญหาของคนสมัยนี้มาก ซึ่งสาเหตุหลักๆ ก็คือการที่มันคิดไม่หยุดสักที จนกระทั่งต้องมียากล่อมประสาทเพื่อให้มันหยุดคิด ตื่นขึ้นมามันก็คิด คิด คิด จนกระทั่งไม่มีสมาธิกับการทำอะไรได้นานๆ ว่อกแว่กเพราะมันคิดโน่นคิดนี่ ทำงานก็คิดถึงลูก แต่พออยู่กับลูกที่บ้านก็คิดถึงงาน แล้วความคิดมันก็พาผู้คนไปตามอำนาจของมัน เพราะว่าเชื่อความคิดมาก ความคิดมันสั่งให้ทำนั่นทำนี่ก็ทำ สั่งให้เสพ สั่งให้ซื้อก็ทำ สั่งให้ด่าก็ทำ บางทีพาเข้ารกเข้าพง หรือว่าพาทำผิดศีลผิดธรรมนี่ก็เยอะ ก็เพราะความคิดนั่นแหละ
นี่เพราะว่าไม่รู้จักทักท้วง ไม่รู้จักรู้ทัน หรือไม่รู้จักวางความคิด ต้องฝึกนะ คิดเก่ง คิดไว คิดได้นาน ก็ดีแล้ว แต่ว่าต้องรู้จักวางความคิดด้วย ไม่อย่างนั้นนี่ความคิดมันกลายเป็นนายเราเลยนะ ความคิดมันเป็นบ่าวที่ดีแต่เป็นนายที่เลว ถ้ามันเป็นบ่าว หรืออยู่ในอำนาจของเรานี่ มันช่วยเราได้เยอะเลย เพราะว่าเราจะทำอะไรก็ต้องอาศัยความคิด มีปัญหาอะไรก็ต้องอาศัยความคิดในการขบในการแก้ เจ็บป่วยก็ต้องรู้จักวิเคราะห์หาสาเหตุ ก็ต้องใช้ความคิด แต่ถ้าความคิดมันกลายเป็นนายเราเมื่อไหร่นี่ เราแย่เลยนะ
คนไม่ค่อยเห็นถึงความจริงข้อนี้ ปล่อยให้ความคิดเป็นนาย มันก็พาเราเข้ารกเข้าพง มันคิดแล้วก็หยุดไม่ได้ มันคิดแล้วก็เชื่อมันทุกเรื่อง จนกระทั่งทะเลาะกับคนโน้นทะเลาะกับคนนี้ เพียงเพราะว่าคิดต่าง ความเห็นไม่ตรงกัน
ความเห็นไม่ตรงกันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าอย่าถึงกับตัดพ่อตัดลูก หรือว่าตัดเพื่อน อย่างที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ ที่เพราะว่าความคิดมันสั่งให้ทำ เพราะมันทนไม่ได้ที่คนอื่นมีความคิดต่างจากมัน ก็กลายเป็นศัตรูที่มัน (มันในที่นี้คือความคิด) จะต้องหาทางเล่นงาน มันก็สั่งให้เราเล่นงานคนที่คิดต่างจากมัน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นเพื่อน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นลูก หรือว่าเป็นพ่อแม่ด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าเกิดเป็นคนห่างคนไกลด้วย มันก็ยิ่งมีเหตุมีผล หรืออ้างเหตุอ้างผลที่จะเล่นงาน รุมประณามกล่าวหาโจมตี หรือถึงกับใช้ความรุนแรง นี่ก็เพราะความคิดมันสั่งให้ทำ
แต่ถ้าเรารู้จักวางความคิด รู้จักรู้ทันความคิด หรือรวมทั้งรู้จักปล่อยวางความคิด ความคิดมันก็จะไม่เป็นนายเรา หรือเป็นนายเราไม่ได้ มันจะอยู่ในอำนาจของเรา ถึงเวลาคิด เราก็สั่งให้มันคิด ถึงเวลาพัก เราก็บอกว่าพักได้แล้ว วางความคิดลงือันนี้คือดุลยภาพ หรือ สมดุลที่เราควรจะมี คิดเก่ง คิดเร็ว คิดไว ก็ต้องรู้จักวางความคิด หรือว่าทำใจให้สงบจากความคิดบ้าง หรือว่ารู้จักทักท้วงความคิด
และความคิดก็สืบเนื่องสัมพันธ์กับสิ่งหนึ่งที่เราเรียกรวมๆ ว่าปัญญา ปัญญานี่ก็ต้องอาศัยความคิด ปัญญาที่สำคัญคือปัญญาในการแก้ปัญหา เราใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาเช่นเวลาเกิดภัยอันตราย เราก็ใช้ความคิดหรือใช้ปัญญานี่แหละ ในการจัดการกับปัญหา มีภัย อันตรายที่คุกคามสวัสดิภาพความเป็นอยู่ของเรา เราก็ใช้ปัญญา เช่น งูเงี้ยวเขี้ยวขอสัตว์ร้าย หรือว่าภัยธรรมชาติ
ที่เรารอดมาได้ทุกวันนี้ ตั้งแต่หมื่นหรือแสนปีที่แล้วจนมาถึงปัจจุบันนี่ ก็เพราะว่ามนุษย์เรามีปัญญาในการแก้ปัญหา ในการจัดการกับอันตรายต่างๆ ทั้งสัตว์ร้าย ทั้งจากโรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งเวลาเรามาทำงานทำการ เราก็ใช้ปัญญา ใช้ความคิดในการแก้ปัญหา ทำให้เรามีชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้น
แต่ว่าปัญญาอย่างนี้มันไม่พอ มันต้องมีปัญญาอีกชนิดหนึ่ง คือปัญญาที่เข้าใจความจริงในชีวิตด้วย ปัญญาอย่างแรกนี่เป็นเรื่องของการจัดการสิ่งภายนอก รวมทั้งจัดการกับร่างกายของเราในยามเจ็บป่วย ดัดแปลงแก้ไขเพื่อให้ปัญหามันหมดไป หรือว่าทุเลาเบาบาง ซึ่งก็มีเรื่องให้ต้องทำต้องแก้ไม่หยุดไม่หย่อน
แต่ว่าเราต้องมีปัญญาที่เข้าใจความจริงของชีวิต ชนิดที่ทำให้มันไม่เกิดทุกข์ขึ้นมาในใจ ปัญญาชนิดแรกเอาไว้ใช้แก้ปัญหาภายนอก ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ภัยธรรมชาติ ความเจ็บป่วย หรือว่าความยากจน อุปสรรคในการงานต่างๆ
ที่เราไปเรียนมากมายในโรงเรียน มหาวิทยาลัย ก็เพื่อเพิ่มพูนปัญญาชนิดนี้ ซึ่งจำเป็นสำหรับการทำมาหากิน สร้างความสุข รวมไปถึงความมั่งมี รวมไปถึงการมีสถานะ มีชื่อเสียง แต่ว่ายังมีปัญหาอีกชนิดหนึ่ง ที่มันไม่ได้อยู่นอกตัว แต่มันเกิดขึ้นในใจเรา ความเครียด ความเศร้า ความวิตก ความโกรธ ความคับแค้น พวกนี้มันสามารถที่จะบั่นทอนจิตใจเรา แล้วก็ทำร้ายร่างกายเราได้มากเลย โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน
และการที่เราจะจัดการกับปัญหาหรือความทุกข์ชนิดนี้ มันต้องอาศัยปัญญาชนิดที่ 2 เรียกว่าปัญญาในการเข้าใจความจริงของชีวิตและโลก ถ้าไม่มีตรงนี้ แม้ว่าจะมีความสามารถในการแก้ปัญหาต่างๆ นานาชนิด นำพาให้ตัวเองประสบความมั่งคั่งร่ำรวย ประสบความสำเร็จ แต่ว่าก็จะไม่สามารถแก้ความทุกข์ในใจได้ เวลาชีวิตและโลกมันไม่เป็นไปอย่างที่หวัง เกิดความพลัดพรากสูญเสีย เกิดความไม่สมหวังขึ้นมา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น
แต่ถ้าเรามีปัญญาที่เข้าใจความจริงของชีวิต มันก็ทำให้อยู่กับความจริงที่ว่านี้ได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ เวลานี้เราเจอคนจำนวนมากที่เก่งในการแก้ปัญหา สามารถจะสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ตัวเองได้ แต่สุดท้ายพอไปเจอกับความจริงของชีวิต ที่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้ จิตใจก็ย่ำแย่ ความรู้หรือปัญญาอย่างแรกนี่ เอามาใช้ในการแก้ทุกข์ภายในใจไม่ได้
มีคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงปรากฏ ถูกกล่าวถึงในประวัติศาสตร์ ซึ่งถูกถอดออกมาเป็นนิยาย คือเรื่องสามก๊ก สามก๊กนี่ก็เป็นเรื่องที่คนไทยเรารู้จักกันดี มันก็มีสามก๊ก ก๊กเล่าปี่ ก๊กโจโฉ ก๊กซุนกวน
ก๊กซุนกวนมีแม่ทัพคนหนึ่งซึ่งเก่งมาก ชื่อว่าลกซุน ลกซุนนี่มีสติปัญญามีความสามารถ เดิมก็เป็นเสมียน เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย แต่ตอนหลังมีความสามารถก็ได้เป็นนายอำเภอ เป็นเมืองเล็กๆ แต่ว่าได้ความดีความชอบ เพราะว่าสามารถที่จะปราบโจรซึ่งมีเต็มบ้านเต็มเมืองได้
สมัยนั้นนี่มันวุ่นวายมาก โจรบางกลุ่มนี่มีพลพรรคเป็นร้อยเป็นพัน ลกซุนทั้งที่เป็นนายอำเภอเมืองเล็กๆ ก็สามารถที่จะปราบโจรผู้ร้ายได้ด้วยสติปัญญา ตอนหลังก็มีความดีความชอบ จนกระทั่งได้มาเป็นแม่ทัพของก๊กซุนกวน ทั้งที่ยังหนุ่มอยู่เลย และความสามารถก็เยอะมาก ส่วนหนึ่งก็เพราะมีคุณธรรมด้วย มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความเสียสละ ก็ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ
ลกซุนนี่เป็นตัวการที่ทำให้เมืองเกงจิ๋วที่กวนอูเป็นเจ้าเมืองแตกพ่าย กวนอูนี่เก่งมาก เป็นทหารเอกของเล่าปี่ ถูกส่งไปครองเมืองเกงจิ๋ว แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อกองทัพของลกซุน ด้วยปัญญา ตอนหลังกวนอูก็ถูกประหารชีวิต พอกวนอูถูกประหารชีวิต เล่าปี่เสียเมืองเกงจิ๋วนี่ เล่าปี่โกรธมากเลย กรีฑาทัพเป็นแสนเลย บางตำนานก็บอกเจ็ดแสน จะไปล้อมเมือง กังตั๋ง จะไปแก้แค้นให้กับกวนอู
กังตั๋งเป็นเมืองของซุนกวน ลกซุนนี่เป็นแม่ทัพใหญ่ อายุแค่ 30 กว่า แต่ปรากฏว่าสามารถที่จะตีทัพของเล่าปี่ ซึ่งมีกำลังพลมากกว่าหลายเท่า ให้แตกพ่ายไปได้ เสียหายยับเยินเลย ทั้งๆ ที่มีกำลังมากกว่า ตอนหลังเล่าปี่ก็พ่ายแพ้ เสร็จแล้วก็ไม่สามารถจะฟื้นก๊กของ ตัวเองได้เลย สุดท้ายเล่าปี่ก็ ตรอมใจตาย นี่เพราะฝีมือของลกซุนแท้ๆ เลย กวนอูก็ดี เตียวหุยก็ดี เล่าปี่ก็ดี ตายไล่ๆ กันนี่ เพราะฝีมือของลกซุน
ถึงเวลาที่โจโฉจะยกทัพมาบุกโจมตีกองทัพของลกซุน ซึ่งออกไปยึดเมือง ไปโจมตีเมืองของโจโฉ แล้วถูกทัพโจโฉส่งกองกำลังมาบดขยี้ ลกซุนก็สามารถที่จะพากองทัพของตัวหนีกลับเมืองกังตั๋งได้อย่างปลอดภัย ทั้งที่กำลังพลน้อยกว่า
เพราะใช้ปัญญาล้วนๆ เรียกว่าเป็นคนที่มีความสามารถ มีสติปัญญามาก และส่วนหนึ่งก็พอเป็นคนมีคุณธรรมด้วย ใครจะต่อว่าด่าทออย่างไรก็ไม่โกรธ หากว่าเป็นคนที่ปรารถนาดีต่อบ้านเมือง ก็สามารถที่จะระงับความโกรธไว้ได้ ก็เลยได้ใจของขุนนาง แม่ทัพต่างๆ ที่มีอายุมากกว่า
แต่ตอนหลังลกซุนก็มีปัญหากับซุนกวน เพราะว่าซุนกวนตอนหลังพอมีอำนาจมากขึ้น ก็เกิดหลงอำนาจขึ้นมา แล้วก็ไม่ฟังคำแนะนำหรือคำทัดทานของลกซุน ซึ่งตอนนี้จะเรียกว่าเป็นอุปราชก็ว่าได้ ใหญ่โตมาก ลกซุนก็แนะนำซุนกวนด้วยความปรารถนาดี ด้วยเอาประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
แต่ซุนกวนนี่ไม่ฟัง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับรัชทายาทและก็มเหสี แล้วแถมหูเบาด้วย มีคนเพ็ดทูลใส่หูซุนกวนว่าลกซุนนี่กระด้างกระเดื่อง ซุนกวนนี่ตอนหลังหูเบา เชื่อนะ ก็เลยเหินห่างหมางเมินกับลกซุน ตอนหลังก็ปลดลกซุน ดีนะที่ยังไม่ถึงกับจับไปประหาร เพียงแค่ปลด
ลกซุ่นพอหมดอำนาจ อันนี้ไม่เท่าไหร่ แต่พอเห็นผู้นำของตัวพาบ้านเมืองตกต่ำย่ำแย่ไปเรื่อยๆ แกเสียใจมากเลย มีทั้งความน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งความผิดหวัง อุตส่าห์อุทิศตัวเพื่อบ้านเมือง แต่เห็นบ้านเมืองตกต่ำย่ำแย่แบบนี้ เพราะผู้นำที่เริ่มจะหลงตัวมากขึ้น แกเสียใจมากเลย สุดท้ายก็ตรอมใจตาย ไม่ได้มีใครฆ่า แต่ว่าทำใจไม่ได้
อันนี้มันแสดงให้เห็นเลยนะว่า ทั้งๆ ที่มีปัญญาในการแก้ปัญหา เรียกว่ามีความฉลาดเฉลียวประหนึ่งเทพยดาเลย จะน้องๆ ขงเบ้ง แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ขาดไปคือปัญญาในการเข้าใจความจริงของชีวิต
ความที่ลกซุนเขาเป็นคนที่เสียสละเพื่อบ้านเมืองมาก เพราะเขามีความปรารถนาดีต่อบ้านเมือง เขาก็ยึดมั่นถือมั่นกับความเป็นไปของบ้านเมืองมาก บ้านเมืองที่ว่าก็คือก๊กซุนกวน แต่พอเห็นบ้านเมืองทำท่าจะตกต่ำย่ำแย่ เพราะผู้นำเริ่มจะไม่มีคุณธรรม ทำใจไม่ได้ ยอมรับความผกผัน แปรปรวนของบ้านเมืองไม่ได้
ซึ่งถ้ามองในแง่ของธรรมะนี่ก็เป็นธรรมดา สิ่งที่เรายึดมั่นแม้มันจะยิ่งใหญ่อย่างไร แต่วันหนึ่งก็ต้องมีวันแปรผัน ก็ต้องมีวันเสื่อม การที่เขายึดมั่นในประโยชน์สุขของบ้านเมือง มันก็ทำให้เขาเป็นคนที่เสียสละ และทำให้ชีวิตเขามีความหมาย แต่ว่าพอยึดมั่นถือมั่นแล้วไม่รู้จักปล่อยวาง ก็เลยเสียใจ คับแค้นใจ กลุ้มใจ ที่บ้านเมืองที่ยึดมั่นถือมั่นนี้มันไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ สุดท้ายตรอมใจตาย
สาเหตุแห่งความทุกข์ของลกซุนจะว่าไป มันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องความแปรผันของบ้านเมือง แต่เป็นเพราะความยึดมั่น ยึดมั่นในความเป็นไปของบ้านเมืองมากกว่า ไม่ยอมรับความแปรเปลี่ยนหรือความไม่เที่ยง
คนเราถ้ามีความเข้าใจในเรื่องชีวิตและโลก ก็เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นหรือเห็นคุณค่าว่ามีความสำคัญเพียงใด มันไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา ที่จะบังคับบัญชาให้เป็นไปดั่งใจได้ มันขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งแทบทั้งหมดนี้ไม่อยู่อำนาจของเรา ถ้าเข้าใจความจริงข้อนี้ เมื่อถึงเวลาที่มันแปรปรวนไป มันแปรเปลี่ยนไป ก็ทำใจได้ยอมรับได้
พยายามแล้ว แต่ว่าก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงให้มันเป็นไปอย่างปรารถนา ก็ยอมรับ อันนี้แหละต้องอาศัยปัญญา คือความเข้าใจในเรื่องของชีวิต แต่ถ้าไม่มีตรงนี้ เก่งแค่ไหนก็เอาตัวไม่รอด สุดท้ายลกซุนก็ตรอมใจตาย
สู้กับศึกนอกภายนอกก็เยอะ แต่ว่าสึกภายใน คือความเสียใจ ความคับแค้นใจ ความผิดหวัง จัดการไม่ได้ จะจัดการได้ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในเรื่องของชีวิต ถ้ามีปัญญาเข้าใจเรื่องของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ไม่ต้องระดับพระอรหันต์หรอกนะ ถ้าเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของฟ้าดิน อันนี้เป็นภาษาของคนจีนสมัยก่อน เข้าใจว่าเป็นเรื่องของฟ้าดิน มันไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะควบคุมอะไรได้ ยอมรับ ปราชญ์จีนหลายคน พอเขายอมรับความจริงได้ เขาก็ไม่ไปต่อสู้กับโชคชะตา ไม่ต่อสู้กับฟ้าดิน ก็กลับมาใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ สมถะ เพราะว่านี่คือสิ่งเดียวที่จะทำได้
เพราะฉะนั้นปัญญาในการเข้าใจความจริงของชีวิตและโลก เป็นสิ่งที่เราขาดไม่ได้เลย เราจะมีแต่ปัญญาในการแก้ปัญหาอย่างเดียวไม่พอ มีปัญญาในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับส่วนรวม หรือแม้กระทั่งกับตัวเอง ไม่พอ มันต้องมีปัญญาในการเข้าใจชีวิตและโลกด้วย
ไม่อย่างนั้นความรู้แม้จะมากเพียงใด ความสามารถจะประหนึ่งเทพยดาเพียงใด สุดท้ายก็เอาตัวไม่รอด อย่างที่เขาเรียกว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เพราะว่าเจอความผันผวนปรวนแปร ที่มันทำให้สิ่งต่างๆ ไม่เป็นดั่งใจ หรือสิ่งที่หมายมั่นปั้นมือไม่เป็นไปดั่งใจ
คนเราถ้าหากว่าสามารถจะยอมรับว่าโลกและชีวิตนี่มันไม่สามารถจะเป็นไปดั่งใจเราได้ทุกอย่าง ก็จะสามารถทรงใจให้เป็นปกติได้ แล้วก็อยู่ท่ามกลางความผันผวนปรวนแปรได้ และนี่คือดุลยภาพหรือสมดุลที่เราต้องมี ถ้าไม่มีก็เอาตัวรอดได้ยาก