พระอาจารย์ไพศาลวิสาโลวัดป่าสุคะโตแสดงธรรมเย็นวันที่ 26 ตุลาคม 2565
บ่ายวันนี้ได้ไปเทศน์งานศพที่บ้านตาดรินทอง ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่ใกล้วัดป่ามหาวัน ภูหลง ตั้งแต่เข้าพรรษามาจนถึงวันนี้ 3 เดือนครึ่ง มีงานศพที่บ้านนั้น 5 งานแล้ว
และระหว่างที่เดินทางไปงานเมื่อตอนบ่าย ปรากฏว่า 2 หมู่บ้านที่ผ่านนี่ คือบ้านกุดโง้ง แล้วก็บ้านท่าทางเกวียนก็มีงานศพเหมือนกัน เรียกว่ามีงานศพพร้อมๆ กันเลย 3 บ้าน ที่อยู่ใกล้ๆ กัน
วันนี้พระสุคะโตมีน้อย ส่วนหนึ่งก็เพราะไปช่วยสวดงานศพใน 2 หมู่บ้านที่ว่า 5 ศพที่บ้านตาดรินทองนี่ก็ถือว่าเยอะ แต่ก็น้อยกว่างานศพที่อาตมาไปร่วมตลอด 3 เดือนครึ่งที่ผ่านมา ตั้งแต่เข้าพรรษามาไปร่วมงานศพนี่ 12 งานแล้ว ไม่นับอีก 3 งานที่ไปไม่ได้ เพราะว่าไม่ว่าง เสร็จสรรพก็ 15 งานในช่วง 3 เดือนครึ่งที่ผ่านมา ก็เรียกว่าทุกอาทิตย์เลย
ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสังเกต แล้วทั้งหมดที่เสียชีวิตนี่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับโควิดเลยนะ ส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตก็เพราะโรคมะเร็ง โรคไตวาย โรคหัวใจ เกือบทั้งหมดก็อายุมากแล้ว 70-80 มีบ้างที่อายุ 50 หนึ่งราย อายุ 60 กว่า เพื่อนร่วมชั้นของอาตมามาหนึ่งราย
อันนี้ก็เป็นปรากฏการณ์ที่มันบอกอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะที่มีคนตายมากขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่บ้าน ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าในหมู่บ้านเดี๋ยวนี้มีคนแก่เยอะ เมืองไทยเราเข้าสู่ยุคสังคมสูงวัย
สมัยก่อน 30 กว่าปีที่แล้ว หมู่บ้านส่วนใหญ่บนเขานี่ คนแก่เป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่ก็วัยกลางคน 30-40 ตอนนี้วัยกลางคนที่ว่านี่ ก็กลายเป็นผู้สูงวัยไปเสียแล้ว อายุ 70 80 90 ก็มี ตอนนี้คนแก่เรียกว่าเป็นประชากรที่มีจำนวนมากในหมู่บ้าน เพราะฉะนั้นก็จะมีคนตายอยู่เรื่อยๆ
แต่ก่อน 30 ปีก่อน มีคนตายสักปีละคน อย่างมากก็ 2 คน แต่เดี๋ยวนี้ตายกันปีละ 5-6 คน หมู่บ้านตาดรินทองเมื่อปีที่แล้ว ตายไป 8-9 คน ตลอดทั้งปีถือว่าทำลายสถิติ ปีนี้ก็กำลังจะไล่ตามมา ตายไปแล้ว 6 คนได้ 7 คน
ในด้านหนึ่งมันก็ชี้ให้เห็นถึงปรากฏการณ์ของสังคมไทย ที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย คนแก่มีสัดส่วนเป็นประชากรที่มีสัดส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ในเวลาเดียวกันมันก็เป็นเครื่องเตือนใจเราอย่างดี ถึงแม้เราจะยังไม่ใช่เป็นผู้สูงวัย การที่มีงานศพเกิดขึ้นใกล้ๆ กัน ถี่ๆ กันนี่ แม้มันจะไม่ใช่เป็นสิ่งที่พึงประสงค์เท่าไหร่
แต่ข้อดีของมันคือเป็นสิ่งที่เตือนใจเรา เตือนใจเราถึงเรื่องความจริงของชีวิต ว่าเราทุกคนต้องตาย บางครั้งเราก็ลืมไป ความจริงที่ว่านี่ โดยเฉพาะถ้ายังหนุ่มยังสาว วิถีชีวิตที่เป็นอยู่ บ่อยครั้งมันทำให้เราลืมความจริงข้อนี้ไป
เพราะว่าเราเอาแต่ทำงานๆ ๆ จนไม่มีเวลาคิด หรือเตือนตนว่าสักวันหนึ่งเราต้องตาย หรือถึงไม่ทำงานก็เพลินไปกับความสุขสนุกสนาน โดยเฉพาะสังคมในปัจจุบัน เขาเชิดชูความหนุ่มสาว ความสนุกสนาน มีสิ่งบันเทิงเริงรมย์มาปรนเปรอเรา เรียกว่าตลอด 24 ชั่วโมงเลย แค่เปิดโทรศัพท์มือถือ จะดูหนังฟังเพลงเท่าไหร่ก็ได้
ความสุขสนุกสนานมันทำให้เราลืมไป ว่าชีวิตนี้จริงๆ มันไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าเพลิดเพลินยินดีไปล้วนๆ แต่มันเจือไปด้วยทุกข์ โดยเฉพาะความตาย
ถ้าเราไปงานศพมันก็ช่วยเตือนใจเรา ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ค่อยอยากไปงานศพ โดยเฉพาะคนที่เรารู้จัก แต่ว่ามันก็ช่วยทำให้เราได้รู้สึกสะดุด แทนที่จะปล่อยชีวิตให้ลั้นลา ก็สะดุดขึ้นมาว่าชีวิตนี้มันมีความตายเป็นส่วนหนึ่งที่หนีไม่พ้น
แล้วถ้าเราคิดให้ดีมากขึ้น เราก็จะพบว่าวันนี้มันเป็นความตายของคนอื่น แต่ต่อไปมันก็จะเป็นความตายของเรา เพียงแต่ว่าเขาไปก่อนเรา แต่สุดท้ายเราก็ต้องตามเขาไป เวลาไปงานศพหรือได้ยินข่าวคราวกับเรื่องคนตาย โดยเฉพาะคนที่เรารู้จัก
อย่าปล่อยให้ใจมันหดหู่เหี่ยวอย่างเดียว หรือเสียใจอย่างเดียว ให้น้อมเข้ามาใส่ตัวเรา คุณสมบัติของธรรมะประการหนึ่งคือว่าเป็นสิ่งที่พึงน้อมเข้ามาใส่ตัว โอปะนะยิโก ถ้าเราน้อมเข้ามาใส่ตัวมันก็เป็นธรรมะได้
ความตายของคนที่เรารู้จักก็ดี คนที่เราไม่รู้จักก็ดี หรือที่เราได้ยินได้ฟังได้อ่านมา ถ้าเราน้อมเขามาใส่ตัวมันก็เป็นธรรมะ เกิดความไม่ประมาทขึ้นมาในชีวิต เรียกว่า อัปปมาทธรรม สำคัญมากทีเดียว
ความตายโดยเฉพาะเมื่อเรานึกถึงความตายของตัวเอง มันทำให้เราตั้งคำถาม รู้จักใคร่ครวญกับชีวิตของเรา คำถามที่สำคัญก็คือว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเรามันดีแล้วหรือยัง เราพอใจกับชีวิตที่ผ่านมาหรือเปล่า
คนเราจำเป็นต้องใคร่ครวญชีวิตอย่างนี้บ้าง ไม่ใช่เอาแต่มองไปข้างหน้า แล้วก็ปล่อยชีวิตให้เป็นไปไปตามความทะยานอยาก แม้แต่เวลาเราใคร่ครวญชีวิตของเราที่ผ่านมา มันก็ไม่ใช่เพียงแค่มาดูว่าเราประสบความสำเร็จไปถึงไหน ได้บรรลุถึงความใฝ่ฝันแล้วหรือยัง เท่านั้นไม่พอ
เราต้องถามตัวเราเองว่า ถ้าหากว่าเราจะต้องตายวันนี้วันพรุ่ง หรือตายไปในอีก 3 เดือน หรือ 1 ปีข้างหน้า เรายังจะใช้ชีวิตแบบที่เป็นอยู่หรือเปล่า อันนี้สำคัญมากทีเดียว หลายคนไม่เคยถามแบบนี้
ได้แต่ถามว่าเราประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งเป้าไว้ไหม ตอนเรียนจบก็ตั้งเป้าว่าจะต้องมีเงินล้านภายใน 5 ปี ตอนนี้มีเงินครบล้านหรือยัง อันนี้มันไม่พอ หรือมันไม่ถูกด้วยซ้ำ เพราะว่าเราอาจจะมีชีวิตไปไม่ถึงพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ ใคร่ครวญ สอบถามว่าชีวิตของเรามันเป็น สิ่งที่น่าพึงพอใจหรือยัง ในแง่ที่ว่าถ้าหากเราจะต้องตายในอีกไม่กี่วัน ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เรายังจะใช้ชีวิตแบบนี้หรือเปล่า
ฉะนั้นถ้าเรายังคิดว่ายังจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป อันนี้ก็อาจจะเรียกว่าเราอาจจะมีความพร้อมมากขึ้น ในการที่จะเผชิญกับความตายที่จะมาถึง
การใช้ชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อเรานึกถึงความตายที่จะเกิดขึ้นกับเรา หลายคนไม่เคยตั้งคำถามเลย ไม่เคยใคร่ครวญเลย เอาแต่ทำงานหาเงิน เอาแต่ปล่อยชีวิตไปตามความทะยานอยาก เสร็จแล้ววันหนึ่งพบว่าตัวเองเป็นโรคร้าย แล้วสุดท้ายก็นอนติดเตียง ความตายใกล้เข้ามา หลายคนก็รู้สึกเสียใจ
คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเสียใจ เสียใจอะไร เสียใจกับชีวิตที่ผ่านมา หลายคนจะบอกว่ารู้อย่างนี้จะไม่ทำ หรือจะไม่ใช้ชีวิตแบบที่เป็นอยู่ จะไม่มัวแต่ทำงานหาเงิน จะไม่มัวแต่สนุกสนาน จนลืมสิ่งที่เป็นคุณค่าหรือความสำคัญ บางคนก็เสียใจที่ไม่ได้ดูแลพ่อแม่ ไม่ได้เอาใจใส่ท่าน
บางคนก็เสียใจที่มีเวลาให้กับลูกน้อยไป เพราะมัวแต่ทำงานหาเงิน หวังแต่ว่าจะสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับลูก และอนาคตที่ว่านี้ก็เอาเงินเป็นหลัก
แต่สุดท้ายก็พบว่าอันนั้นไม่มีความสำคัญเท่ากับเวลาที่จะให้กับลูก ซึ่งตอนนี้มันแทบไม่เหลือแล้ว อย่าปล่อยให้ตัวเองเสียใจเมื่อวันนั้นใกล้เข้ามา แต่คนที่เขารู้จักใคร่ครวญชีวิต โดยพิจารณาถึงความตาย ที่มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ไม่รู้
มันก็ทำให้เขารู้จักปรับเปลี่ยนชีวิตให้มันเป็นในทางที่ถูกต้อง โดยเฉพาะเป็นชีวิตที่มีคุณค่า มีความหมาย ไม่ใช่ความสบาย หลายคนคิดถึงแต่ความสบาย และความสบายที่ว่านี่ก็ต้องได้มาด้วยเงินทอง แต่ที่จริงความสบายมันคือสิ่งที่กายต้องการ ร่างกายเราต้องการ ความสบาย ต้องการเบาะที่นิ่ม ต้องการบ้านที่โปร่งโล่ง หรือว่ามีรั้วรอบขอบชิด
ความสบายเป็นเรื่องของร่างกาย ส่วนใจต้องการอะไร ใจต้องการสิ่งที่มีความหมาย แต่คนไปเข้าใจว่าชีวิตเราต้องการความสบาย ไม่ใช่นะ ความสบายเป็นสิ่งที่กายต้องการเท่านั้นแหละ ส่วนใจต้องการสิ่งที่มีความหมาย ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า มีความหมาย
ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือว่าเป็นชีวิตที่มั่นคงตั้งมั่นในความดี ถึงเวลาจะตายมันก็ไม่รู้สึกเสียดายกับชีวิตที่ผ่านมา ความรู้สึกภาคภูมิใจกับชีวิตที่ผ่านมา ก็มีส่วนช่วยทำให้ความทุกข์ทรมานในเวลาที่จะตายมันลดน้อยถอยลง เพราะอย่างน้อยไม่มีความเสียใจ
หลายคนไม่ยอมตาย ฉันยังไม่อยากตายๆ เพราะอะไร เพราะว่ายังไม่ได้ทำอะไรให้พ่อแม่เลย เอาแต่เบียดเบียนพ่อแม่ หรือบางคนก็ยังไม่อยากตาย เพราะยังไม่ได้ทำอะไรให้กับลูกเท่าที่ควร แต่ยิ่งคร่ำครวญแบบนั้นก็ยิ่งทุกข์ทรมานเข้าไปใหญ่ แต่ถ้าหากเราใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย มันมีความภาคภูมิใจ การที่จะพร้อมตายมันก็ง่ายขึ้น
แต่นอกจากการใคร่ครวญชีวิตแล้ว มันจำเป็นที่เราต้องใคร่ครวญเรื่องความตายด้วย จะใคร่ครวญแต่เรื่องชีวิตอย่างเดียวไม่พอ ต้องใคร่ครวญเรื่องความตาย เพราะว่ามันคือสิ่งที่เราต้องเจออย่างแน่นอน
ใคร่ครวญเรื่องความตายนี่หมายความว่าอย่างไร หนึ่งคือเป็นสิ่งที่เราต้องเจออย่างแน่นอน แต่ในความแน่นอนก็เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน คือว่าไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ แล้วมันสามารถจะเกิดขึ้นได้อย่างถูกปุบปับเลยก็ได้
มีภาษิตที่บอกว่า ไม่มีใครรู้หรอกว่าพรุ่งนี้หรือชาติหน้าอะไรจะมาก่อน เป็นสัจธรรมจริงๆ นะ อย่าไปคิดว่ามีพรุ่งนี้นะ เพราะสำหรับหลายคนวันนี้คือวันสุดท้ายของเขา คนไทยมีประมาณ 1,400 คน ที่วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเขาแล้ว พ้นจากวันนี้ไปก็ชาติหน้าเลย แล้วใน 1,400 คนนี่ก็ไม่รู้รวมถึงเราที่อยู่ตรงนี้หรือเปล่า
ฉะนั้นความตายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งมันทำให้เราต้องยิ่งตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไป ขณะเดียวกันความตายถ้าเราเข้าใจ ก็จะพบว่ามันก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายหรือน่ากลัว ความตายแม้จะเป็นวิกฤต แต่มันก็เป็นวิกฤตทางกาย แต่สามารถจะเป็นโอกาสทางจิตใจหรือทางจิตวิญญาณได้
ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยกล่าวว่า นาทีใกล้ตายคือนาทีทองของชีวิต เพราะเป็นช่วงเวลาที่สัจธรรมความจริง โดยเฉพาะพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะแสดงตัวให้เราเห็นอย่างชัดเจน
อาจจะเหมือนกับดวงอาทิตย์เลยที่มันส่องสว่าง อยู่ที่ว่าใจเราจะเปิดรับ แล้วก็ยอมรับไหม ถ้าหากว่าใจเปิดรับ โอกาสที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ บรรลุอรหัตผลก็มีมากเลยทีเดียว เพราะว่าพระอรหันต์สมัยก่อน มีหลายท่านท่านก็บรรลุอรหัตผล ตอนกำลังจะตายนี่แหละ เพราะว่าสังขารมันแสดงไตรลักษณ์ให้เห็นอย่างชัดเจน
แต่ถึงแม้จะไม่มีปัญญาจะเห็นสัจธรรมขนาดนั้น แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะต้องยัดเยียดความทุกข์ให้กับเราเสมอไป ความตายก็มีสิ่งดีๆ ที่จะให้กับเรา เราไม่จำเป็นต้องตายด้วยความทุกข์ทรมานเสมอไป คนจำนวนไม่น้อยก็สามารถจะตายอย่างสงบได้ ฉะนั้นถ้าเรารู้ ความจริงข้อนี้ มันก็ทำให้เราไม่หวั่นเกรง หรือพรั่นพรึงต่อความตาย
พระสารีบุตรท่านพูดดีนะ ท่านบอกว่า เราไม่ติดใจในชีวิตและเราไม่ได้ชื่นชอบความตาย เราคอยเวลาเหมือนลูกจ้างที่รอเวลาเลิกงาน ลูกจ้างนี้ก็ย่อมรอเวลาเลิกงาน ความตายก็มีแง่มุมที่เหมือนกับการเลิกงาน
หรืออีกท่านหนึ่งพระสังกิจจะ ท่านก็บอก เรารอความตายเหมือนกับลูกจ้างที่ทำงานเสร็จแล้วรอรับค่าจ้าง ฟังอย่างนี้แล้วก็ดูว่ามันไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวเลย มันเป็นช่วงขณะที่ดี จะเรารอรับค่าจ้าง
พระอธิมุตก็เคยกล่าวกับโจร โจรจะฆ่าท่าน ท่านไม่กลัวเลย โจรก็ถามว่าทำไมถึงไม่กลัว ท่านบอกว่าเราไม่กลัวความตาย เหมือนกับคนที่ไม่กลัวที่จะวางภาระลง
การมีชีวิตนี่ก็เหมือนกับยังแบกภาระ แต่ตายเมื่อไหร่ก็คือการวางภาระ มันก็กลายเป็นช่วงเวลาที่ดีเหมือนกัน มีชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเป็นนักธุรกิจ อายุ 70 กว่าแล้วก็เป็นโรคร้าย แต่แกก็ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่ามีความหมาย ตอนใกล้ตายแกก็บอกว่า ผมได้บรรลุทุกอย่างที่ปรารถนาแล้ว ตอนนี้ผมกำลังรอพิธีรับรางวัล
เขารอความตายเหมือนกับรอพิธีรับรางวัล คนที่จะพูดอย่างนี้ได้ก็เพราะว่าได้ใช้ชีวิตมาอย่างคุ้มค่า เต็มไปด้วยความหมาย และขณะเดียวกันก็เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับความตาย
แต่จะเตรียมตัวเตรียมใจได้ก็เพราะมีความเข้าใจเรื่องความตาย ถ้าไม่เข้าใจเรื่องความตายก็จะเห็นความตายเป็นเรื่องน่ากลัว แต่ถ้าเข้าใจความตายก็จะพบว่า คนเรานี่สามารถจะตายอย่างสงบได้ เราสามารถจะพบกับความสงบอย่างยิ่งก่อนที่จะสิ้นลมได้
อันนี้พระพุทธเจ้าก็ตรัสเหมือนกัน เป็นพุทธภาษิตสั้นๆ บุญย่อมทำให้เกิดสุขในเวลาสิ้นชีวิต หมายความว่าในเวลาสิ้นชีวิตสามารถจะเกิดความสุขได้ หรือสามารถจะเป็นสุขได้ เพราะอะไร เพราะว่าได้นึกถึงบุญ หรือได้บำเพ็ญบุญ อาจจะเป็นบุญที่เคยทำในอดีตแล้วระลึกนึกถึง หรือบุญที่พึ่งทำ
และบุญที่ว่านีมันไม่ใช่แค่การให้ทาน ยังรวมถึงเรื่องภาวนาด้วย หรือเรื่องศีลด้วย พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้เองสมัยที่เป็นพระโพธิสัตว์ เมื่อตั้งมั่นในธรรมย่อมไม่กลัวปรโลก ตั้งมั่นในธรรมคืออะไร คือมั่นคงในความดี ถ้ามั่นคงในศีลในธรรม ย่อมไม่กลัวปรโลก หรือย่อมพบสุขในเวลาสิ้นชีวิต
มีคนหลายคนแม้จะไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แล้วก็ไม่ได้เป็นพระด้วย แต่ก่อนตายเขาก็บอกว่าเขาเป็นคนที่มีความสุขคนหนึ่ง อย่างคุณปู่คนหนึ่งซึ่งป่วยด้วยโรคร้าย และเลือกที่จะมาตายที่บ้าน แทนที่จะไปยื้อที่โรงพยาบาลในห้องไอซียู
แกขอมาตายที่บ้านดีกว่า แล้วก็มีหมอมาดูแล มีพยาบาลมาดูแล ให้การดูแลแบบประคับประคอง ช่วยลดความเจ็บความปวด ทำให้สุขสบาย แต่ไม่ได้ยื้อชีวิต ได้มีเวลาอยู่ใกล้หลาน ใกล้ลูก อยู่บนเตียงที่ตัวเองคุ้นเคย สองสามวันสุดท้ายแกยังพูด ถึงแม้ผมจะไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ถึงแม้ว่าสมองผมจะสับสนอยู่บ้าง แต่ผมก็มีความสุขนะ นี่พูด 2-3 วันสุดท้าย วันสุดท้ายขณะที่ยังรู้สึกตัวก็ยังพูดว่า ผมก็เป็นคนที่มีความสุขคนหนึ่ง
ถ้าเรามองหรือเข้าใจความตายในแง่นี้ เราก็จะเข้าใจว่าความตายมันไม่ได้น่ากลัว แต่ทำอย่างนี้ได้มันก็ต้องลงทุนลงแรง คือฝึกฝน ทั้งในแง่ของการทำความดี สร้างบุญสร้างกุศล รู้จักใคร่ครวญชีวิต รู้จักศึกษาทำความเข้าใจเรื่องความตาย
รวมทั้งรู้จักเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับความตาย ไม่ว่าจะเป็นการเจริญมรณะสติ ที่สำคัญคือรู้จักฝึกใจให้ปล่อยวาง ถ้ายังปล่อยวางไม่ได้ ยังห่วงลูกห่วงหลาน ยังห่วงงาน หรือว่ายังมีความคับแค้น ยังมีความผูกโกรธ หรือยังมีความรู้สึกผิดติดค้างใจ ตายยากนะ ก่อนตายก็ทรมาน ตายแล้วก็ไม่รู้จะไปอบายหรือเปล่า
แต่ถ้าหากว่ารู้จักปล่อยวางด้วยการฝึกจิต ด้วยการวางใจอย่างถูกต้อง ไม่ใช่มาทำตอนใกล้ตาย แต่ทำในขณะที่ยังสุขสบายดีอยู่ หรือทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ถึงเวลามันก็จะปล่อยวางได้ง่าย ยิ่งถ้าฝึกสติ เจริญสมาธิ มีความรู้สึกตัว
บางครั้งมันจะมีความกลัว มันจะมีอารมณ์ที่เป็นอันกุศลผุดขึ้นมา ก็สามารถปล่อยวางมันได้ หรือผ่านมันไปได้ ไม่ปล่อยให้มันครองใจ ใครจะไปรู้มันอาจจะโผล่ขึ้นมาอย่างไม่ทันคาดคิดก็ได้ แต่ถ้ามีสติ ไม่ปล่อยใจให้ถลำไปในอารมณ์เหล่านั้น มันก็ผ่านตลอดได้เหมือนกัน
ยิ่งถ้ามีปัญญา ฝึกจิตเจริญวิปัสสนาจนกระทั่งได้บรรลุ อย่างที่ท่านอาจารย์พุทธทาสเรียกว่าตายก่อนตาย คือละความหลงผิดว่ามีตัวเรา ทำให้ตัวกูมันตายก่อนที่จะหมดลม ถึงตอนนั้นความตายก็ไม่น่ากลัวแล้ว เพราะมันมีแต่ความตาย แต่ไม่มีผู้ตาย
ที่เรากลัวตายเพราะมันยังมีความรู้สึกว่ากูจะตายๆ มันมีความสำคัญหมั่นหมายว่ากูที่กำลังจะตาย รู้สึกทรมานมากถ้ามีความสำคัญมั่นหมายแบบนั้น แต่ถ้าหากว่าเจริญสติมีปัญญา จนกระทั่งมันละความหลงผิดว่ามีกู มันก็มีแต่ความตาย แต่ไม่มีผู้ตาย และสุดท้าย แม้แต่ความตายก็ไม่มีด้วย มีแต่การเปลี่ยนสภาพ
ความตายจะว่าไปก็เป็นสมมติอย่างหนึ่ง สมมติเวลาชีวิตเราสิ้นสุด เราก็เรียกว่านั่นแหละคือความตาย แต่จริงๆ ชีวิตมันไม่ได้สิ้นสุด มันยังไปต่อ รูปก็ยังคืนสู่ดิน น้ำ ไฟ ลม น้ำก็ยังมีความสืบเนื่องต่อไป มันไม่มีอะไรที่สิ้นสุด มันยังมีความสืบเนื่องต่อไปเรื่อยๆ
แม่น้ำเจ้าพระยา เราก็เรียนมาว่ามันสิ้นสุดที่อ่าวไทย แต่จริงๆ แล้ว ที่สิ้นสุดนี่คือชื่อเท่านั้นแหละ เพราะว่าตัวน้ำ มันก็ไม่ได้จบตรงที่อ่าวไทย น้ำก็ยังไหลต่อ เพียงแต่ไหลจากแม่น้ำสู่ทะเล มันยังมีความสืบเนื่องของน้ำ สิ่งที่สิ้นสุดก็คือชื่อนั่นแหละ แต่ว่าน้ำไม่ได้สิ้นสุด มันก็ยังไปต่อ
เพราะฉะนั้นเวลาระลึกถึงความตาย เราหมายถึงความสิ้นสุดของชีวิต ที่จริงมันไม่ได้สิ้นสุดหรอก มันไปต่อ มีความสืบเนื่อง ถ้าเราเข้าใจแบบนี้ มันก็ไม่มีแม้กระทั่งความตาย
หรืออย่างที่ท่านติชนัทฮันห์บอกว่าเมฆไม่เคยตาย เพราะเมฆแค่เปลี่ยนสภาพกลายเป็นฝน ฝนตกลงมากลายเป็นแม่น้ำลำคลอง เสร็จแล้วมันก็อาจจะเหือดแห้งไป แต่มันไม่ได้ตาย มันแค่เปลี่ยนสภาพ ถ้าเราเข้าใจแบบนี้ มันก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว เพราะมันไม่มีแม้กระทั่งความตาย และผู้ตาย
พวกนี้ก็ต้องฝึกเอานะ ต้องฝึกฝน จนกระทั่งสติแก่กล้า ปัญญาแทงทะลุถึงสัจธรรม จึงจะเรียกว่าเมื่อถึงเวลาก็พร้อมตายหรือเต็มใจตาย พวกเราถ้าฝึกมาถึงตรงนี้ได้ คือเต็มใจตาย มันไม่มีความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นเลย.