พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2565
เดี๋ยวนี้สวนสัตว์ในหลายประเทศพยายามทำให้คนที่มาชมสวนสัตว์ได้ใกล้ชิดกับสัตว์ชนิดต่างๆ ที่ผู้คนตั้งใจจะมาเยี่ยมชม วิธีหนึ่งก็คือให้คนได้เห็นสัตว์ต่างๆ ผ่านกระจก
อันนี้ไม่ใช่เฉพาะอะควาเรียมหรือว่าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ แต่ว่าสวนสัตว์ที่เขาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น เสือ แรด หรือว่าลิงกอริลลา ชิมแปนซี เขาก็ให้คนมาชมผ่านห้องกระจก แทนที่จะมองผ่านซี่กรง ซึ่งบางทีก็อันตราย เพราะว่า ผู้คนก็อาจจะยื่นมือไปหาสัตว์ ถ้าสัตว์ตกใจก็อาจจะกัด หรือว่าบางทีไปยื่นของที่เป็นโทษต่อสัตว์ เช่น พลาสติก
แต่ก่อนก็ให้ดูสัตว์ผ่านที่สูง แต่ว่าบางทีคนก็พลัดตกลงไป และที่พลัดตกลงไป อาจจะเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เขาก็เลยแก้ปัญหา ให้มาดูสัตว์ผ่านกระจกดีกว่า เขาก็จัดเป็นห้องกระจก แล้วทุกคนที่มาเยี่ยมชมสวนสัตว์ก็มาดู มาสังเกตศึกษาชีวิตของสัตว์ในระดับเดียวกันกับสัตว์เหล่านั้น ไม่ได้อยู่บนที่สูง ก็ทำให้คนได้เห็นสัตว์นานาชนิดอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
มีพ่อแม่คู่หนึ่งก็เอาลูกอายุก็ประมาณสักขวบสองขวบมาเที่ยวสวนสัตว์ แล้วคราวหนึ่งก็พาเด็กมาดูเสือดาวผ่านกระจก เด็กพอเห็นเสือดาว เด็กคนนั้นก็ดีใจใหญ่เลย ร้องด้วยความดีใจ แล้วก็ส่งเสียงร้องเหมือนกับเรียกให้เสือดาวเข้ามาใกล้ๆ
เสือนี่เห็นเด็กก็เดินเข้ามามาใกล้ๆ เหมือนกับได้ยินเสียงร้อง เสียงเรียกของเด็ก คงจะเห็นมือไม้ของเด็กเรียกเชิญชวนเข้ามา เสือดาวก็มาดูอยู่ใกล้ๆ เด็กก็ดีใจใหญ่ ยิ่งพูดยิ่งคุยกับเสือดาว เสือดาวปกติก็เป็นสัตว์ที่ดุร้าย แต่พอมันเจอเด็กคนนี้ ดูอากัปกิริยามันอ่อนโยนลงไปเลย แววตาก็นุ่มนวลมองเด็กคนนี้ด้วยความสนใจ แล้วก็อาจจะมีความเอ็นดูด้วย
เสือดาวนี้ก็ยืนอยู่นิ่งๆ เด็กก็เรียกเสือดาว คุยกับเสือดาวเหมือนกับเป็นเพื่อนสนิทกัน ไปจ้องมองกันอยู่นาน เหมือนกับว่ามีความสุขที่ได้เห็นกัน อากัปกิริยาของเสือดาวนี้ก็น่าทึ่ง เพราะว่าความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเอ็นดูเด็ก หรือว่าความรู้สึกอ่อนโยน ทำให้เราเห็นอีกด้านหนึ่งของเสือดาวว่าไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่เลย
แล้วก็มีอีกครอบครัวหนึ่ง ไม่รู้สวนสัตว์เดียวกันหรือเปล่า แต่ว่าเขาก็ทำคล้ายๆ กันก็คือว่า ให้สังเกต ศึกษาสัตว์ผ่านกระจก ตอนนี้ไม่ใช่เสือดาว แต่ว่าเป็นกอริลลา กอริลลาแม่ลูกอ่อน คนก็เป็นแม่ลูกอ่อนเด็กยังแบเบาะอยู่เลย เด็กก็หลับอยู่บนตักของแม่ ส่วนแม่ก็นั่งอยู่ใกล้ชิดกระจก
กอริลลาตัวนี้พอเห็นเด็ก เด็กแบเบาะบนตักของมนุษย์ก็สนใจ เดินเข้ามาชิดเลย ใกล้ชิดยิ่งกว่าเสือดาวตัวเมื่อกี้ กอริลล่าตัวนี้เข้ามาจ้องมองเด็กทารกคนนี้อย่างสนใจ แล้วก็ยื่นมือ พยายามที่จะไปจับเด็ก แต่ว่ามันมีกระจกกั้น
ความสนใจของกอริลลาอยู่ที่ตัวเด็กคนนี้นานทีเดียว แล้วก็อากัปกิริยาเป็นอากัปกิริยาเหมือนกับคนที่มีความเอ็นดู อยากจะกอด อยากจะสัมผัสเด็กคนนี้ แล้วก็มีการส่งเสียงด้วย เหมือนกับพยายามพูดคุย เป็นอาการของความรู้สึกแนบแน่น ผูกพันระหว่างสัตว์กับคน
ตัวกอริลลานี้ไม่ได้สนใจแม่เลย แต่ว่าสนใจเด็กทารก แล้วก็ตอนหลังลูกของกอริลลาตัวนี้ก็มาหาแม่ กอริลล่าตัวนี้ก็จับลูกให้มาดูเด็กทารก เรียกว่ากอริลลาทั้งแม่ทั้งลูกมีความสนใจในตัวเด็กมาก เป็นความเอ็นดู เป็นความรู้สึกผูกพันที่ทำให้เราเห็นถึงความอ่อนโยนของสัตว์ซึ่งแม้จะตัวใหญ่ แล้วก็ดูน่ากลัว น่าเกรงขาม แต่ว่าภาพที่เราเห็น เป็นอาการของสัตว์ที่มีความอ่อนไหว ความอ่อนโยน ความนุ่มนวลมาก
มันแสดงให้เห็นเลยว่า สัตว์ทุกชนิดมีความรู้สึกอ่อนไหวและอ่อนโยนกับคนที่เป็นเด็ก ที่เป็นทารก แล้วจริงๆ เด็กและทารกก็เหมือนกัน ก็มีความรู้สึกผูกพันกับสัตว์มาก อันนี้เราอาจจะเห็นได้ว่าเด็กก็จะผูกพันกับสัตว์เลี้ยงในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นแมว ไม่ว่าจะเป็นหมา เขาจะพูดคุยอะไรด้วย เหมือนกับว่าสื่อสารกันได้ แล้วเราก็จะพบว่าหมาหรือแมวในบ้านก็จะมีความรู้สึกผูกพันคนตัวเล็กๆ หรือว่าเด็กเหล่านี้
มันเหมือนกับเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่ในมนุษย์แล้วก็สัตว์ทั้งหลาย ก็คือมีความอ่อนโยนต่อสัตว์ตัวเล็กๆ คนเราพอเจอลูกสัตว์ จะเป็นลูกหมา ลูกแมว ลูกเสือ ลูกสิงโต ลูกช้าง เราจะรู้สึกว่าจิตใจเราอ่อนโยนลงทันที อยากจะเข้าไปใกล้ อยากจะเข้าไปสัมผัส อยากจะเข้าไปเล่น ซึ่งในแง่หนึ่ง สัตว์ตัวเล็กๆ เหล่านี้ก็ช่วยเยียวยาจิตใจของคนเราได้
พูดอีกอย่างคือ ไปกระตุ้นความรู้สึกดีๆ ขึ้นมา ไปกระตุ้นเมตตากรุณาให้เกิดขึ้นในใจของเรา เช่นเดียวกับเด็กตัวเล็กๆ ก็สามารถจะกระตุ้นเมตตา กรุณา ในใจของสัตว์เหล่านั้นได้เหมือนกัน แม้จะเป็นสัตว์ที่ดุร้าย แม้จะเป็นสัตว์ที่อาจจะไม่ได้ใกล้ชิดกับคน แต่ว่ามันมีความรู้สึกเหล่านี้อยู่ทั้งในสัตว์ และในคน คือความเมตตา กรุณา ความรู้สึกดี แล้วคนเราเวลาเจอเด็กเล็กๆ เราก็จะรู้สึกแบบเดียวกัน มีความรู้สึกดี ความรู้สึกอ่อนโยนเกิดขึ้น ในแง่หนึ่งมันก็กระตุ้นให้เราอยากจะทำความดี
มีคนทดลองเอากระเป๋าเงินแกล้งทิ้งไว้ตามที่สาธารณะ รวมทั้งในถังขยะด้วย หรือว่าตามทางเดินใกล้สถานีรถไฟ ใกล้สถานีรถ แล้วก็ดูว่าคนที่เก็บกระเป๋าเงินได้จะคืนไหม แล้วในกระเป๋าแต่ละใบก็จะใส่รูปต่างๆ ไม่เหมือนกัน เช่น ใส่รูปเด็กตัวเล็กๆ เด็กทารกบ้าง หรือว่าสอดรูปครอบครัวพ่อแม่ลูกที่อบอุ่น หรือว่าสอดรูปสุนัขแมวในกระเป๋า แล้วก็ดูกันว่ากระเป๋าชนิดใดที่ได้รับการคืน
เดาออกไหมกระเป๋าที่มีคนคืนมากที่สุด คือกระเป๋าที่ใส่รูปอะไร ปรากฏว่า ใส่รูปเด็กเล็กๆ ภาพเด็กทารกน่ารัก 88 เปอร์เซ็นต์เลย หรือเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ คนที่เก็บได้จะส่งคืนเจ้าของ ส่วนภาพหมาแมว คนคืนก็ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ของที่เก็บได้ ภาพคนที่ครอบครัวอบอุ่นก็น้อยหน่อย 40 กว่าเปอร์เซ็นต์
นี่บอกอะไรเรา มันก็แสดงว่า คนเวลาเจอกระเป๋าแล้วเห็นภาพเด็กทารก ความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้นเลย มันปลุกเมตตากรุณาขึ้นมาในใจ แล้วพอเมตตากรุณาเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่ความรู้สึกดีอย่างเดียว มันเกิดความอยากจะทำดีด้วย นึกถึงเจ้าของกระเป๋า ก็อยากจะส่งคืน ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องง่าย จะส่งกระเป๋าคืน สมัยก่อนก็ต้องเสียเวลาไปไปรษณีย์ แล้วก็เสียเงินส่งคืนเจ้าของ
แต่คนที่ได้รับกระเป๋าที่มีรูปเด็กทารกน่ารักก็มีความอยากจะทำอย่างนั้นมากกว่าคนที่ได้กระเป๋าที่มีภาพน้องหมาน้องแมวด้วยซ้ำ ในแง่หนึ่งก็ชี้ให้เห็นว่าเด็กทารก มีผลต่อจิตใจของผู้คน แล้วในแง่หนึ่งก็แสดงว่า คนเราก็มีความใฝ่ดีในใจ อยู่ที่ว่าความใฝ่ดีนั้นจะถูกกระตุ้นมากน้อยแค่ไหน ถ้าหากว่าความใฝ่ดีถูกกระตุ้น ก็ทำให้สามารถจะเอาชนะความเห็นแก่ตัว ยอมเสียเวลา ยอมเสียเงินส่งกระเป๋าคืนเจ้าของ แล้วความใฝ่ดีจะถูกกระตุ้นได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะได้เห็นภาพทารก เด็กน่ารัก
คนเราก็มีทั้งความใฝ่ดีก็มีความเห็นแก่ตัว จะเรียกว่ามีทั้งความรู้สึกดีและความรู้สึกลบก็ได้ ความใฝ่ดีมีในทุกคน ถ้าหากว่าได้เจออะไรที่มากระตุ้นความใฝ่ดี ก็ทำให้อยากจะทำความดี
ไม่ใช่แค่ภาพเด็กทารกที่น่ารัก อาจจะเห็นคนทำดีก็ได้ พอเห็นใครทำดี เห็นคนช่วยน้ำท่วม ความรู้สึกดีๆ ก็เกิดขึ้น และทำให้อยากจะทำความดีไปช่วยคนที่น้ำท่วมบ้าง หรือทำความดีอย่างอื่นบ้าง ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ต้องเสียเงิน ทำให้ต้องเสียเวลา หรือว่ามีคนพูดดีกับเรา แสดงความมีน้ำใจกับเรา เราก็เกิดความรู้สึกอยากจะทำดีกับคนนั้น หรือกับคนอื่นเป็นการตอบแทน อันนี้เกิดขึ้นแม้กระทั่งคนที่เห็นแก่ตัว
เพราะฉะนั้นคนเราเวลาจะทำอะไร บางทีมันไม่ใช่เป็นเพราะเขาเป็นคนดีหรือคนชั่ว แต่เป็นเพราะว่าความใฝ่ดี หรือความเห็นแก่ตัว อันไหนที่มันมีอำนาจเหนือจิตใจของเขาในเวลานั้นมากกว่ากัน
คนที่เราคิดว่าเป็นคนดี แต่ถ้าเกิดว่าไปกระตุ้นความใฝ่ไม่ดีของเขา หรือความเห็นแก่ตัว เขาก็อาจจะทำสิ่งที่ไม่ดี หรือว่าคนที่เกกมะเหรกเกเร แต่ถ้าหากว่ามีอะไรมากระตุ้นความใฝ่ดี จนกระทั่งเอาชนะความเห็นแก่ตัวได้ เขาอาจจะทำดีก็ได้
เพราะฉะนั้นจะว่าไปคนดีคนไม่ดีนี่จริงๆ แล้ว ยังเป็นการมองที่หยาบอยู่นะ ต้องมองว่าในเวลานั้น เขามีความใฝ่ดีหรือความเห็นแก่ตัวมากน้อยแค่ไหน และสิ่งที่เราจะช่วยคนต่างๆ ได้คือ กระตุ้นความใฝ่ดีในใจเขา เพื่อทำให้เขาอยากจะทำความดีช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น แล้วจะทำให้เขามีความสุขง่ายขึ้น มีความทุกข์ได้น้อยลง