แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 25 ตุลาคม 2565
มีเด็กชายคนหนึ่งอายุ 12 ขวบ เป็นเด็กฉลาด แต่ว่าซนมากแล้วก็ชอบหาเรื่องชกต่อยกับเพื่อน เด็กคนนี้เป็นเด็กกำพร้าก็เลยอยู่กับป้า วันหนึ่งเขาไปต่อยกับเพื่อน ป้าก็เลยลงโทษ วันนั้นเป็นวันหยุดปกติเด็กคนนี้ก็จะออกไปเล่นกับเพื่อนๆ ไปว่ายน้ำ เป็นหมู่บ้านชนบท แต่ว่าวันนั้น ป้าไม่อนุญาตให้หลานนี้ไปว่ายน้ำ ไปเล่นกับเพื่อนๆ แต่ให้ทำงานเป็นการลงโทษ งานที่ทำก็คือทาสีรั้วรั้วบ้าน เป็นบ้านชนบท เพราะฉะนั้น รั้วก็ค่อนข้างจะยาวเหมือนกัน เด็กคนนี้ก็เรียกว่าห่อเหี่ยวไปเลยนะ เพราะว่าแทนที่จะได้ไปเที่ยวกับเพื่อนก็มาทำงาน
ขณะทำงานทาสีอยู่ ก็มีเพื่อนคนหนึ่งสมมติว่าชื่อบอยก็แล้วกันเดินผ่านมา เพื่อนเห็นเด็กชายคนนี้ สมมติว่าชื่อตุ๊ก็แล้วกันนะ บอยเห็นตุ๊กำลังทาสีอยู่ แทนที่จะไปเล่นกับเพื่อนๆ ก็เลยพูดหยอกว่า วันนี้ทำไมไม่ไปเล่นกับเพื่อนๆ ไม่ไปว่ายน้ำล่ะ ตุ๊เป็นเด็กฉลาดก็แกล้งทำทีเป็นสนอกสนใจกับการทาสีรั้ว ไม่ตอบ ไม่ตั้งใจฟังเลยด้วยซ้ำ ง่วนอยู่กับการทาสี บอยนี่ก็แปลกใจนะก็เลยถามอีก แล้วนี่ไม่ไปเล่นกับเพื่อนๆ เหรอ ทำไมมาทาสีแบบนี้น่าเบื่อจะตาย ตุ๊พอได้ฟังเพื่อนซักไซ้ก็เลยพูด แต่เป็นการพูดตอบโดยที่ตาก็ยังอยู่กับการทาสี เหมือนกับว่าเป็นเรื่องที่เหมือนเขาสนอกสนใจการทาสีมาก แม้แต่ตอบเพื่อนก็ไม่ได้หันหน้าไปตอบ
เขาบอกว่า ป้าให้ฉันมาทาสีวันนี้นะเพราะว่ามันเป็นเรื่องสำคัญทีเดียวนะทาสีรั้วบ้านนี่ เพราะรั้วบ้านนี่คือหน้าตาของบ้าน แล้วมันต้องใช้ความสามารถ ต้องใช้ทักษะ จะเอาใครมาทานี้ไม่ได้หรอก ต้องเป็นคนที่เก่ง ว่ายน้ำนี่นะว่ายน้ำที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ทาสีรั้วบ้านนานปีจะมีสักครั้ง โอกาสแบบนี้หายาก เพราะฉะนั้นฉันไม่สนใจหรอกนะว่ายน้ำ ฉันจะทาสี บอยเกิดสนใจขึ้นมา ทีแรกว่าจะล้อเพื่อนว่า วันนี้เพื่อนถูกลงโทษหรือเปล่านะ จึงไม่ได้ไปว่ายน้ำกับเพื่อน แต่ตอนนี้เริ่มสนใจ แล้วรู้สึกว่ามีการทาสีรั้วบ้านนี้เป็นเรื่องสำคัญทีเดียว ก็อยากจะทาสีบ้าง แต่ว่าตุ๊นี่ก็แกล้งทำเป็นไม่ยอมอนุญาตให้เพื่อนมาทา บอกไม่ได้หรอกนะ นี่เป็นงานนี้สำคัญนะ ไม่ใช่ใครจะมาทาสีก็ได้ ต้องเป็นคนเก่ง คนมีความสามารถ ยิ่งพูดแบบนี้บอยก็ยิ่งอยากจะทาสี รบเร้าเท่าไหร่ตุ๊ก็ไม่ยอม สุดท้ายตุ๊เขาบอกว่า จะทาก็ได้นะแต่ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน ตอนนั้นบอยกำลังกินขนมอยู่ ตุ๊เลยว่า เอาขนมมาให้ฉันเป็นค่าทาสี บอยก็ยินดีเลยนะ เอาขนมนี้ให้หมดเลย ให้กับตุ๊เพื่อตัวเองจะได้ทาสีรั้ว
ก็ปรากฏว่าสุดท้าย ตุ๊ก็ไม่ต้องทาสีเองละ มานั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ปล่อยให้บอยนี่ตากแดดทาสี บอยนี้ก็มีความสุขกับการทาสี สักพักก็มีเพื่อนคนนั้นคนนี้มาอีก เพื่อนก็ถามว่าทำอะไร ตุ๊ก็พูดเหมือนเดิมว่า นี่งานสำคัญนะนี่ ป้านี่ไม่ใช่ให้ใครมาทำง่ายๆ นะ เพราะว่ารั้วบ้านนี่เป็นหน้าตาของเจ้าของบ้านเลย เพื่อนคนแล้วคนเล่าก็สนใจอยากจะมาทาสีด้วย ตุ๊ก็บอกว่าจะทาสีได้ ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนนะ เอาขนมมา บางคนมีผลไม้ก็ยอมนะยอมมอบให้กับตุ๊ เพื่อจะได้มีโอกาสทาสีรั้ว เป็นอันว่าบ่ายวันนั้น มีเพื่อนของตุ๊นี้มามะรุมมะตุ้มทาสีกันใหญ่ ส่วนตัวตุ๊นี้ไม่ต้องทำอะไร นั่งเล่นแล้วก็กินขนมที่เพื่อนเอามาให้เป็นค่าแลกเปลี่ยน จากงานทาสีที่น่าเบื่อ ไปว่ายน้ำนี่ดีกว่า กลายเป็นว่าเด็กๆ นี่ไม่สนใจว่ายน้ำ เด็กๆ สนใจจะมาทาสี อันนี้ก็เป็นความฉลาดของตุ๊ ทำไมงานทาสีที่บางคน หรือเด็กบางคนที่คิดว่าเป็นงานน่าเบื่อ แต่ทำไมหลายคนกลับรู้สึกสนุก ก็เพราะว่ามันเป็นงานสำคัญ เขารู้สึกว่าเป็นงานสำคัญ เป็นงานที่ไม่ใช่ใครจะมาทำได้ต้องคนมีความสามารถ พอมีความคิดแบบนี้แล้ว การทำงานทาสีรั้วบ้านก็กลายเป็นเรื่องที่สนุกขึ้นมาเลย แล้วยิ่งมีคนหลายคนมาทำด้วย ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่ สนุกกว่าว่ายน้ำ อันนี้ชี้ให้เห็นเลยว่า
งานไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตามมันไม่สำคัญเท่ากับว่า เรารู้สึกกับงานอย่างไร
ถ้าเราคิดว่าเป็นงานที่น่าเบื่อ ทำไปก็ทุกข์ ทำไปก็บ่นไป แต่ถ้าคิดว่า นี่คืองานสำคัญ เป็นงานที่ไม่ใช่ว่าใครจะทำได้ ก็จะรู้สึกว่าเป็นงานที่ทำแล้วมีความสุข หลายคนทุกวันนี้ทำงานด้วยความทุกข์ เพราะไปคิดว่างานที่ทำอยู่ไม่สำคัญ เป็นงานที่น่าเบื่อ จริงๆ มันไม่ใช่ เป็นเพราะงานหรอก แต่เป็นเพราะว่า ความคิดของคนทำ ต่างหาก ถ้าคิดว่าเป็นงานที่น่าเบื่อทำแล้วก็มีความทุกข์ แต่ถ้าคิดว่าเป็นงานสำคัญ เป็นงานที่ไม่ใช่ว่าใครจะทำได้ง่ายๆ คนทำก็จะมีความสุข รู้สึกมีความภาคภูมิใจ แล้วยิ่งมาทำกันหลายคนก็ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่
ปกติงานทาสีนี้ไม่มีใครอยากทำนะ ขนาดจ้างยังไม่ทำเลย เด็กบางคนบอกว่าไม่เอา ไปเล่นดีกว่า แต่ตุ๊ฉลาด เขาสามารถที่จะทำให้เพื่อนๆ นี่มาทาสีอย่างสมัครใจ แล้วก็พร้อมที่จะจ่ายไม่ใช่เงินนะ แต่เป็นขนม ยอมเสียเงินเพื่อจะได้มีโอกาสมาทาสี ลองนึกภาพ ถ้าตุ๊ขอร้องเพื่อนให้มาช่วยทาสีหน่อย เพื่อนก็ไม่ทำหรอก ฉันจะทำทำไมฉันไปว่ายน้ำดีกว่า พอเขาออกอุบายว่า นี่งานสำคัญนะ งานที่ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้ ว่ายน้ำนี่ว่ายเมื่อไหร่ก็ได้แต่งานแบบนี้นี่นานปีทีหน คนก็สนใจขึ้นมา ยอมที่จะจ่าย ยอมที่จะให้ ขนมเพื่อที่จะได้มาทำ มันอยู่ที่เขาเรียกว่าทัศนคตินะ
ถ้ามีทัศนคติต่องานแบบนี้ ทำงานก็มีความสุข แม้จะต้องตากแดด แม้จะไม่ได้เล่นหรือไปว่ายน้ำ ไม่ใช่ทำงานอย่างเดียว เรียนหนังสือเหมือนกัน ถ้าหากว่าพ่อแม่ทำให้เด็กมีความเข้าใจแบบนี้บ้าง เรียนหนังสือก็สนุกนะ สนุกกว่าไปเที่ยวไปเล่นซะอีก แต่เพราะว่าเด็กไม่มีความรู้สึกแบบนั้น การเรียนหนังสือก็เลยเป็นความทุกข์ โตขึ้นมาทำงานก็ทุกข์อีก เพราะว่ามี ทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง.