พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 14 ตุลาคม 2565
ถ้าให้เลือกสิ่งหนึ่งที่เราปรารถนาจะไม่ให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเราเลย ถ้าเราเลือกได้สิ่งนั้นคืออะไร
ส่วนใหญ่ก็คงจะเลือกความทุกข์ ชีวิตนี้ถ้าไม่มีความทุกข์เสียเลย มันจะวิเศษเพียงใด แต่ความจริงก็มีอยู่ว่า เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความทุกได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนด้วยชาติ ภาษาใด หรือว่ามั่งมีแค่ไหน ยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่มีทางหนีความทุกข์พ้น
เวลามีความทุกข์เกิดขึ้นกับเรา ที่จริงมันไม่ได้เกิดขึ้นกับเราโดยตรง ส่วนใหญ่อาจจะเกิดกับทรัพย์สินเงินทองเช่น เงินหาย เงินที่ฝากไว้ในธนาคารถูกโกงเอาไปก็ด้วยกลอุบายของแก๊ง Call Center หรือไม่ก็เพื่อนใกล้ชิดมาโกงเอาไป นี่ก็ทุกข์ หรือว่าเกิดความเจ็บความป่วย ร่างกายติดขัด
บางทีไม่เจ็บไม่ป่วย แต่ว่ามันไม่สวยไม่งามเหมือนเมื่อก่อนหรืออย่างที่คาดหวัง อันนี้ก็ทุกข์ และเดี๋ยวนี้คนจำนวนมากก็ทุกข์ไม่ใช่เพราะสุขภาพแย่ แต่เป็นเพราะเรือนร่างไม่สวยงามอย่างที่หวัง
บางครั้งความทุกข์มาในรูปของงานการที่มีปัญหา หรือที่หนักกว่านั้นตกงาน หรือว่าต้องไปทำงานที่เขาถือว่าต่ำต้อยก็ทุกข์ ที่หนักกว่านั้นก็คือความสัมพันธ์ที่มันร้าวฉาน ความสัมพันธ์กับคนรักต้องเลิกทางกัน หรือว่าคนรักเกิดล้มหายตายจากไป
ทั้งหมดนี่ก็รวมสรุปที่ว่า ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจ พลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ รวมทั้งปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น บางทีไม่ได้สูญเสีย แล้วก็ไม่ได้เจอเคราะห์ แต่ว่ามันได้ไม่สมอยาก อันนี้ก็ทุกข์
แล้วคนเราพอมีความทุกข์ก็มักจะตีโพยตีพายโวยวายคร่ำครวญ ที่ดีหน่อยก็พยายามที่จะหาทางแก้ทุกข์ หาทางจัดการกับต้นเหตุแห่งทุกข์ แต่จะดียิ่งขึ้นถ้าหากว่าเราระลึกถึงธรรมะไว้บ้าง แทนที่จะโวยวายตีโพยตีพายหรือคร่ำครวญ
นึกถึงธรรมะเอาไว้ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้นึกถึง จะนึกถึงก็แต่พระพุทธพระสงฆ์มากกว่า ในบรรดาพระรัตนตรัยที่คนจะนึกถึงเวลาประสบทุกข์ก็นึกถึงแต่พระพุทธกับพระสงฆ์ นึกถึงพระสงฆ์ก็หมายถึงเกจิอาจารย์หลวงปู่หลวงตาที่คิดว่าจะมีอำนาจดลบันดาลให้หายทุกข์ได้ หรือนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพุทธคุณที่ประกอบด้วยอำนาจศักดิ์สิทธิ์อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ช่วยปัดเป่าความทุกข์ หรืออย่างน้อยๆก็ให้เป็นที่พึ่งพาของจิตใจ
อย่างคนส่วนใหญ่ถ้าเป็นชาวพุทธ เวลามีความทุกข์ก็ไปวัด ไปหาที่พึ่ง ที่พึ่งก็คือพระพุทธกับพระสงฆ์ แต่ไม่ค่อยนึกถึงพระธรรมเท่าไร
ทำไมถึงควรนึกถึงพระธรรม ก็เพราะว่าถ้าเรานึกถูก มันจะช่วยให้อย่างน้อย เราไม่ซ้ำเติมตัวเอง เวลาเสียทรัพย์มันก็เสียแต่ทรัพย์แต่ว่าใจไม่เสีย เพราะว่านึกถึงธรรมะ นึกถึงธรรมะก็ได้หลายแง่ เช่นนึกถึงว่ามันไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน ทุกอย่างมันก็ไม่เที่ยง ทรัพย์สมบัติที่มีก็ไม่เที่ยง หรือนึกถึงความจริงว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ทรัพย์ที่มีก็อยู่กับเราแค่เพียงชั่วคราวแล้ววันหนึ่งมันก็กลายเป็นอื่นไป
หรือจะตั้งถึงธรรมะในแง่ที่ว่า สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ต้องรู้จักปล่อยรู้จักวาง ถ้าเสียทรัพย์แล้วยังไปยึดติดในทรัพย์นั้น มันก็ทำให้ทุกข์ใจ เหมือนกับว่าใจถูกฉุด ทรัพย์ไม่ใช่แค่เสียอย่างเดียว ใจก็เสียด้วย แต่นึกถึงธรรมะก็จะช่วยทำให้ไม่ซ้ำเติมตัวเองคือเสียแต่ทรัพย์แต่ใจไม่เสีย
หรือเจ็บป่วยก็ป่วยแต่กาย แต่ใจไม่ป่วยด้วย ก็เพราะนึกถึงธรรมะที่ว่า ร่างกายย่อมมีวันแปรเปลี่ยนไป มันย่อมมีวันเสื่อม มันย่อมมีวันชรา หรือจะนึกไปถึงว่ามันไม่ใช่ของเราอย่างกายนี้ ที่ทุกข์ใจก็เพราะว่าไปยึดเป็นเราเป็นของเรา หรือไปนึกว่ามันเที่ยง
พอนึกถึงธรรมะมันก็ทำให้เราได้สติ เกิดปัญญาขึ้นมา หรืออย่างน้อยๆก็เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา ไม่จมอยู่ในความทุกข์ สามารถที่จะฉุดใจออกจากความทุกข์ได้ กลับมารู้เนื้อรู้ตัว อันนี้ก็อานิสงส์ของธรรมะ มันก็ช่วยทำให้ไม่ซ้ำเติมตัวเอง
บ่อยครั้งเราซ้ำเติมตัวเอง เสียทรพัย์ไม่พอ ใจก็เสียด้วย ป่วยกายไม่พอ ใจก็ป่วย เวลาตกงาน จิตก็ตกไปด้วย อย่าว่าแต่อะไรเลย แม้แต่รถติดก็ปล่อยให้จิตตกแล้ว แทนที่จะเสียแค่เวลาก็มาเสียอารมณ์ บางทีก็ระบายใส่ลูกใส่หลานใส่คนรักที่อยู่ใกล้ตัว บางทีก็เสียความสัมพันธ์เข้าไปด้วย อันนี้เรียกว่าซ้ำเติมตัวเอง
แต่ถ้าเรานึกถึงธรรมะ ถ้านึกเป็นนึกถูก ก็ไม่ซ้ำเติมตัวเอง และยิ่งกว่านั้นก็จะทำให้ผ่อนหนักเป็นเบา เพราะว่าถ้าปล่อยให้ใจจมดิ่งไปอยู่กับความทุกข์ สุขภาพก็ย่ำแย่ ไม่ใช่แค่สุขภาพกาย สุขภาพจิตด้วย
ถ้าเรารู้จักนึกถึงหรือใช้ธรรมะบ้าง หนักก็กลายเป็นเบา คนมาต่อว่าด่าทอ มันก็ไม่หงุดหงิดหัวเสีย ไม่โกรธแค้น ยังนอนหลับได้ หรือจะดียิ่งกว่านั้นก็คือว่า เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี ก็เพราะธรรมะนี้แหละความทุกข์มันก็กลายเป็นของดีได้
อย่างหลวงพ่อท่านหนึ่งบอกว่า คนดีนะใครปาขี้หมามา เขาก็มองให้กลายเป็นดอกไม้ได้ คนดีในที่นี้ก็ไม่ได้หมายถึงคนมีศีลอย่างเดียวนะ แต่รวมถึงคนที่มีใจดี มีสติมีปัญญา ใครปาขี้หมามา เขาก็มองให้กลายเป็นดอกไม้ เจอความเจ็บความป่วย ก็ทำให้ได้เห็นสัจธรรมความจริงของสังขาร ของร่างกาย หรือบางทีอาจจะไม่ทันเห็นถึงขั้นนั้น แต่ก็ทำให้ได้สติว่าเราควรใช้ชีวิตนี้เพื่ออะไร
หลายคนเอาแต่ทำมาหาเงินจนล้มป่วย พอป่วยก็หันมาสนใจธรรมะเพราะว่าป่วยเป็นโรคร้าย หันมาสนใจปฏิบัติธรรม ทำกรรมฐาน ก็เลยพบถึงความสงบเป็นความสุขที่ไม่เคยพบมาก่อน แล้วก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่ชีวิตต้องการ แต่เรามองข้ามไป พบจุดหมายของชีวิต
บางคนก็บอกว่า พบชีวิตใหม่เพราะป่วยเป็นมะเร็ง ขอบคุณที่เป็นมะเร็งเพราะทำให้มาพบชีวิตใหม่ บางคนที่เคยเครียดเพราะธุรกิจ จะเอาอย่างไรดีเพราะว่ามีธุรกิจร้อยล้านพันล้าน เครียด แต่ว่าพอป่วย เขาก็ได้คิดเลยว่า คนเราตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้ และยิ่งกว่านั้นตอนที่ยังไม่ตาย เงินที่มีอยู่ก็ใช้ไม่หมด เราจะไปทุกข์กับเรื่องทรัพย์สมบัติเรื่องกิจการไปทำไม ทีแรกก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะขายอะไรดี แต่พอคิดได้แบบนี้ ขายให้หมดเลย เหลือแต่กิจการแค่แห่งสองแห่งเอาไว้เลี้ยงตัวกับครอบครัว เวลาที่เหลืออยู่ทำอะไร ก็อยู่กับครอบครัว มีเวลาเจริญสติ มีเวลาออกกำลังกาย มีเวลาชมนกชมไม้ทำสวน ชีวิตที่เคยเร่งรีบก็กลายเป็นชีวิตที่เนิ่นช้าแบบสโลว์ไลฟ์ ชีวิตที่เคยรุ่มร้อนก็กลายเป็นชีวิตที่สงบเย็น ก็เพราะว่าได้คิดในระหว่างที่ป่วยนี้แหล่ะ
ถ้าไม่ป่วยก็ไม่ได้นึกถึงความตาย แล้วพอไม่ได้นึกถึงความตายมันก็ยังหลงสิ่งฉาบฉวยในทางโลกซึ่งล้วนแต่เป็นสมมุติทั้งนั้น บางคนก็เลยบอกว่าขอบคุณที่ป่วย เพราะว่ามันทำให้ชีวิตได้กลับมาพบสาระที่แท้จริง
เราสามารถจะหาประโยชน์จากความทุกข์ได้ ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกอยู่เสมอว่า ความเจ็บป่วยสามารถทำให้เราฉลาดได้ ป่วยทุกครั้งก็ให้มันฉลาดทุกที ฉลาดในเรื่องของสัจธรรมความจริง เรื่องของสังขาร ที่จริงไม่ใช่ป่วยทุกครั้งอย่างเดียว สูญเสียทรัพย์ การงานล้มเหลว มันก็สอนสัจธรรมให้เราว่ามันไม่มีอะไรที่เราจะยึดมั่นถือมั่นได้เลย ไม่มีอะไรที่เป็นของเราได้อย่างแท้จริง ถ้ามองแบบนี้มันก็ได้ประโยชน์
บางครั้งชีวิตเราเจอทุกข์มามาก แล้วบางครั้งก็อาจจะรู้สึกคับแค้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราขอบคุณความทุกข์ความยาก อย่างผู้ชายคนหนึ่งลำบากตั้งแต่เล็กเพราะพ่อไม่สนใจครอบครัวเลย ปล่อยให้แม่เลี้ยงดูลูกๆหลายคน ลำบากมาก ก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งกินกันทั้งบ้าน 6-7 คน
ตัวเขาเองต้องดิ้นรนหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว แม่ น้องตั้งแต่เล็กตั้งแต่เรียนประถม มัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย ต้องรู้จักหาเงินหาทอง ในระหว่างนั้นก็มีเรื่องขัดแย้งกับพ่อเป็นประจำ ถูกพ่อตบตี บางทีเขาก็อยากจะต่อสู้
เขารู้สึกคับแค้นมาก ทำไมต้องมาเกิดในครอบครัวแบบนี้ แต่พอเวลาผ่านไป 20-30 ปี เขากลายเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ ตอนหลังก็รับพ่อซึ่งป่วยมาดูแลเพราะยังมีความสำนึกในบุญคุณของพ่อ
ตอนหลังพ่อเมื่อพ่อใกล้จะตาย เขาก็กราบอกพ่อก่อนที่พ่อจะสิ้นลม แล้วก็บอกว่าเป็นเพราะป๊าทำให้ผมมีวันนี้ แทนที่จะเกลียดชังพ่อ กลับขอบคุณ เพราะการที่พ่อประพฤติตัวแบบนี้ ทำให้เขามีความเข้มแข็ง ทำให้เขารู้จักพึ่งตนเอง ทำให้เขามีระเบียบวินัย ทำให้เขา ต้องดิ้นรนขวนขวายในการทำมาหากินจนกระทั่งประสบความสำเร็จ
เขาขอบคุณพ่อที่ทำให้เขามีวันนี้ คือวันที่เขาประสบความสำเร็จในธุรกิจและรวมถึงในชีวิตด้วย ไม่มีความโกรธ ไม่มีความเกลียด ไม่มีความอาฆาตพยาบาท เพราะว่าสามารถที่จะมองเห็นคุณประโยชน์ของการมีพ่อเป็นแบบนี้ อันนี้ก็เรียกว่ารู้จักมอง
ก็เรียกว่าใช้ธรรมะมาพิจารณาชีวิตที่ผ่านมา มันก็ทำให้เห็นประโยชน์ของความทุกข์ เห็นของประโยชน์ของความยากลำบาก ธรรมะนั้นมันช่วยได้ มันไม่ใช่เพียงแต่ช่วยให้หนักกลายเป็นเบา แต่มันช่วยทำให้ร้ายกลายเป็นดีด้วย
เพราะฉะนั้นเวลาเรามีความทุกข์ ก็อย่าเอาแต่โวยวายตีโพยตีพายก่นด่าชะตากรรม หรือเอาแต่ไปวัดเพื่อสะเดาะเคราะห์ ไปกราบไปบูชาพระพุทธรูป วัดไหนที่เขาถือว่ามีพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ ก็ไป หลวงพ่อโสธร พระพุทธชินราช อันนั้นก็ดีอยู่อย่างน้อยก็เป็นที่พึ่งทางใจ หรือไม่ก็ไปกราบหลวงปู่หลวงตาเกจิอาจารย์ หวังให้ท่านช่วยสะเดาะเคาะ ขจัดปัดเป่า ก็ดีอยู่แต่อย่าลืมธรรมะก็แล้วกัน
และอันที่จริงไม่ใช่เฉพาะเวลาทุกข์ที่เราจะนึกถึงธรรมะ ในยามที่สุขเราก็ควรจะนึกถึงธรรมะเหมือนกัน เพราะไม่เช่นนั้นมันทำให้เราหลง หลงระเริง ประมาท เวลาประสบความสำเร็จมีโชคมีลาภ นึกถึงธรรมะเอาไว้ว่า สิ่งเหล่านี้มันไม่เที่ยง มันเป็นของชั่วคราว
มีกับได้ มากับหมด เจอกับจาก รักกับเลิก มันคู่กันตลอด สมหวังก็อย่าไปเพลิดเพลินดีใจเพราะว่ามันจะกลายเป็นผิดหวังในวันหน้าก็ได้ ที่สมหวังในความรักเสร็จแล้วก็ต้องเลิกกัน มีเยอะแยะ ที่ประสบความสำเร็จแล้วกลายเป็นล้มละลายก็มีเยอะแยะมากมาย
ถ้าไม่หลงระเริงหรือประมาท ถึงเวลาเสื่อมเวลาเสียก็ไม่ทุกข์ หรือถึงแม้ในยามที่มันยังไม่เสื่อมไม่เสียก็ไม่หลงตัวลืมตนจนกระทั่งไปเอาเปรียบเบียดเบียนคนอื่น คนที่ประสบความสำเร็จแล้วทำตัวน่ารังเกียจเพราะว่าถือว่าฉันมีอำนาจ จะทำอะไรก็ได้ ก็มีเยอะ แล้วสุดท้ายก็จบไม่สวยทุกคนเลย เพราะความจริงสัจธรรมบอกเราว่าอะไรๆก็ไม่เที่ยง
มีคราวหนึ่ง พระองคุลิมาลซึ่งบวชใหม่ได้ไปสนทนาธรรมกับพระนันทิยะซึ่งภายหลังก็ได้เป็นพระอรหันต์ พระองคุลิมาลถามว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรท่านบ้าง
พระนันทิยะก็เล่าว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไรบ้าง แล้วก็บอกว่ามีข้อความหนึ่งว่า เมื่อผู้ใดสรรเสริญเยินยอเรา หรือบูชาเราด้วยลาภสักการะ ให้จงถือว่า ลาภสักการะนั้น เป็นผลแห่งความดีที่เราทำ หรือเป็นเพราะเขาสำคัญว่าเราดี
คือพระนันทะพูดว่า ลาภสักการะไม่ใช่เป็นเพราะเรานะ ไม่ใช่เป็นเพราะตัวเรา แต่เป็นเพราะความดีที่เราทำ หรือเป็นเพราะเขาสำคัญว่าเราดี
ไม่ใช่เพราะตัวเรา อย่าไปหลง อันนี้ขยายความนะ แล้วท่านก็บอกว่า ผลแห่งความดีย่อมเป็นพิษแก่ผู้ไม่พิจารณา แล้วเพลิดเพลินหลงใหลติดยึดในสิ่งนั้น จนกลายเป็นประมาท อันนี้เป็นธรรมะที่พึงพิจารณาสำหรับคนที่ประสบความสำเร็จจนได้รับคำชื่นชมสรรเสริญ ได้โชคได้ลาภ ให้ระลึกว่าไม่ใช่เป็นเพราะเราแต่เป็นเพราะความดีที่เราทำ คือถ้าไม่ทำก็ไม่เกิด หรือเพราะเขาสำคัญว่าเราดี ไม่ใช่เพราะเราดีจริง อันนี้ไม่ใช่คำถ่อมตนแต่เป็นสัจธรรม และที่สำคัญท่านบอกว่า ผลแห่งความดีย่อมเป็นพิษแก่ผู้ไม่พิจารณา แล้วเพลิดเพลินหลงใหลประมาทในสิ่งนั้น จนประมาทโดยแท้ เพราะถ้าประมาทแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นผลแห่งความตาย
ยามสุขไม่ได้หมายถึงยามที่ประสบความสำเร็จ ได้ลาภสักการะ อันนี้รวมถึงในยามที่เป็นหนุ่มเป็นสาวมีสุขภาพดี มีกำลังวังชา ไม่เจ็บไม่ป่วย อันนี้ก็ถือว่าเป็นความสุขชนิดหนึ่งที่คนอาจจะไม่ค่อยตระหนัก แต่ในยามที่เราไม่เจ็บไม่ป่วย ในยามที่เรามีกำลังวังชานี้ นั่นคือเวลาที่เราพึงระลึกถึงธรรมะ
ธรรมะสอนเราว่า สักวันหนึ่งเราก็ต้องแก่ สักวันหนึ่งเราก็ต้องเจ็บต้องป่วย สักวันหนึ่งเราก็ต้องเดินเหินลำบาก เพราะฉะนั้นอย่าไปเพลิดเพลินในความสุขหรือสุขภาพที่มี
ขณะเดียวกันก็ให้รู้จักเตรียมตัวเตรียมใจไว้ ในยามที่มันเกิดเจ็บป่วย เกิดแก่ชรา เราก็ไม่รู้ความเจ็บความป่วยจะเกิดกับเราในลักษณะใด แต่ต้องเตรียมเอาไว้ ไม่ใช่แค่เตรียมตัว หรือทำประกัน แต่ต้องเตรียมใจด้วย
ถ้าเกิดว่าถึงวันที่เราต้องนอนติดเตียงเป็นอัมพาตหรือเจ็บป่วยด้วยโรคร้าย รักษาไม่หาย ไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ ไม่สามารถไปเที่ยวหรือแม้แต่ทำงานทำการที่รัก เราจะอยู่กับความเจ็บความป่วยความแก่ชราได้อย่างไรหลายคนพอแก่ชราแม้ไม่เจ็บไม่ป่วยแต่ว่ามีความทุกข์มาก ทุกข์เพราะเหงา ทุกข์เพราะว่าลูกก็ไม่สนใจ เพื่อนก็ล้มหายตายจากไปทีละคน และยิ่งเกิดคู่ครองตายไป ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
การที่คนบางคนมีคู่ครองที่ดีรักกันซื่อสัตย์ รักกัน 40-50 ปีถือว่าเป็นโชคแล้ว แต่โชคกลายเป็นเคราะห์ทันทีเลยเมื่อเขาจากไป หลายคนที่มีคู่ครองที่ดี เมื่อเขาจากไป ชีวิตผันแปรไปเลย เสียศูนย์ไปเลย อันนี้เรียกว่าโชคกลายเป็นเคราะห์ แล้วมันก็เป็นธรรมดา
พระพุทธเจ้าตรัสว่าเรามีความสุขเพราะอะไร สิ่งนั้นก็สามารถทำให้เราทุกข์ได้ สุขเพราะลูก สุขเพราะคู่ครอง อันนี้ถือว่ามีโชค พอว่าเดี๋ยวนี้จะหาใครที่สุขเพราะลูก สุขเพราะคู่ครองนั้นยาก แต่สักวันหนึ่งความสุขก็จะกลายเป็นทุกข์ไปเมื่อเขาแปรเปลี่ยนไป เช่นเขาล้มหายตายจากไป
คนส่วนใหญ่ตอนที่มีความสุขเพราะลูกเพราะคู่ครองไม่ได้นึกถึงธรรมะ ไม่ได้นึกถึงวันที่เขาจะจากไป หรือไม่มีเขา พอเขาจากไปเคว้งเลย ไม่รู้จะอยู่อย่างไร บางทีอยากจะตายตามไปด้วยซ้ำ นี่เพราะว่าตอนที่มีความสุข ไม่ได้นึกถึงธรรมะ โดยเฉพาะอนิจจังทุกขังอนัตตาแต่มันไม่ใช่แค่นั้น ธรรมะหมายถึงว่าการรู้จักฝึกใจให้สามารถที่จะอยู่ได้แม้ว่าไม่มีใครเลย ป่วยติดเตียงก็อยู่ได้ บางครั้งในยามที่เราป่วย เราทำอะไรไม่ได้กับโรคแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้คือทำใจ แต่จะทำใจได้มันก็ต้องนึกถึงธรรมะเป็นเบื้องต้น
แล้วก็นึกถึงอย่างเดียวไม่พอ มันต้องปฏิบัติด้วย เขาเรียกว่าปฏิบัติธรรม หรือประพฤติธรรม เจริญสติ ฝึกใจเอาไว้ในขณะที่ยังไม่เจ็บไม่ป่วย ในขณะที่ยังมีความสุข ในขณะที่ยังลั้ลลากับชีวิตได้ อย่าลืมอย่าทิ้งอันนี้ ธรรมะ ถ้าเราไม่ลืมธรรมะ ธรรมะก็จะไม่ทิ้งเราในยามที่ชีวิตมันพลิกผัน สุขมันกลายเป็นทุกข์ ต้องนอนติดเตียงหรือต้องสูญเสียคนรัก พลัดพรากจากสิ่งที่เคยมี สิ่งที่เคยให้ความสุขกับเรา ธรรมะจะไม่ทิ้งเรา ธรรมะจะช่วยกอบกู้จิตใจของเราให้ออกจากทุกข์ได้
ต้องนึกถึงธรรมะเอาไว้ในยามสุขเอาไว้นะ ในยามที่ประสบความสำเร็จ ในยามที่ชีวิตอยู่ในช่วงขาขึ้นไม่ว่าในทางสุขภาพ ในทางการงาน พูดง่ายๆว่าในทางโลก ใจไม่ทิ้งธรรม นึกถึงธรรมแล้วก็ปฏิบัติธรรมเอาไว้ แล้วในยามทุกข์ ธรรมะก็จะพาเรา อาจจะออกจากทุกข์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่ทำให้เราอยู่กับทุกข์ได้โดยใจไม่ทุกข์