พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 5 ตุลาคม 2565
เมื่อวานได้พูดถึงคนที่เขาเปลี่ยนจุดอ่อนของตัวให้กลายเป็นจุดแข็ง อย่างเด็กที่มีปัญหาด้านสายตา ลอกเลนส์ออกเพราะเกิดอุบัติเหตุ จนกระทั่งทำให้มองเห็นอะไรไกลๆ ไม่ชัด จากที่เคยชอบดูนกก็ดูไม่ชัด เลยหันมาดูมดดูแมลงแทน เพราะว่าสามารถจะมองเห็นสิ่งเล็กๆ ใกล้ๆ ได้ชัดกว่าเด็กทั่วไป
สุดท้ายก็กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อมาก เป็นผู้เชี่ยวชาญอันดับหนึ่งในเรื่องของมด รวมทั้งแมลงที่ใกล้เคียงด้วย หรือว่า เด็กที่ต้องตัดแขนซ้ายทิ้ง เพราะอุบัติเหตุรถยนต์ แต่ชอบเล่นยูโด สุดท้าย ขนาดบกพร่องขนาดนี้ก็ยังสามารถที่จะชิงชนะเลิศจนเป็นแชมป์ได้ เพราะว่าคู่ต่อสู้ไม่สามารถจะจับแขนซ้ายของเขา
เด็กคนนี้ชื่อเซกิ ไม่สามารถที่จะจับแขนซ้ายแล้วกระชาก ก็เลยไม่รู้ว่าจะแก้ท่าที่เป็นไม้ตายของเซกิได้อย่างไร ความบกพร่องที่ว่าอาจจะเกิดขึ้นกับคนไม่มาก แต่ว่ามันมีความบกพร่อง หรือว่าจุดอ่อนอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่เด็กๆ เลยก็คือโรคสมาธิสั้น หรือว่าความบกพร่อง ความผิดปกติในการอ่าน ที่เขาเรียกว่าดิสแทกเซีย หรือว่าเดี๋ยวนี้เป็นกันเยอะ ออทิสติก ต่ำๆ ก็แอสเพอร์เกอร์
แอสเพอร์เกอร์นี่ก็เป็นออทิสติกแบบอ่อนๆ เดี๋ยวนี้พ่อแม่หลายคนมีความทุกข์มาก เพราะว่าลูกมีอาการที่ว่า ซึ่งก็ทำให้เหมือนกับว่าเป็นข้อด้อยของเด็ก แต่ที่จริงแล้ว มันสามารถจะกลายเป็นจุดแข็งได้เหมือนกัน หากว่าใช้เป็น เอาความสามารถที่ตัวเองมีอยู่ ก็สามารถที่จะทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้า อย่างน้อยก็ในอาชีพการงานได้
อย่างที่พบว่าในยุโรป และอเมริกาผู้บริหารชั้นนำในแวดวงเทคโนโลยี และธุรกิจจำนวนมากเลย เป็นพวกออทิสติกหรืออย่างต่ำๆ ก็แอสเพอร์เกอร์ อย่างเช่น ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟสบุ๊ก แล้วก็กำลังโด่งดังทุกวันนี้ เขาก็มีอาการแอสเพอร์เกอร์ หรือว่าออทิสติกอ่อนๆ
รวมทั้งคนที่มีปัญหาเรื่องสมาธิสั้น หรือว่ามีปัญหาบกพร่องในการอ่าน หลายคนก็กลายเป็นคนเด่นคนดัง อย่างเช่น สตีฟ จ็อบส์ ก็เป็นคนที่เขามีปัญหาด้านการอ่าน ผู้ก่อตั้งบริษัทฟอร์ด ไอบีเอ็ม หรือว่าบริษัทชั้นนำใหญ่ๆ นี่ พวกนี้มีปัญหาด้านการอ่านซึ่งถ้าเรียนหนังสือบางทีก็สอบตก หรือว่าได้คะแนนต่ำมาก แต่ว่าพอมาทำธุรกิจ พอมาบริหารองค์กรก็ปรากฏว่า สามารถที่จะสร้างความเจริญ หรือประสบความสำเร็จได้
พวกสตาร์ทอัพต่างๆ ที่ตอนนี้ดังกันในหลายประเทศเลย ไม่ใช่ยุโรปอย่างเดียว ในเอเชียด้วย หลายคนก็เป็นพวกสมาธิสั้น เป็นพวกแอสเพอร์เกอร์ หรือว่าเป็นออทิสติกเลยด้วยซ้ำ ก็เลยเกิดความสงสัยว่า ทำไมคนที่มีปัญหาเหล่านี้ ถ้าเราเรียกว่าปัญหา จึงประสบความสำเร็จในแวดวงธุรกิจ
ในแวดวงเทคโนโลยี โดยเฉพาะแวดวงกีฬาดิจิทัล ก็พบว่าคนเหล่านี้จุดอ่อนก็มี แต่ว่าจุดอ่อนกลายเป็นจุดแข็ง อย่างเช่น คนที่มีปัญหาด้านการอ่าน พวกนี้จะมีความสามารถในการใช้คน มีความสามารถในการใช้คนให้มาช่วยงานของตัว ซึ่งเป็นทักษะที่มีมาตั้งแต่เล็ก เพราะว่าเวลาทำการบ้าน พวกนี้ทำการบ้านไม่ค่อยได้
เพราะการบ้านต้องใช้การอ่านออกเขียนได้ ก็ไหว้วานเพื่อนให้มาช่วยทำ จะต้องมีทักษะในการชักชวน ต่อรอง ทักษะนี้ก็เอามาใช้เมื่อตัวเองเป็นผู้บริหารธุรกิจ เลยสามารถจะใช้คนให้มาทำงานแทนตัวได้ มีความสามารถในการมองคนว่าจะให้ใครมาช่วยงานของตัวในลักษณะไหน
หรือว่า คนที่มีสมาธิสั้น เขาก็มีจุดเด่น คือว่ามีความคิดใหม่ๆ เกิดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ชอบที่จะยอมรับความคิดเดิมๆ ง่ายๆ เวลาทำอะไร ก็ต้องมองหาว่าจะมีวิธีการทำที่ดีกว่านี้ได้อย่างไร คือไม่ชอบย่ำเท้าอยู่กับที่ เพราะฉะนั้นก็เลยเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ แล้วก็เป็นพวกกล้าได้กล้าเสียด้วย พวกนี้พอมาทำงานในองค์กรสมัยใหม่ ก็สามารถที่จะคิดงานที่แปลกๆ ใหม่ๆ ได้ เพราะสมัยนี้การงานต่างๆ ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์มากจึงจะแข่ง หรืออยู่รอดได้
คนที่เป็นแอสเปอร์เกอร์ หรือโรคออทิสติกก็ตาม ก็เหมือนกัน ลักษณะเด่นของคนที่มีอาการแบบนี้ก็คือว่า ชอบหมกมุ่นกับเรื่องบางเรื่อง แคบๆ เล็กๆ เรื่องอื่นไม่สน สนแต่เรื่องนี้เรื่องเดียวเลย เพราะถ้าเป็นเรื่องตัวเลข ก็จะชอบมาก อะไรที่เป็นแบบแผนต้องทำอะไรซ้ำๆ เขาจะชอบ
แล้วคนเหล่านี้ก็ให้มาทำงานเกี่ยวกับเรื่องตัวเลข เกี่ยวกับเรื่องคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมเมอร์ ก็สามารถจะทำได้แบบอึด แบบทน จะมีการเกียจคร้านหรือว่าถูกล่อหลอกให้ไปทำอย่างอื่นน้อย เพราะว่าเป็นงานที่เขาถนัด ไม่เหมือนคนทั่วไป คนทั่วไปทำงานพวกนี้ไม่ค่อยได้นานๆ เพราะว่า น่าเบื่อ เรื่องตัวเลขบางทีก็แว่บไปทำโน่นทำนั่นที่น่าสนใจกว่า
แต่คนที่เป็นแอสเพอร์เกอร์ หรือว่าออทิสติก จะทำเรื่องพวกนี้ได้นานๆ ทำได้เลย ยิ่งไม่ต้องเจอผู้คนด้วย พวกนี้ก็จะคิดโปรแกรมใหม่ๆ หรือว่าวางแบบแผนการทำงานได้ดีกว่าคนอื่น ก็เลยกลายเป็นจุดแข็งซึ่งบังเอิญก็เหมาะกับยุคนี้ ยุคนี้เป็นยุคที่เรียกว่ายุคข่าวสาร ข้อมูลยุคดิจิทัล เราก็ต้องการคนที่มีลักษณะแบบนี้
ไม่เหมือนสมัยก่อน ต้องอาศัยความอึด ความอดทนอย่างเดียว แต่ว่าคนบางคนอาจจะไม่ชอบ พวกที่ชอบ พวกที่เป็นสมาธิสั้นก็ชอบอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ก็กระโดดไปในวงการหนึ่ง พวกที่ชอบทำอะไรซ้ำๆ แบบพวกแอสเพอร์เกอร์ ออทิสติกเขาก็เด่นไปอีกทาง แต่สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จเหมือนกัน
อันนี้ก็เรียกว่าเป็นตัวอย่างของคนที่ดูเหมือนมีข้อจำกัด มีจุดด้อย แต่ว่าพอมาอยู่ถูกที่ ก็กลายเป็นจุดเด่น ที่เคยเป็นข้อเสียเปรียบเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่น เช่น เวลาไปเรียนหนังสือ พวกนี้เรียนไม่ค่อยได้ คะแนนไม่ค่อยดี มีปัญหาความสัมพันธ์กับผู้คน แต่ว่าพอมาทำงานในลักษณะที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ หรือว่าบางทีต้องอยู่กับตัวเลข อยู่กับเครื่องจักร ก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้
เพราะฉะนั้น พ่อแม่ที่มีลูกที่มีอาการแบบนี้ หรืออาการแบบอื่นที่เรามองว่าเป็นจุดด้อย หรือบางทีไปคิดว่าเป็นปมด้อยของเด็ก ถ้าหากว่ารู้จักมอง สิ่งที่เป็นปมด้อยก็จะกลายเป็นจุดแข็งขึ้นมาได้ อยู่ที่ว่าการเลี้ยงดูของพ่อแม่ด้วย
ถ้าพ่อแม่ทำให้เด็กรู้สึกว่า ที่ตัวเองมี ที่ตัวเองเป็นมันเป็นปมด้อย เด็กก็เริ่มที่จะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ แต่ถ้าเกิดว่า รู้จักทำให้เด็กใช้ประสบการณ์ที่มี แม้ว่ามันจะเป็นจุดด้อยในสายตาของบางคน แต่ว่ามันสามารถจะเป็นจุดแข็งในหลายสถานการณ์ได้ มันก็สามารถจะทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้า เกิดความสำเร็จได้ แล้วก็ทำให้เกิดความมั่นใจในตัวเอง
เพราะทุกอย่างก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย แล้วทุกอย่างก็มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ในบางกรณีจุดอ่อนก็กลายเป็นจุดแข็ง ในบางสถานการณ์จุดแข็งก็กลายเป็นจุดอ่อน ตรงนี้คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องรู้จักมองให้เห็นว่า ในสิ่งที่เป็นจุดด้อยของเด็ก หรือจุดอ่อนของเด็กในตัวมันเอง มันเป็นจุดแข็งในเรื่องใดบ้าง
บางทีเจ้าตัวเองก็สำคัญ อย่างเด็กที่พูดเมื่อสักครู่ ตาไม่ดี มองเห็นนกไม่ชัดแต่ว่ามองเห็นมด เห็นแมลงได้ชัด ก็มาเอาดีทางนี้แทนแล้วก็ประสบความสำเร็จได้
พวกเราก็ต้องมองตัวเราเองด้วย เรามีจุดอ่อนจุดด้อยยังไง แต่ในตัวมันเองมันเป็นจุดแข็งก็ได้เหมือนกัน เช่นเดียวกัน เวลามีความทุกข์ หรืออาจกลายเป็นคนพิการขึ้นมา ลองดูดีๆ มันจะทำให้เรามีความสามารถที่แตกต่าง
อย่างเด็กที่ตาบอดหรือคนที่ตาบอดตั้งแต่เล็ก หูจะไวมากเลย แล้วบางทีเดินเหินไปไหนมาไหนได้โดยที่ไม่ต้องใช้ไม้เท้าเลย ใช้กระเดาะลิ้น กระดกลิ้น หรือเดาะลิ้น เสียงที่มันกระทบกับสิ่งที่ขวางหน้า พอมันสะท้อนเข้าหูก็จะรู้ทันที หูเขาไวมาก ไวมากจนกระทั่งรู้ว่ามีเสาอยู่ข้างหน้า มีรถอยู่ข้างหน้า มีคนอยู่ข้างหน้า รู้ได้ไง รู้ได้จากเสียงที่เขาเดาะลิ้นแล้วมันสะท้อนกลับมาที่หูเขา เหมือนกับค้างคาวเลย
อันนี้เป็นความสามารถพิเศษ ซึ่งเกิดขึ้นกับคนตาบอดจำนวนมาก ก็กลายเป็นว่าจุดด้อยของเขาก็ทำให้เขามีข้อเด่นในบางเรื่อง ซึ่งเป็นความสามารถพิเศษที่คนธรรมดาทำไม่ได้ บางคนนี่ตาบอดขี่จักรยานได้ ไม่ต้องพูดถึงวิ่งนะ เขาใช้วิธีการกระดกลิ้นหรือเดาะลิ้น อาศัยเสียงที่สะท้อนกลับมา ทำให้เขารู้ว่าข้างหน้ามีสิ่งกีดขวางหรือเปล่า.