พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล แสดงธรรมงานทอดกฐิน วัดป่าสุคะโต วันที่ 15 ตุลาคม 2565
งานกฐินปีนี้ที่วัดป่าสุคะโตมีญาติโยมสาธุชนมาร่วมกันบำเพ็ญบุญมากมายกว่าปีที่แล้ว หรือที่จริงมากกว่าสองปีที่แล้ว
เพราะว่าสาเหตุสำคัญก็คือโรคโควิดซึ่งแพร่ระบาดมาเป็นเวลาสองปีครึ่ง ก็เริ่มคลี่คลายลง แล้วก็มีแนวโน้มว่าโรคระบาดนั้นจะกลายเป็นอดีตไป คือกลายเป็นแค่โรคติดต่อ ไม่ต่างจากโรคหวัด อันนี้ก็ถือว่าเปรียบเสมือนฟ้าที่เคยปิด ตอนนี้ก็เริ่มเปิดแล้ว เมฆหมอกที่เคยปกคลุมบ้านเมืองมาเป็นเวลาสองปีกว่า ที่จริงก็ปกคลุมทั้งโลกเลย ก็เริ่มจะคลี่คลายลง
ต่อไปเราก็คงจะสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ หรืออย่างน้อยก็แตกต่างจากเมื่อสองปีที่ผ่านมา ทุกคนก็ย่อมรับรู้ดีนะว่า ช่วงที่โควิดแพร่ระบาดเป็นช่วงเวลาที่พวกเราประสบกับความทุกข์มากมายหลายประการ ทั้งในเรื่องชีวิต ในเรื่องการทำงาน
เพราะฉะนั้นการที่โรคโควิดจะคลี่คลายหายไป จากการเป็นโรคระบาดกลายเป็นโรคติดต่อ ก็ถือว่าเป็นนิมิตที่ดี อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเราได้ประสบกับความทุกข์มากมายหลายประการในช่วงสองปีครึ่งที่ผ่านมา เราก็ไม่ควรจะปล่อยให้เหตุการณ์นั้นกลายเป็นอดีตไป
ถ้าพูดอย่างภาษาของหลวงพ่อคำเขียนก็คือว่า ในเมื่อทุกข์แล้วก็อย่าทุกข์ฟรีๆ ต้องรู้จักหาประโยชน์จากมันบ้าง ก็คือมาทบทวนว่า การแพร่ระบาดของโควิดในช่วงสองปีครึ่งที่ผ่านมา ให้บทเรียนอะไรกับเราบ้าง ถ้าเราไม่รู้จักทบทวนหาบทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็เท่ากับว่าประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นไร้ประโยชน์ มีแต่ความทุกข์ล้วนๆ แต่ไม่เกิดประโยชน์โภชน์ผลใดๆ ตามมาเลย ซึ่งไม่ใช่วิสัยของชาวพุทธ
ชาวพุทธเราต้องรู้จักหาประโยชน์ แม้กระทั่งจากความทุกข์ หรือจากเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น โควิดได้สอนอะไรกับเราบ้างในช่วงสองปีครึ่งที่ผ่านมา
ประการแรกก็คือ มันได้บอกเราว่า อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ที่ไม่เคยเกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปิดน่านฟ้า งดการเดินทางออกนอกประเทศ งดการสัญจรด้วยเครื่องบิน หรือว่าล็อกดาวน์ทั้งประเทศ อันนี้คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และหลายคนก็คิดว่ามัน ไม่น่าจะเกิดขึ้นในชีวิต แต่มันก็เกิดขึ้นมาแล้ว มันก็ได้ยืนยันว่าอะไรๆ ก็ไม่แน่นอน ทุกอย่างก็เกิดขึ้นได้เสมอ แม้ว่ามันจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ประการต่อมาก็คือโควิดได้สอนเราว่า สิ่งสำคัญในชีวิตที่เรามักจะมองข้ามไป แต่มันได้แสดงตัวอย่างชัดเจนในช่วงโควิดก็คือ ความสุขที่เกิดจากการที่ได้ติดต่อสัมพันธ์กัน การที่เราได้มีโอกาสพบปะกัน ได้ไปหาพ่อแม่ญาติพี่น้อง พบปะเพื่อนฝูง เป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเราที่ทำให้เรามีความสุข เราไม่เคยตระหนักตรงนี้เลย
จนกระทั่งเมื่อมีการล็อกดาวน์ งดการสัญจรในช่วงโควิด ผู้คนจำนวนมากต้องเก็บตัวอยู่ที่บ้าน แล้วเราก็พบว่า มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก แม้ว่าเราจะมีกิน เรียกว่ากินอิ่มนอนอุ่น แม้เราจะมีโทรทัศน์ แม้เราจะมีหนังดู มีเพลงฟัง แต่เราก็รู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรไปบางอย่าง นั่นคือการที่ได้ไปพบปะกัน ได้ไปเยี่ยมเยียนพ่อแม่ สังสรรค์กับเพื่อนฝูง หรือแม้แต่กระทั่งการทำงานด้วยกัน เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะว่าสิ่งนี้สำคัญ จนกระทั่งโควิดได้มาสอนเรา
เพราะฉะนั้น การที่คนเราได้มีโอกาสติดต่อสัมพันธ์กัน จึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ที่เราไม่ควรจะมองข้าม โดยเฉพาะคนที่อยู่ใกล้ตัว เช่น พ่อแม่พี่น้องลูกหลาน ขณะเดียวกันการที่เราไม่มีโอกาสจะติดต่อสัมพันธ์กัน มันก็เกิดขึ้นได้ง่ายเหลือเกิน หรือยิ่งกว่านั้นคนที่เรารักก็อาจจะจากไป โดยที่เราไม่มีโอกาสได้ร่ำลาเลย
หลายคนได้สูญเสียคนรัก ซึ่งติดโควิดแล้วไม่มีโอกาสที่จะได้อยู่ดูใจ แม้กระทั่งในวาระสุดท้าย แม้กระทั่งการทำพิธีศพ ก็ไม่อาจจะร่วมบำเพ็ญกุศลให้กับเขาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย สำหรับหลายคนเป็นความทุกข์มาก เพราะว่าไม่มีโอกาสที่จะได้ทำดีกับคนที่ตัวเองรัก ในยามที่เขาใกล้จะจากไป
อันนี้มันก็สอนเราว่า คนเราหากว่ายังมีคนรักอยู่ใกล้ตัว หรือหากว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เราควรจะทำดีกับเขาอย่างสม่ำเสมอเป็นนิตย์ ทำดีกับเขาทุกวัน พูดดีทำดีมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ เพราะเราไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสทำอย่างนั้นอีกหรือเปล่าในค่ำคืนนี้หรือแม้แต่พรุ่งนี้
ถ้าเรารู้จักทำดีกับคนที่เรารักทุกวันทุกโอกาส หากว่าเขาจะจากเราไป อาจจะไม่ใช่ถึงกับจากไปทันที แต่ว่าถูกแยกตัวไปอยู่โรงพยาบาล สุดท้ายก็จากไปหลังจากนั้น เราก็จะเสียใจน้อยลง เพราะอย่างน้อย เราได้ทำดีที่สุดกับคนที่เรารักอยู่ทุกวันทุกโอกาส แม้ กระทั่งในวันสุดท้ายที่เราได้พบกัน อย่าละเลยโอกาสนี้ ในขณะที่โอกาสนี้ยังมีอยู่กับเรา
ยิ่งกว่านั้น โควิดยังสอนเราว่า ในยามที่เราไม่สามารถจะเดินทางไปไหนได้ ในยามที่เราต้องเก็บตัวอยู่ที่บ้านเพราะติดเชื้อ รวมไปถึงขณะที่เราต้องไปทำการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแต่ลำพัง โดยที่แม้แต่หมอและพยาบาลก็ไม่สามารถที่จะมาสัมผัสตัวเราได้ เพราะเราเป็นผู้ติดเชื้อ มันได้บอกให้เราตระหนักว่า การที่เราสามารถอยู่กับตัวเองได้ เป็นสิ่งสำคัญมาก
หลายคนแม้จะไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ป่วย กินอิ่มนอนอุ่น อยู่บ้านดูหนังฟังเพลงทั้งวัน แต่ก็รู้สึกเหงาว้าเหว่ รู้สึกกระสับกระส่าย เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะลึกๆ เขาไม่สามารถที่จะอยู่กับตัวเองได้ตามลำพัง คนเราบางครั้งก็จะต้องอยู่กับตัวเอง
แต่ว่าถ้าเราอยู่กับตัวเองไม่เป็น เราก็จะมีความทุกข์ มีความทรมาน มีความกระสับกระส่าย เหมือนกับที่หลายคนได้ประสบในช่วงล็อกดาวน์ มันเป็นช่วงเวลาที่ทรมานจิตใจ แม้ว่ากายไม่ป่วย แต่ว่าจิตใจมีความทุกข์ มีความเหงา มีความเครียด เป็นเพราะต้องอยู่คน เดียว ที่จริงบางคนอาจจะไม่ได้อยู่คนเดียวแท้ๆ อาจจะมีคนร่วมบ้าน แต่ว่าบ่อยครั้งก็ต้องเก็บตัวมาอยู่คนเดียว โดยเฉพาะเมื่อติดเชื้อ
ทำไมคนเราจึงมีความทุกข์เมื่ออยู่คนเดียวตามลำพัง ในเมื่อเราก็บอกว่าเรารักตัวเองๆ แต่ทำไมเราถึงอยู่กับตัวเองไม่ได้ คนเราถ้ารักสิ่งใดเราก็อยากจะอยู่กับสิ่งนั้นใกล้ๆ ยิ่งได้อยู่กับสิ่งนั้นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความสุข บางคนรักรถก็มีความสุขที่จะอยู่กับรถ บางคนรัก พระเครื่องก็มีความสุขที่ได้อยู่กับพระเครื่องทั้งวัน
แต่ทำไมผู้คนเป็นอันมาก เมื่อรักตัวเองเเล้วทำไมถึงอยู่กับตัวเองไม่ได้ แต่ก่อนเราอาจจะไม่ตระหนัก เพราะว่าเราสามารถจะหนีตัวเองไปหาเพื่อน หนีตัวเองไปห้าง หรือว่าไปต่างประเทศ บางคนก็หนีตัวเองไปอยู่กับงานการ แต่ว่าพอโควิดระบาด หลายคนก็ไม่สามารถจะหนีไปอยู่กับสิ่งอื่นได้ จำต้องมาอยู่กับตัวเอง
แต่เมื่ออยู่กับตัวเองแล้วก็มีความทุกข์ทรมานเหลือเกิน เกิดการกระสับกระส่ายดิ้นรน มันเป็นความทุกข์ที่เกิดจากการอยู่กับตัวเองไม่เป็น แต่คนเราสุดท้ายแล้ว เขาก็ต้องอยู่กับตัวเองจนได้จะนานแค่ไหนก็แล้วแต่
ทำไมเราจึงไม่สามารถทนอยู่กับตัวเองได้ ก็เป็นเพราะว่าคนจำนวนไม่น้อยเมื่ออยู่นิ่งๆ ไม่ได้พูดคุยกับใคร ไม่ได้ไปเที่ยวห้าง ไม่ได้ดูหนังฟังเพลง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ความคิดในหัวมันรบกวน มีความคิดสารพัดที่ทำให้เครียด ทำให้กระสับกระส่าย แล้วส่วนใหญ่ก็เป็น ความคิดเกี่ยวกับอดีตที่เจ็บปวด อาจจะเป็นเพราะถูกโกง ถูกต่อว่าด่าทอ หรือเพราะสูญเสียคนรักของรัก
บางทีความคิดก็พาเราไปปรุงแต่งเกี่ยวกับภาพอนาคตที่ทำให้เราเครียด ทำให้เราวิตกตกกังวล หลายคนทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ เพราะความคิดมันเล่นงาน ความคิดมันทำให้ไม่สามารถจะอยู่สุขได้ แต่ก่อนคนเราก็หาทางหลีกหนีสภาพนี้ด้วยการไปเที่ยว ด้วยการไป พูดคุยกับเพื่อน ไปสังสรรค์ แต่พอทำเช่นนั้นไม่ได้ในช่วงโควิด มันเป็นทุกข์ทรมานมาก
นอกจากนั้น หลายคนยังพบว่า พออยู่คนเดียวแล้วมันโหยหาสิ่งเร้า คนเราหารู้ไม่ว่า เราเสพติดสิ่งเร้าโดยไม่รู้ตัว สิ่งเร้าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่ก่อนพอมีสิ่งเร้าแล้วก็วิ่งไปหาสิ่งเร้านั้น ไปเสพสิ่งเร้าใจที่อยู่นอกตัว อยู่นอกบ้าน อยู่ตามห้าง แต่พอ ช่วงโควิดทำเช่นนั้นไม่ได้ ไม่สามารถที่จะสนองความปรารถนาที่จะเสพสิ่งเร้า จึงมีความทุกข์
เพราะว่าสิ่งเร้าเป็นที่มาของความสุขสำหรับคนจำนวนมาก ทั้งๆ ที่มีโทรศัพท์มือถือ สามารถจะดูหนังฟังเพลงได้ทั้งวัน แต่ว่าพอเสพไปนานๆ ก็เบื่อ ดูหนังไปทั้งวันแล้วก็รู้สึกเบื่อขึ้นมา ต้องการสิ่งเร้าแปลกใหม่ แต่ก็ทำไม่ได้ เป็นเพราะอะไร
นั่นเป็นเพราะว่า ผู้คนจำนวนมาก ความสุขของเขา คือสิ่งนอกตัว จะมีความสุขได้ก็ต้องอาศัยสิ่งเร้าภายนอก ถ้าไม่สามารถไปหาสิ่งเร้ามาเสพก็จะหงอยเหงา จิตใจก็จะแห้งผากเหมือนกับขาดอะไรไปบางอย่าง นั่นคือขาดความสุข
ที่จริงความสุข ไม่จำเป็นต้องอาศัยสิ่งเร้ามาปรนเปรอก็ได้ เราสามารถที่จะเข้าถึงความสุขจากภายในใจของเรา แต่เป็นเพราะเราไม่สามารถจะสัมผัสความสุขภายในได้ แล้วการที่ผู้คน อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วว่า เมื่ออยู่นิ่งๆ อยู่เฉยๆ ก็จะถูกความคิดรบกวน ถูกอารมณ์ ต่างๆ มาขับเคลื่อนให้ต้องอยู่เฉยไม่ได้
แต่จะออกไปไหนได้ ในเมื่อต้องเก็บตัว หรือในเมื่อทั้งประเทศ ทั้งบ้านทั้งเมืองล็อกดาวน์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าผู้คนถูกครอบงำด้วยความหลง พอหลงเมื่อไหร่ คือไม่รู้ตัว ก็คิดโน่นคิดนี่สารพัด ควบคุมความคิดไม่ได้ ก็เลยเกิดความกระสับกระส่าย ทุรนทุรายขึ้นมา
ความคิดที่อยู่ในหัวของเรา มันกลายเป็นสิ่งที่มาบีบคั้น หรือว่าทิ่มแทงจิตใจให้ทุกข์ ผู้คนมีวิธีการที่จะปรับความคิดไม่ให้ฟุ้งซ่าน ไม่ให้รบกวน ส่วนใหญ่ก็อาศัยสิ่งเสพภายนอก เช่น โทรศัพท์มือถือ การสังสรรค์กับเพื่อนฝูง การทำโน่นทำนี่มันจะได้ไม่มีความคิดมารบกวนจิตใจ แต่พอไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ในช่วงโควิดจึงประสบความทุกข์ทรมานจากความคิด
ถ้ากล่าวโดยรวมแล้ว เป็นเพราะความหลง หลงเข้าไปในความคิด แล้วก็ถูกความคิดทิ่มแทง แล้วก็หลงเข้าไปในอารมณ์ ถูกอารมณ์เช่น ความเครียด ความโกรธ ความเศร้า มันเผาลนจิตใจ ตราบใดที่เราไม่สามารถที่จะจัดการกับความหลงที่มันรบกวนจิตใจได้ มันก็ยากที่เราจะอยู่คนเดียวให้เป็น หรืออยู่คนเดียวอย่างมีความสุขได้
อะไรเล่าที่จะทำให้ความหลง ไม่สามารถครองใจเราได้ เรามีสิ่งนั้นอยู่ในใจของเราอยู่แล้ว นั่นคือความรู้สึกตัว คนเราหากว่ามีความรู้สึกตัวเมื่อไหร่ ความหลงก็จะละลายหายไป เหมือนกับความมืดที่เลือนหายไปเมื่อโดนแสงสว่างสาดส่อง
คนเราถ้ามีความรู้สึกตัว ความหลงก็ครองใจเราไม่ได้ เมื่อความหลงครองใจไม่ได้ ความคิดฟุ้งซ่านสารพัดที่ประดังประเดเข้ามาที่สร้างความทุกข์ให้กับจิตใจ ทำให้โศก ทำให้เศร้า ทำให้เครียด ทำให้กระสับกระส่ายทุรนทุราย ก็จะคลี่คลายหายไป ถ้าคนเราอยู่กับความรู้สึกตัวได้ ก็ไม่ยากเลยที่เราจะอยู่กับตัวเองได้ และถ้าเราอยู่กับตัวเองได้ เราก็จะพูดได้เต็มปากว่าเรารักตัวเอง
แต่ทุกวันนี้อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า เราไม่ได้รักตัวเองจริง เราไม่เป็นมิตรกับตัวเอง เพราะเราทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ คนเราจะมีความสุขได้ง่ายขึ้น ถ้าหากว่าเรารู้จักเป็นมิตรกับตัวเอง หรือรักตัวเองอย่างแท้จริง ซึ่งจะทำเช่นนั้นได้ ก็ต้องรู้จักสร้างความรู้สึกตัวให้เกิดขึ้นในใจ มีความรู้สึกตัวเมื่อไหร่ จิตใจก็โปร่งเบาสว่างไสว สดชื่นเบิกบานและสามารถจะพบกับความสงบได้
ทั้งหมดที่พูดมานี่คือความสุข เป็นความสุขที่เกิดขึ้นได้ในใจของเรา ถ้าหากว่าเราไม่สามารถจะมีความรู้สึกตัวได้ ความหลงก็จะครอบงำใจ แล้วเราก็จะต้องดิ้นรนที่จะหาอะไรมาระงับดับความทุกข์ที่เกิดจากความหลง ซึ่งล้วนแต่เป็นการเพิ่มความหลง และความทุกข์ให้มากขึ้น สุดท้ายก็เลยมีชะตากรรมไม่ต่างจากคนหนีเงา
คนหนีเงาคืออะไร มีผู้ชายคนหนึ่ง วันหนึ่งก็เกิดรำคาญเงาของตัวเอง แล้วก็ไม่ชอบรอยเท้าของตัว แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงจะให้เงาหายไป เขาไม่รู้จะทำยังไงถึงจะทำให้รอยเท้าหายไป แล้วเขาคิดว่าถ้าเขาวิ่ง เงาก็จะตามไม่ทัน
แล้ววันหนึ่งเขาก็เริ่มที่จะวิ่งตั้งแต่เช้า แต่ยิ่งวิ่ง เงาก็ยิ่งไล่ตามเขาไป แล้วยิ่งวิ่งรอยเท้าก็จะตามติดเขาไปเช่นกัน เขาคิดว่าเขายังวิ่งเร็วไม่พอ เขาจึงวิ่งเร็วขึ้นๆ แต่ยิ่งวิ่งเท่าไหร่เงาก็ยิ่งตามเขาไป รอยเท้าก็ยิ่งตามเขาไปเช่นเดียวกัน
เขาวิ่งแล้ววิ่งอีก วิ่งทั้งวันตั้งแต่เช้าจนสายจนบ่าย ก็ยังหนีเงาและรอยเท้าไม่พ้น เขาจึงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายก็หมดแรงแล้วก็ล้มฟุบ เขาไม่สามารถจะวิ่งหนีเงา และหนีรอยเท้าของตัวเองได้
ที่จริงการหนีเงาและหนีรอยเท้านี้ไม่ยาก เพียงแต่พาตัวมาอยู่นิ่งๆ ใต้ร่มไม้เท่านั้นแหละ เงาก็จะหายไป และรอยเท้าก็จะไม่ปรากฏ แต่ชายคนนั้นไม่รู้ ชายคนนั้นคิดว่าต้องวิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว สุดท้ายเขาก็หมดแรง ล้มฟุบ แล้วก็ตายไป
คนจำนวนมากไม่ต่างจากชายคนนี้ คือพยายามวิ่งหนีความคิด พยายามวิ่งหนีอารมณ์ที่มันมารบกวนจิตใจ ความคิดที่ฟุ้งซ่าน ความคิดที่มาหลอกหลอน ความคิดที่มาทิ่มแทง เพราะเขาคิดว่า ถ้าเขาออกไปเที่ยวออกไปสังสรรค์หรือว่าหาเงินหาทอง เขาจะดับความคิด ดับความหลง หรือว่าดับความทุกข์ได้
แท้ที่จริงแล้ว แค่เราอยู่นิ่งๆ ใต้ร่มไม้ เงาก็จะหาย รอยเท้าก็จะไม่ปรากฏ เงาที่ใต้ร่มไม้คืออะไร เงาใต้ร่มไม้ก็เหมือนกับการที่เราอยู่ภายใต้อานุภาพของความรู้สึกตัว ถ้าเรามีความรู้สึกตัวเมื่อไหร่ ความหลงก็จะหายไป แล้วเมื่อความหลงหายไป ความคิดที่มารบกวนใจ ก็จะดับไป หรืออย่างน้อยก็ไม่สามารถจะรบกวนจิตใจได้
เมื่อคนเรามีความรู้สึกตัวโดยมีสติเป็นตัวกำกับสนับสนุน แม้จะมีความคิดเกิดขึ้น แต่ความคิดนั้นก็ไม่สามารถจะครอบงำกำกับจิตใจได้ มันคิดก็เพียงแต่รู้ความคิด ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความคิดเกิดขึ้น
ในการที่เรามีชีวิตอยู่อย่างมนุษย์ ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีความคิดต่างๆ มากมายเกิดขึ้น
หลวงปู่ดูลย์บอกว่า ความคิดนี่เหมือนกับลมหายใจ มันเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ว่าสิ่งที่เราทำได้ ก็คือการรู้ทันความคิด รู้ทันว่าจิตปรุงแต่ง เรารู้ทันได้เพราะอะไร เรารู้ทันได้เพราะเรามีสติ และเมื่อเรามีความรู้สึกตัว ความหลงคิด หลงอารมณ์ก็จะหายไป
หลวงปู่ดูลย์ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์อาวุโสของหลวงปู่มั่น ท่านสอน ท่านเตือนเราว่าอย่าไปพยายามดับความคิด เพียงแค่ให้รู้ทันความคิด ท่านบอกว่าอย่าฝันทั้งๆ ที่ตื่น หมายความว่าอะไรหมายความว่า อย่าหลงคิดโดยที่ไม่รู้ตัว คิดได้แต่ให้รู้ตัว เมื่อรู้ตัวก็จะไม่หลงเข้าไปในความคิด เมื่อไม่หลงเข้าไปในความคิด ก็ไม่หลงเข้าไปในอารมณ์ เมื่อไม่หลงความคิด ไม่หลงเข้าไปในอารมณ์ การที่เราจะอยู่คนเดียว ก็ไม่ได้เป็นเรื่องชวนให้ทุกข์ทรมาน กลับสามารถที่จะมีความสุขได้
แต่คนทุกวันนี้เนื่องจากไม่สามารถจะพบความสุขอันเกิดจากความรู้สึกตัว จึงไปแสวงหาความสุขจากสิ่งภายนอก รวมทั้งดิ้นรนเพื่อทำทุกอย่าง เพื่อจะให้ความคิดที่มันเผลอคิดไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในอดีต หรือความวิตกกังวลเรื่องราวในอนาคตนั้นมารบกวนจิตใจ แต่ว่ายิ่งเราทำเช่นนั้น ยิ่งไม่ต่างจากคนที่วิ่งหนีเงาก็ยิ่งเหนื่อย ยิ่งล้า
ทุกวันนี้ คนเรามีความทุกข์แล้วเวลามีความทุกข์เรามักคิดว่า ถ้าเรามีสิ่งภายนอกมาครอบครองมันจะดับทุกข์ในใจได้ เราคิดว่าเราทุกข์เพราะเรามีไม่พอ เราจึงพยายามหาสิ่งต่างๆ ครอบครองสิ่งต่างๆ ให้มากแต่ไม่ว่าได้มามากเท่าไร อาจจะมีความสุขชั่วคราวแต่สุดท้ายก็ทุกข์ใหม่
แล้วเราเชื่อว่าที่เราทุกข์นั้นเป็นเพราะยังมีไม่พอ มีสิบล้านก็ยังทุกข์อยู่ คิดว่าถ้ามีร้อยล้านจะหายทุกข์ แต่พอได้ร้อยล้านมาแล้วก็ยังทุกข์อยู่ คิดว่าต้องมีพันล้านถึงจะหายทุกข์ เขาคิดว่าเขาทุกข์เพราะมีไม่พอ แต่ที่จริงทุกข์เพราะสงบไม่พอต่างหาก ไม่ใช่เพราะมีเงินน้อยไป ไม่ใช่เพราะมีเงินไม่พอ แต่เพราะยังมีความสงบไม่พอ ถ้าคนเราเข้าถึงความสงบในจิตใจได้แม้มีน้อย ก็มีความสุขได้
พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ท่านมีน้อยมาก มีแค่บริขารแปดเรียกว่าอัฏฐบริขาร แต่ทุกท่านก็ล้วนแต่มีความสุข สมัยพุทธกาลมีพระรูปหนึ่ง ชื่อพระภัททิยะ ท่านเคยเป็นพระราชามีอำนาจเยอะ แต่ภายหลังท่านมาบวชกับพระพุทธเจ้าแล้วก็มีแค่บริขารแปด
วันหนึ่งท่านอยู่คนเดียวแล้วท่านก็รำพึงว่า สุขหนอๆ พระที่เดินผ่านก็เข้าใจว่าท่านกำลังรำพึงถึงความสุขในสมัยที่เป็นพระราชา จึงไปทูลพระพุทธเจ้าให้ทราบ พระพุทธเจ้าจึงเรียกพระภัททิยะมา แล้วถามว่าที่ท่านรำพึงเช่นนั้นเพราะอะไร
พระภัททิยะตอบว่า ที่รำพึงเช่นนั้นเพราะมีความสุข มันตรงข้ามกับสมัยที่เป็นพระราชามีอำนาจวาสนา มีีทรัพย์สินบริวารมากมาย แต่หาความสุขไม่ได้ ต้องคอยหวาดระแวงกลัวคนจะมาแย่งชิง แล้วก็ยังรู้สึกว่ามีเท่าไหร่ก็ไม่พอ แต่พอได้มาบวช ได้มาบำเพ็ญกรรมฐาน ได้มาเห็นเข้าใจสัจธรรมที่แท้ แล้วก็พบความสุขภายใน แม้จะมีแค่บริขารแปดก็มีความสุข
อันนี้ตรงข้ามคนจำนวนมาก ที่แสวงหาสิ่งต่างๆ มากมายแต่ว่าไม่มีความสุขเลย เมื่อหลายปีก่อนนี้ มีนักเขียนคนหนึ่ง เดิมก็เป็นเชฟ ตอนหลังก็มาเอาดีทางเขียนหนังสือ เขียนหนังสือจนโด่งดัง มีชื่อเสียง ภายหลังก็มาทำรายการโทรทัศน์ ตัวเขาเองเป็นพรีเซ็นเตอร์ หรือเป็นพิธีกรพาคนไปเที่ยวชิมอาหารตามที่ต่างๆ ทั่วโลกรวมทั้งเมืองไทย เวียดนาม กลายเป็นคนที่โด่งดัง มีชื่อเสียง มีเงินทองมากมาย
แต่แล้ววันหนึ่งเขาพูดกับผู้ชมว่า ฉันจะทำอย่างไรดี ถ้าหากว่าความฝันทั้งหมดของผมเป็นจริง แปลกนะคนเราถ้าหากว่าความฝันทั้งหลายแหล่ที่เคยมีเป็นจริง น่าจะมีความสุขได้ แต่น้ำเสียงของเขาไม่มีความสุขเลย เขามีเงินมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากมาย แต่เขาก็ไม่มีความสุข ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ก็คงเป็นเพราะว่า พอเขาได้ทุกอย่างที่เขาใฝ่ฝันแล้ว เขาก็พบว่า มันก็แค่นั้นเองๆ แล้วยังมีความคิดต่อไปว่า แล้วไงต่อ ในเมื่อคนเราได้บรรลุถึงความใฝ่ฝันทั้งหมดแล้ว น่าจะมีความสุข
แต่ว่าฝรั่งคนนี้ ชื่อแอนโธนี โบแดง ไม่มีความสุข เพราะเขารู้สึกว่ามันก็เท่านั้นเอง แล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ เพราะว่าสิ่งที่ใฝ่ฝันนี่ได้มาหมดแล้ว กลายเป็นว่าชีวิตไม่มีเป้าหมาย เกิดความรู้สึกเคว้งคว้างขึ้นมา เพราะข้างในรู้สึกว่างเปล่า ทำไมถึงรู้สึกว่างเปล่า ก็เพราะว่าสิ่งที่ได้มานั้น มันไม่ได้เติมเต็มจิตใจอย่างแท้จริง
ถ้าหากว่าคนเราได้สิ่งที่ช่วยเติมเต็มจิตใจอย่างแท้จริง มันย่อมมีความพอใจ ย่อมหยุดแสวงหา จนเกิดความรู้สึกพอขึ้นมา แล้วจะไม่ถามว่าฉันจะทำยังไงดี ในเมื่อความฝันของฉันได้บรรลุทุกอย่าง
มีคนจำนวนมากที่ต้องการอะไรต่ออะไรมากมาย แล้วก็ประสบความสำเร็จ แล้วปรากฏว่าไม่มีความสุข อย่างเมื่อ 50 ปีก่อน ประเทศฟิลิปปินส์มีประธานาธิบดีคนหนึ่ง ซึ่งมีอำนาจมากชื่อมาร์คอส เขาเขียนในบันทึกว่า ผมเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในฟิลิปปินส์
ผมมีทุกอย่างที่ชีวิตผมใฝ่ฝันต้องการ ผมมีเงินมีทรัพย์สมบัติมากเท่าที่ชีวิตต้องการ มีภรรยาที่ดี มีลูกที่น่ารัก แต่ผมไม่มีความพอใจในชีวิตเลย เกิดอะไรขึ้น คนที่มีทุกอย่างแล้ว แต่ไม่มีความพอใจในชีวิต ความรู้สึกไม่ต่างจากแอนโธนี โบแดง
มีฝรั่งคนหนึ่งพูดไว้อย่างน่าสนใจ เขาบอกว่า โศกนาฏกรรมของคนเราก็คือการที่เรามีทุกอย่างที่ต้องการ มันน่าคิดนะการที่คนเรามึทุกอย่างที่ต้องการน่าจะเป็นความโชคดี แต่ทำไมกลายเป็นโศกนาฏกรรม เพราะว่าพอมีทุกอย่างแล้ว ปรากฏว่าสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ มันจะเคว้งคว้าง รู้สึกว่าชีวิตนี้ไร้เป้าหมาย
แต่ถ้าคนเราสามารถเข้าถึงความสุขภายใน ไม่ต้องมีทรัพย์มาก แต่ให้มีความรู้สึกตัว มีสติ เท่านี้ก็เพียงพอที่จะอยู่ได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องพรั่งพร้อมด้วยวัตถุสิ่งเสพ ไม่ต้องมีบริษัทบริวารเยอะก็สามารถที่จะอยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องถึงกับบรรลุธรรมอย่างพระภัททิยะก็ได้
แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักเข้าถึงความสุขภายใน เริ่มต้นจากการมีความรู้สึกตัว การรักตัวเอง การอยู่กับตัวเองได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แล้วพออยู่กับตัวเองได้ มันก็ไม่ต้องไปดิ้นรนหาความสุขอะไรต่างๆ มาปรนเปรอ
ในทางตรงข้ามถ้าไม่พบตัวเอง ไม่รู้จักความรู้สึกตัวแล้ว แม้จะได้ทุกอย่างที่ต้องการที่ใฝ่ฝัน มีชื่อเสียง มีเงินทอง มีอำนาจ แต่ข้างในกลับว่างเปล่า เคว้งคว้าง ทำให้ต้องดิ้นรนแสวงหา แต่ยิ่งดิ้นรนแสวงหามากเท่าไหร่ก็ไม่พบ
แอนโธนี โบแดง ตอนหลังนี่ ตอนที่เขามีทุกอย่างในชีวิตตามความใฝ่ฝันครบถ้วน แต่สุดท้าย เขาหมดแรงในการจะมีชีวิต เขาจบชีวิตเขาลงเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เป็นโศกนาฏกรรมจริงๆ ของคนที่มีทุกอย่างในชีวิต แต่ขาดความสุขภายใน ขาดแค่สิ่งเดียวคือความสุขภายใน อันเกิดจากการมีสติ ความรู้สึกตัว
เพราะฉะนั้นเวลาคนเราจะปรารถนาสิ่งใด แค่การมีความรู้สึกตัวก็เพียงพอแล้ว คนโบราณเวลาให้พรลูกหลานจะให้พรว่า ให้รู้เนื้อรู้ตัวนะ อวยพรเท่านี้แหละ ไม่ได้อวยพรว่าขอให้มั่งมี ขอให้ร่ำรวย ขอให้มีชื่อเสียง เพราะมีสิ่งนั้นไปแล้วก็เอาตัวไม่รอด มาร์คอสก็จบไม่สวย แอนโธนี โบแดงก็ฆ่าตัวตาย แต่ถ้าเรารู้เนื้อรู้ตัวแล้ว เราก็จะอยู่ได้อย่างมีความสุข อยู่คนเดียวก็อยู่ได้ เพราะว่ามีตัวเองเป็นมิตร ไม่รู้จักคำว่าเหงา
เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าโควิดจะสอนเรา สิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือสอนเราให้รู้จักอยู่กับตัวเองให้เป็น พึ่งตัวเองให้ได้ เป็นมิตรกับตัวเอง แล้วเราจะสามารถจะอยู่ได้อย่างมีความสุข แม้ว่าจะต้องเจอกับความผันผวนปรวนแปรต่างๆ ในชีวิต อาจจะไม่ใช่โควิด อาจจะเป็นความเจ็บป่วย จนกระทั่งต้องนอนติดเตียงแต่ถ้าเราอยู่กับตัวเองได้ เราก็อยู่กับความเจ็บป่วยได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์
ประการสุดท้าย บทเรียนของโควิดสอนเราว่า ความทุกข์ เหตุการณ์เลวร้าย สุดท้ายมันก็จะผ่านพ้นไป เรามีความทุกข์ในช่วงโควิดอย่างไร ตอนนี้มันก็จะเริ่มกลายเป็นอดีตไปแล้ว แต่ต่อไปก็จะมีความทุกข์ตัวใหม่เกิดขึ้น เหตุการณ์ร้ายแรงใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ก็ขอให้เราตระหนักว่า ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีอะไรที่จีรัง แล้วทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไป
ก็ขออนุโมทนาทุกท่าน ที่ได้มาร่วมกันบำเพ็ญบุญในงานกุศลปีนี้ ซึ่งสำเร็จได้ นอกจากญาติโยมที่มาร่วมบำเพ็ญกุศลในวันนี้ที่นี่ และยังมีอีกหลายท่านที่ได้บริจาคเงินมาทางไกล รวมทั้งถวายปัจจัยต่างๆ มากมาย และที่สำคัญก็คือเจ้าภาพโรงทานที่มาให้อาหารกายกับเรา ซึ่งก็เป็นการเติมอาหารใจให้กับพวกเราด้วย เพราะว่าหลายท่านก็เกิดความซาบซึ้ง ประทับใจในน้ำใจของเจ้าภาพโรงทานทั้งหลาย ทั้งหมดนี้ก็รวมกันนับเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ ที่ทำให้การทอดกฐินครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการทำบุญธรรมดา แต่ว่าเป็นมหาบุญมหากุศล
ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยอำนวยอวยผลให้ทุกท่านได้เจริญด้วย อายุวรรณะสุขะพละเพื่อเป็นพลวปัจจัยในการทำความดี ให้ถึงพร้อมด้วยทาน ศีล ภาวนา ขอให้ทุกท่านมีสติรักษาใจ มีปัญญานำพาชีวิตให้ก้าวข้ามผ่านทุกข์ ให้มีความรู้สึกตัว ช่วยหล่อเลี้ยงใจให้เกิดความสงบร่มเย็นภายใน และสามารถที่จะก้าวข้ามผ่านอุปสรรคทั้งปวงได้ ด้วยความสดชื่นแจ่มใส ขอให้บุญกุศลที่ท่านได้บำเพ็ญจงอำนวยอวยผลให้ทุกท่านเข้าถึงความสุขเกษมศานต์ มีพระนิพพานเป็นที่หมายด้วยกันทุกท่าน เทอญ.