พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 14 ตุลาคม 2565
มีหมอคนหนึ่งเล่าว่า ทุกวันแกโทรศัพท์ไปคุยกับแม่ ก่อนจะวางสาย ประโยคสุดท้ายที่พูดอยู่ทุกครั้งเลยก็คือว่า แม่อย่าล้มนะแม่
ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะว่าหมอคนนี้เป็นหมอฉุกเฉินอยู่ตึกฉุกเฉิน แล้วแกก็เล่าว่าช่วงหน้าฝนนี่ แทบทุกวันเลยจะมีผู้ป่วยสูงวัยเข้ามารักษาตัวที่แผนกฉุกเฉิน เพราะว่าหกล้ม แล้วหกล้มนี่ คนแก่แต่ละครั้งๆ จะตามมาด้วยกระดูกสะโพกหัก หรือไม่เช่นนั้นก็กะโหลกร้าวเลือดออก และทำให้เป็นอัมพาต
แกว่านี่ยังไม่ร้ายเท่ากับว่าต้องนอนติดเตียง สิ่งที่ร้ายแรงกว่าจะตามมา เพราะว่าพอกระดูกสะโพกหัก พอเป็นอัมพาตเพราะว่าเลือดออกในสมองแล้ว ก็ต้องนอนติดเตียง นอนติดเตียงก็จำเป็นต้องใช้สายสวนปัสสาวะเพราะว่า ลงไปฉี่ ไปถ่ายไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน พอใส่สายสวนปัสสาวะไปนานๆ เข้า ก็จะติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ อันนี้ก็เรื่องใหญ่
ในขณะเดียวกันพอนอนติดเตียงก็ต้องให้อาหาร นอนรับอาหารทางสายยาง บางทีก็อาจจะสำลัก พอสำลักเข้าก็ติดเชื้อในปอดนี่ก็เรื่องใหญ่ ยังไม่นับถึงเรื่องการต้องใส่แพมเพิส เพราะว่าเข้าห้องน้ำไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน แล้วพอนอนติดเตียงก็จะมีติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ ติดเชื้อที่ปอดอันนี้เรื่องใหญ่ มีลูก ลูกก็ต้องมาดูแล มีหลาน หลานก็ต้องมาช่วย ก็เรียกว่าทั้งบ้าน
หมอคนนี้ก็บอก หลังจากที่เป็นแพทย์ฉุกเฉินมานาน พบสัจธรรมอย่างหนึ่งก็คือว่าคุณจะล้มกี่ครั้งก็ได้แต่อย่าล้มตอนแก่ เพราะล้มตอนแก่นี่แค่ครั้งเดียวนี้ก็ชีวิตเปลี่ยนไปเลย แล้วก็ไม่ใช่ชีวิตตัวเอง เปลี่ยนคนเดียว ชีวิตของทุกคนที่บ้าน ลูกหลานก็เปลี่ยนไปด้วย
อันนี้เป็นข้อคิดที่น่าสนใจ แม้ว่าฤดูฝนกำลังจะผ่านพ้นไป แต่ว่าการที่ผู้สูงวัยจะหกล้มนี่มันเกิดขึ้นได้ทั้งปี คุณหมอท่านนี้ก็เลยแนะนำว่า บอกคนที่บ้าน บอกคนที่สนใจ ใครที่มีผู้เฒ่าผู้สูงวัยที่บ้าน บอกว่านี่สำคัญนะต้องติดไฟให้สว่างไสวทุกมุมเลย โดยเฉพาะบริเวณที่ผู้สูงวัยต้องอยู่หรือเดินผ่าน ตรงไหนลื่นก็ต้องมีราวให้จับ หรือว่ามีแผ่นกันลื่นรองเอาไว้ แล้วก็ต้องมีอุปกรณ์ช่วยเดินด้วย
แล้วขณะเดียวกัน ตัวผู้สูงวัยเองตรงไหนที่สุ่มเสี่ยง หรือว่าลื่นก็อย่าไปเดิน และที่สำคัญก็คือว่าอย่าดื้อ ผู้สูงวัยอย่าดื้อ เพราะบางทีลูกหลานเตือนแล้วก็ยังดื้อ เพราะคิดว่าฉันไม่มีอะไร ฉันไม่มีปัญหาอะไร ตรงนี้ฉันก็เคยเดิน แล้วทุกครั้งไม่เคยลื่น อดีตไม่เคยลื่น แต่ไม่ได้หมายความว่าวันนี้วันหน้าจะไม่ลื่น
ก็เหมือนคนเรา ตั้งแต่เกิดมาก็มีลมหายใจ ไม่เคยมีวันไหนที่หมดลม แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีลมหายใจวันนี้ไปตลอด หรือว่าวันพรุ่งนี้ อดีตน่ะไม่สามารถที่จะไปกำหนดปัจจุบันหรืออนาคตได้ ไม่เคยลื่นมาก่อนไม่ได้หมายความว่าวันนี้พรุ่งนี้จะไม่ลื่น
แล้วก็ถ้าเป็นผู้สูงวัยแล้ว การลื่นหกล้มของผู้สูงวัยแต่ละครั้งนี้มันหนัก เพราะฉะนั้นต้องรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว แล้วก็เตือนใจอย่าประมาท เพราะว่าถ้าประมาทแล้วก็จะพลาดแล้วก็ไม่มีทางแก้ไข แต่ที่จริงแล้วนอกจากการเปิดไฟให้สว่าง การติดราวให้คนแก่ได้จับ การมีอุปกรณ์ช่วยเดินแล้ว สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งก็คือสติ
ที่จริงความไม่ประมาทกับสติก็เรื่องเดียวกันอยู่แล้ว เวลาเดินถ้าใจลอย หรือว่าพลั้งเผลอ ก็ลื่นได้ง่าย บางทีก็เห็นอยู่นะว่ามันลื่น แต่ว่าไม่ใส่ใจหรือบางทีก็ไม่เห็นเลยนะว่า ห้องน้ำมันลื่นหรือว่าทางเดินมันลื่น เพราะใจลอย ใจลอยคือขาดสติ
แล้วคนเราก็ใจลอยอยู่เป็นระยะๆ นะ แต่ถ้าหากว่ามีสติดีก็ไม่ลอยนาน โดยเฉพาะเวลาเดินในที่ที่มันสุ่มเสี่ยง เช่น ลื่น หรือชัน ที่จริงสติไม่ได้ช่วยเพียงแค่ไม่ให้หกล้มจนต้องนอนติดเตียง สติยังช่วยดูแลใจไม่ให้ล้มด้วย ร่างกายเราจะทรงตัวได้ดี ไปไหนมาไหนได้ดี ต้องอาศัยสติ
แต่สตินี้ไม่ได้เพียงแค่ช่วยทำให้ร่างกายเราทรงตัวได้ดี แต่ยังช่วยทำให้ใจเราไม่ลื่นไถลหกล้ม หรือจมอยู่ในกองทุกข์
การรักษาใจประคองใจไม่ให้ล้มก็สำคัญเหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นคนหนุ่มคนสาว ตัวอาจจะไม่ได้หกล้ม จนต้องนอนติดเตียง แต่ว่าใจก็อาจจะล้มได้ พอใจล้มก็คือมันจมอยู่ในความทุกข์ แล้วบางทีทุกข์หนักยิ่งกว่าตัวติดเตียงเสียอีก
เวลาใจจมทุกข์บางครั้งหนักยิ่งกว่าตัวติดเตียง สติจะช่วยรักษาใจ เวลามีอะไรมากระทบหรือมีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้น จิตใจก็ไม่เสียศูนย์ แต่เราสังเกตนะ เวลามีอะไรมากระทบไม่ว่าทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย หรือมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับชีวิต หลายคน เซเลยนะ อันนี้เรียกว่าจิตใจเสียศูนย์ แล้วก็จมอยู่ในความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวในงานการ บางทีการเรียนตกต่ำย่ำแย่ ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่นะ
หรือบางทีสอบเข้าไม่ได้ แต่หลายคนพอไม่มีสติรักษาใจ ใจก็ตกวูบเลย นี่ก็เรียกว่าล้มเหมือนกัน ตัวไม่ล้มแต่ว่าใจมันล้ม ล้มแล้วก็จมอยู่ในความทุกข์ แล้วถ้าไม่มีสติมากพอ ก็จะจมดิ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแย่ไปเลย บางทีถึงกับคิดสั้น ต้องรู้จักประคองใจไว้ให้ดี ความอยากอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีการลงมือปฏิบัติ ฝึกจิตฝึกใจให้มีสติเอาไว้
เวลามีอารมณ์เกิดขึ้นก็รู้ทันอารมณ์นั้น เวลามีความคิดในทางลบทางร้าย เพราะมีอะไรมากระทบทางตา ทางหู ก็ให้มีสติรู้ตัว ที่จริงเวลารับรู้อะไร หรือเสพอะไร ทางตาทางหูทางปาก ต้องมีสติเอาไว้ มีความรู้สึกตัวเอาไว้ เวลาทำอะไรก็ให้มีสติ อย่าปล่อยใจลอย ถ้ามี สติแต่เนิ่นๆ พอมีอะไรมากระทบ หรือพอมีเหตุที่ไม่คาดหวังมันก็จะตั้งตัวได้เร็ว ถึงล้มก็จะลุกได้ในเวลาไม่นาน ทำให้สามารถจะผ่านพ้นเหตุการณ์ต่างๆ ที่เลวร้ายไปได้
เรียกว่าถ้ามีสติ ไม่ว่าเป็นคนหนุ่ม คนสาว หรือคนแก่ก็จะอยู่รอดปลอดภัยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนแก่ยิ่งต้องมี เพราะว่าล้มแค่ครั้งเดียวนี่ก็จะทุกข์ไปตลอดชีวิต ยิ่งแก่ยิ่งต้องมีสติให้มาก ทั้งการเดิน การเหินและการกิน แต่การมีสติในวัยชราต้องเริ่มต้นตั้งแต่มีสติในวัยหนุ่มสาว
หนุ่มสาวสติช่วยรักษาใจไม่ให้จมทุกข์ แต่สำหรับคนแก่สติจะช่วยรักษากายไม่ให้นอนติดเตียง หรือถ้าหากว่าจะนอนติดเตียง ก็จะทุกข์แต่กาย แต่ว่าใจไม่ทุกข์
ถึงแม้ว่าฤดูฝนกำลังจะหมดไป แต่ว่าก็ให้มีสติไว้เสมอ อย่าประมาท อะไรที่เคยทำได้ไม่ได้แปลว่าวันนี้จะทำได้เหมือนก่อน อะไรที่ไม่เกิดขึ้นในอดีต ไม่ได้แปลว่าวันนี้ วันหน้าจะไม่เกิด ให้เตือนใจเอาไว้ ก็จะทำให้สามารถหลีกเลี่ยงความทุกข์ หรือไม่สร้างทุกข์ให้กับตัวเองได้