PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
  • สงบดีแต่อย่าติด
สงบดีแต่อย่าติด รูปภาพ 1
  • Title
    สงบดีแต่อย่าติด
  • เสียง
  • 11169 สงบดีแต่อย่าติด /aj-visalo/2022-10-04-15-48-40.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันอังคาร, 04 ตุลาคม 2565
ชุด
รวมพระธรรมเทศนา
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 3 ตุลาคม 2565
     
         คนเราทุกคนย่อมปรารถนาความสุข แล้วก็เพียรพยายามที่จะให้เข้าถึงหรือว่าได้รับความสุขนั้น ในทางพุทธศาสนาท่านก็สอนว่าให้เข้าถึงความสุข หรือว่าแสวงหาความสุข ด้วยวิธีการที่ถูกต้องชอบธรรม
         วิธีการที่ประกอบไปด้วยศีล ประกอบไปด้วยธรรม ถ้าเป็นการทำมาหากิน ก็ให้เป็นสัมมาอาชีวะ และเมื่อได้ความสุขอย่างที่ปรารถนาแล้ว สิ่งที่ต้องพึงใส่ใจก็คือ อย่ายึดติดในความสุขนั้น
         อันนี้ได้พูดไปแล้วเมื่อครั้งที่แล้วว่า เราไม่ควรติดสุข ซึ่งหลายคนก็สงสัยว่าทำไมเราไม่ควรติดสุข ความสุขมันเป็นสิ่งที่น่ายินดี ติดสุขนี่มันเสียหายอย่างไร ถ้าเราติดสุข โดยเฉพาะสุขที่เกิดจากการเสพ เสพทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ซึ่งเรียกรวมๆ ว่ากามสุข หรือว่าสุขจากการเสพ ถ้าเราไปยึดติดในความสุขนั้น หรือหมกมุ่นกับมัน มันก็สามารถจะพาชีวิตจิตใจของเราไปในทางที่เสื่อมได้
         คนที่ขี้เกียจ ขี้เกียจทำมาหากิน ขี้เกียจในการประกอบอาชีพ หรือแม้กระทั่งขี้เกียจในการเรียน ก็เพราะติดสุข หรือว่าคนที่ทุจริตคอรัปชั่น คดโกง ลักขโมย พวกนี้ก็ล้วนแต่เกิดจากการติดสุข อยากได้ความสุขสบายโดยที่ไม่ต้องเหนื่อย อยากมีเงินเอาไว้เพื่อเสพ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
         เสพเท่าไหร่ก็ไม่พอ ก็ต้องหามาให้ได้มากๆ หาด้วยวิธีการที่ถูกต้องชอบธรรมไม่ได้ ก็ต้องหาด้วยวิธีการที่ผิดศีลผิดธรรม ผิดกฎหมาย เรียกว่ามันฉุดชีวิตคนเราไปสู่ทางที่เสื่อมได้ แล้วก็ขัดขวางความเจริญ
         อยากจะมาปฏิบัติธรรม รู้ว่าการเจริญสติเป็นของดี การทำสมาธิภาวนาเป็นของดี แต่ว่าติดความสุขสบายที่บ้าน ไม่อยากมาเจอความยากลำบากที่วัด ก็ไม่มาดีกว่า หรือแม้จะมีความตั้งใจที่จะรักษาศีล ประพฤติธรรม ไม่ปล่อยให้ความติดสุขมันฉุดไปในทางที่เสื่อม แต่สิ่งที่ต้องเจอก็คือความทุกข์
         ทุกข์ตั้งแต่ดิ้นรนขวนขวายหามา ได้มาแล้วก็ต้องทุกข์กับการรักษา และยิ่งพอมันเสื่อมมันสลายไป ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ เกิดความโศก ความคร่ำครวญ เกิดความกลัดกลุ้ม ยิ่งไปยึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเรามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งตกเป็นทาสของมันมากเท่านั้น คือแทนที่มันจะเป็นของเรา เรากลายเป็นของมันไปเลย พอมันสูญสลายหายไป จิตใจก็พลอยสูญสลายหรือแตกสลายไปด้วย
         บางคนนี่พอสูญเสียเงินทอง สูญเสียทรัพย์สิน เพราะเศรษฐกิจวิกฤต เพราะหุ้นตก หรือเพราะถูกยึด ยึดบ้าน ยึดทรัพย์ ก็ฆ่าตัวตายเลย หรือมิฉะนั้นก็กลัดกลุ้ม นอนไม่หลับ ทรัพย์สมบัติถูกปล้นถูกขโมย ถูกไฟไหม้ ถูกน้ำท่วม ไม่ใช่เสียทรัพย์อย่างเดียว เสียใจแล้วก็เสียจริตไปเลยก็มี อันนี้เพราะติดสุข ไปยึดติดในความสุข โดยเฉพาะสุขที่เกิดจากทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งมันก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเข้าถึงกามสุข 
         ทีนี้ทำอย่างไรจึงจะไม่ติดสุข นี่ก็ได้พูดไปแล้วเมื่อคราวที่แล้ว นั่นก็คือการที่เราได้ตระหนักถึงโทษของมัน โทษของความสุขชนิดนี้ ว่ามันเป็นสุขที่เจือไปด้วยทุกข์ สุขชั่วคราวแต่ว่าทุกข์ยาวนาน และทุกข์อย่างหนึ่งก็คือมันเป็นของที่ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ได้กับเสียเป็นของคู่กัน มีกับหมดเป็นของคู่กัน ฉะนั้นถ้าเราตระหนักเช่นนี้ มีอะไรก็ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นกับมันมากเกินไป เสพความสุขหรือมีสุขด้วยใจที่รู้เท่าทัน
         ซึ่งจะว่าไปก็เปรียบเทียบเหมือนการกินปลา ถ้ากินปลาไม่เป็นก้างก็ตำคอ หมายความว่าถ้าเราเสพความสุขอย่างไม่รู้เท่าทัน เราก็เจอทุกข์ตามมา เฉพาะคนที่รู้เท่าทัน เมื่อมีความสุขก็ไม่ไปหลงติดมัน ไม่ว่าเสพทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น มันให้ความสบายก็จริง แต่ไม่ยึดติดมัน
         อันนี้ก็เปรียบเหมือนกับกินปลาแต่ว่าไม่โดนก้างตำคอ เพราะว่าระมัดระวัง ไม่อย่างนั้นก็จะเรียกว่า กินปลาก็จะโดนก้างตำคอ หรือเหมือนกับปลาที่ฮุบเหยื่อ แต่แล้วก็โดนเบ็ดที่ฝังอยู่ที่ซ่อนอยู่มันทิ่มเอา สุขชั่วคราวแต่ว่าทุกข์ยาวนาน
         ขณะเดียวกัน นอกจากเห็นโทษของมันแล้ว ก็มีสติด้วย เวลามีความยินดีเบิกบานใจ เพราะได้สุข สุขจากการเสพ สุขจากการเที่ยว สุขจากการกิน สุขจากการเล่น ก็ยินดีแต่ก็รู้ทัน เห็นความสุขแต่ไม่เป็นผู้สุข อันนี้ก็ต้องอาศัยสติ มีสติเห็นใจที่มันฟูเวลาได้เสพของอร่อย ได้ฟังเพลงเพราะ ใจมันยินดีก็เห็นมัน อันนี้ก็เรียกว่าเห็นความสุขแต่ไม่เป็นผู้สุข เห็นไม่เข้าไปเป็น ถึงเวลาที่ความสุขมันเจือจางดับหายไป ก็ไม่ทุกข์หรือทุกข์ไม่มาก
         อีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราไม่ติดสุข โดยเฉพาะกามสุข ก็คือการเข้าถึงความสุขที่ประณีต สุขนี่มีหลายระดับ แม้แต่กามสุขเอง สุขจากการเสพก็มีหลายระดับ ระดับที่หยาบที่สุดก็คือ สุขจากการเสพของมึนเมา
         สิ่งเสพติด อันนี้คนจำนวนมากก็ติดสุขชนิดนี้ จนกระทั่งโงหัวไม่ขึ้น โทษของมันเป็นอย่างไรก็รู้อยู่ และการที่จะสลัดหรือเป็นอิสระจากความสุขแบบนี้ มันไม่ใช่แค่อยากจะเป็นอิสระจากมัน หรือแม้แต่เห็นโทษของมันก็ยังไม่พอ มันต้องเข้าถึงความสุขที่ดีกว่า ที่ประเสริฐกว่า
         เคยมีการทดลอง เอาหนูมาขังไว้ในกรง ตัวเดียวเลย เดี่ยว ๆ แล้วในกรงนั้นก็มีน้ำ 2 ชนิด น้ำเปล่ากับน้ำที่ผสมมอร์ฟีน ปรากฏว่าหนูตัวนี้ไม่นานมันก็ติดมอร์ฟีน มันไม่สนใจน้ำเปล่าเลย
         แต่ต่อมาเขามีการทดลองอีกอย่างหนึ่ง เอาหนูมาอยู่ในกรงที่มันมีเพื่อน เพื่อนต่างวัย ต่างเพศ ตัวผู้ ตัวเมีย แล้วก็มีของเล่นให้มันเล่นด้วยในกรงนี่ และแน่นอนก็มีน้ำ 2 ชนิด น้ำเปล่ากับน้ำที่ผสมมอร์ฟีน ปรากฏว่ามันไม่แตะเลย น้ำที่ผสมมอร์ฟีนหรือยาเสพติด มันกินน้ำเปล่า
         ทำไมเป็นอย่างนั้น คำอธิบายก็คือว่า ที่มันติดยาเสพติด เพราะว่ามันอาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตในกรง อยู่ตัวเดียวลำพัง แต่พอมันมีหมู่มิตร เพื่อนฝูง มีแฟน ได้สนุกสนานด้วยกัน แล้วแถมยังมีของเล่น พอมันมีความสุขแบบนี้เข้ามา มันก็ไม่โหยหาความสุขที่หยาบ ความสุขจากมอร์ฟีน
         นี่ขนาดสัตว์นะ คนก็เหมือนกัน คนที่ติดยาเช่นวัยรุ่น พอเขาชักชวนให้ทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง เช่น มาเล่นกีฬาด้วยกัน มีเพื่อนฝูงมาทำกิจกรรมด้วยกัน มีคนให้ความใส่ใจ ให้การยอมรับ
         บางแห่งเขาจัดกิจกรรมบาสเกตบอลเที่ยงคืน แข่งกันระหว่างวัยรุ่น ตามบล็อกต่างๆ ปรากฏว่าคนที่ติดยา วัยรุ่นที่ติดยาน้อยลงเลย มันน้อยลง เพราะอะไรเพราะมันมีความสุขที่ดีกว่ายาเสพติดมาแทนที่ ความสุขจากมิตรภาพ ความสุขจากการสนุกสนาน ความสุขจากการที่ได้รับการยอมรับ
         พวกนี้มันทำให้วัยรุ่นหลายคนเลิกยาเสพติด จะเป็นฝิ่น เฮโรอีน หรือว่ายาม้า นี่ขนาดสุขอย่างหยาบนะ มนุษย์เราก็สามารถจะเป็นอิสระจากมันได้ ถ้าเข้าถึงความสุขที่ดีกว่า หรือความสุขที่ประณีตดีกว่า
         เคยมีชายหนุ่มคนหนึ่ง พาเพื่อนมากราบหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ พอเขากราบหลวงปู่ดูเสร็จ ก็เลยชวนเพื่อนที่มาด้วย เพื่อนคนนี้เป็นคนที่ชอบกินเหล้า ชายหนุ่มคนนี้ก็ชวนเพื่อน บอกไหนๆ มาหาหลวงปู่ดู่แล้วก็ถือโอกาสรับศีล สมาทานศีล 5 จากหลวงปู่ดู่ แล้วก็ตั้งใจเลยนะ ให้ทำสมาธิภาวนา
         เพื่อนที่ติดเหล้าก็พูดกับหลวงปู่ดู่ว่า ผมจะถือศีลแล้วก็จะปฏิบัติได้อย่างไร ผมยังกินเหล้าเมายาอยู่เลย ปฏิเสธ หลวงปู่ดู่ก็บอกว่า แกจะกินก็กินไป เป็นเรื่องของแก ข้าไม่ว่า แต่ขอให้เอ็งทำสมาธิให้ข้าวันละ 5 นาทีก็พอ ทำได้ไหม หนุ่มคนนี้ก็บอกว่าทำได้ ตราบใดที่ยังกินเหล้าอยู่
         แล้วแกก็เป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้น อันนี้ข้อดี ทุกวันแม้จะกินเหล้า แต่ว่าก็ไม่ทิ้งการนั่งสมาธิ แม้เพียงแค่ 5 นาที เขาทำทุกวันเลย บางวันนั่งสมาธิเสร็จก็ไปกินเหล้ากับเพื่อน แต่บางวันเพื่อนมาชวนขณะที่เขากำลังนั่งสมาธิอยู่ ยังไม่ครบ 5 นาที เขาก็ไม่ไป
         ทำอย่างนี้อยู่พักใหญ่เลย ในที่สุดก็เลิกเหล้าไปเลย แล้วตอนหลังก็มาบวชกับหลวงปู่ดู่ จากคนที่ติดเหล้า กลายเป็นคนที่เลิกเหล้าได้ ทำไมถึงเลิกเหล้าได้ เพราะว่าได้พบกับความสุขจากสมาธิ พบว่าสมาธิมันให้สุขที่ดีกว่ากินเหล้า ก็เลยเลิกเหล้าได้
         คนเราจะเลิกสุขที่หยาบ ก็เพราะได้พบสุขที่ประณีต เช่นเดียวกัน สุขจากกามหรือกามสุข ถ้าเราจะไม่ติดมันหรือเลิกมันได้ เป็นอิสระจากมันได้ ไม่ลุ่มหลงในมัน ก็เพราะว่าเข้าถึงความสุขที่ประณีตกว่า เพียงแค่เห็นโทษของมันยังไม่พอ หรือเพียงแค่ตั้งใจว่าอยากจะเลิก มันไม่พอ ตราบใดที่ยังไม่สามารถจะเข้าถึงความสุขที่ประณีตตได้ มันก็ต้องหวนกลับไปอีก
         อันนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลยว่า สมัยที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ คือยังแสวงหาทางหลุดพ้น ก็คือช่วงที่ออกบวชนั่นเอง พระองค์ก็ตรัสว่าแม้จะเห็นโทษของกาม ว่ากาม คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่น่าพึงพอใจ แม้มันจะมีคุณ น่ายินดี แต่มันก็มีโทษมาก
         แต่พระองค์ก็บอกว่า ตราบใดที่พระองค์ยังไม่สามารถจะเข้าถึงฌาน หรือความสุขที่เกิดจากฌาน ก็ไม่อาจที่จะรับปากว่า จะไม่หวนกลับไปหากามอีก นี่ขนาดพระองค์มีความตั้งใจว่าจะเป็นอิสระจากกาม แต่ถ้ายังไม่สามารถจะเข้าถึงความสุขที่ประณีต คือความสุขจากฌาน หรือความสุขทางจิต หรือความสุขที่ประณีต คือความสงบจากสมาธิและปัญญา ก็อาจจะหวนกลับไปหากามได้อีก
         และในอีกที่หนึ่งพระองค์ก็ตรัสเล่าถึงตอนที่พระองค์ยังเป็นคฤหัสถ์ อยู่ปราสาท 3 หลัง มีสิ่งบำรุงบำเรอตน ด้วยรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่น่าพึงพอใจ แต่ต่อมาพระองค์ก็หันหลังให้กับสิ่งเหล่านี้ แม้เห็นผู้คนจำนวนมากติดยึดในกาม หลงใหลในกาม พระองค์ก็ไม่ได้มีความรู้สึกหวั่นไหวหรืออิจฉาเลย และพระองค์บอกว่าที่พระองค์เป็นอิสระจากกามสุขได้ เพราะพระองค์ได้เข้าถึงสิ่งที่พระองค์เรียกว่าความสุขที่เป็นทิพย์
         พระองค์ตรัสว่า เรายินดีในธรรมที่ปลอดจากกาม ปลอดจากอกุศลธรรม และเป็นเพราะเราเข้าถึงสุขที่เป็นทิพย์ เราจึงไม่ยินดีในสุขขั้นต่ำหรือในสุขชั้นต่ำ สุขชั้นต่ำที่พระองค์พูดก็คือกามสุขนั่นเอง พูดง่ายๆ อีกอย่างหนึ่ง พระองค์ละทิ้งกามสุขได้ ซึ่งเป็นสุขชั้นต่ำ ก็เพราะเข้าถึงความสุขชั้นสูง คือสุขที่เกิดจากสมาธิและปัญญา ซึ่งพระองค์ใช้คำว่าสุขที่เป็นทิพย์
         ฉะนั้นการที่คนเราจะไม่ติดสุข โดยเฉพาะกามสุข หรือว่าไม่เป็นทาสของมัน ก็เพราะเราสามารถจะเข้าถึงสุขที่ประเสริฐ อาจจะไม่ถึงกับขั้นฌานก็ได้ แต่เป็นสุขที่เกิดจากความสงบในจิตใจ สุขที่เกิดจากสมาธิ สุขที่เกิดจากปัญญา สมาธิในที่นี้ก็รวมถึงสติ ความรู้สึกตัวด้วย เพราะช่วยทำให้รู้จักปล่อยรู้จักวาง ไม่ไปหลงใหลในความสุขที่ได้รับ
         ฉะนั้นเมื่อคนเราเข้าถึงสุขจากสมาธิ หรือสุขที่เรียกว่าความสงบ มันก็ทำให้เราสามารถที่จะละสุขที่หยาบ คือกามสุขได้ แต่เมื่อเราเข้าถึงสุขที่เกิดจากความสงบแล้ว แม้มันจะทำให้เราเป็นอิสระจากกามสุขได้
         แต่ก็ต้องระวัง ระวังที่จะติดในความสงบ บางคนทิ้งสุขจากกามได้ แต่ว่าไปติดสุขจากความสงบ ขึ้นชื่อว่าการยึดติดแล้ว แม้เป็นสุขที่ประณีตคือความสงบ ถ้ายึดติดเมื่อไหร่ก็เป็นทุกข์
         ฉะนั้นในขณะที่เราไม่ควรติดสุข เราก็ต้องระวังอย่าไปติดความสงบด้วย เพราะถ้าติดความสงบแล้ว มันก็ทำให้เจอทุกข์ได้ง่าย เพราะว่าความสงบก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่แต่ความสงบเพราะสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว แม้กระทั่งความสงบที่เกิดจากการฝึกจิตก็ตาม เพราะจิตก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะบังคับจิตให้มันสงบได้ตลอดเวลา
         หลายคนเมื่อวานนี้ปฏิบัติได้ดีเลยนะ จิตสงบผ่องใส แต่วันนี้มันไม่ใช่อย่างนั้นเสียแล้ว จิตไม่สงบเอาเสียเลย ที่จริงก็ไม่ใช่ปัญหา แต่พอเราไปติดสงบเมื่อไหร่ พอจิตไม่สงบกลายเป็นปัญหาเลย เหมือนกับคนที่ติดสงบเพราะสถานที่มันเงียบสงัด ใครที่ติดความสงัด ความเงียบของสถานที่ พอไปเจอที่ที่มันไม่สงบไม่สงัด หงุดหงิดขึ้นมาเลย เช่นกลับไปบ้าน เจอเสียงดังนิดหน่อยก็ไม่ได้
         หรือแม้แต่คนที่อยู่วัด บางวันบางคืนมันก็มีเสียงดังจากหมู่บ้าน เพราะเขามีงานมหรสพ มีงานศพ คนที่เคยติดในความสงบ เพราะว่ามันไม่มีเสียงรบกวน พอเจอเหตุการณ์นี้เข้า หงุดหงิดงุ่นงานขึ้นมาเลย กลายเป็นคนที่อ่อนแอ
         ชาวบ้านในหมู่บ้านเขาเจอเสียงดังยิ่งกว่าคนในวัดซะอีก เพราะว่าลำโพงมันก็อยู่ในหมู่บ้าน เขากลับไม่หงุดหงิดอะไรเลย แล้วก็นอนหลับได้ แต่คนวัดซึ่งเป็นนักปฏิบัติธรรม กลับหงุดหงิดงุ่นงาน นี่เพราะอะไร เพราะติดสงบ ก็กลายเป็นคนทุกข์ง่าย กลายเป็นคนอ่อนแอ
         แม้ความสงบเป็นของดี แต่ก็ระวังใจอย่าไปยึดติด เพราะถ้าติดมันเมื่อไหร่ เราก็จะทุกข์ง่ายเมื่อนั้นแหละ บางทีหนักกว่านั้น ในสมัยพุทธกาล มีพระรูปหนึ่งชื่อพระโคธิกะ ท่านสามารถจะทำสมาธิจนได้ฌาน พอได้ฌานก็จะมีความสุขมากเลย
         แต่พอฌานเสื่อมก็จะเป็นทุกข์เลย และเผอิญสุขภาพไม่ค่อยดีด้วย ฌานก็เลยเสื่อมได้ง่าย พอเสื่อมแล้วเป็นอย่างไร เอาใหม่ ตั้งใจทำจนได้ฌานอีก ตอนที่ได้ฌานก็มีความสุขมากเลย แต่พอฌานเสื่อม ความทุกข์ก็มาแทน เป็นอย่างนี้ 6 ครั้ง ก็รู้สึกเป็นทุกข์มาก ว่าทำแล้วฌานมันเสื่อม
         ตอนที่ได้ฌานนี่มีความสุข แต่พอมันเสื่อมก็กลายเป็นทุกข์ไป เพราะมันเหมือนกับหน้าเหมือนกับหลังมือเลยนะ สุขมากเท่าไหร่เมื่อได้ฌาน ก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้นเมื่อฌานเสื่อม ก็เลยตั้งใจว่าจะทำสมาธิให้ได้ฌานอีกครั้งหนึ่ง แล้วพอได้ฌานก็จะเอามีดปาดคอเลย เพื่อจะได้ไม่ต้องเจอกับภาวะที่ฌานเสื่อม
         เขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ พอได้ฌานแล้วก็ออกจากฌาน กำลังฌานยังมีอยู่ ก็คว้ามีดมาปาดคอเลย เพราะว่าทนไม่ได้กับภาวะที่เสื่อมจากฌาน ก็ขอให้ตายในภาวะที่ยังมีกำลังของฌานอยู่
         แต่ท่านได้สติตอนที่ปาดคอไปแล้ว แล้วก็เห็นว่ามันไม่เที่ยงเลยนะฌานนี่ เช่นเดียวกับเวทนานี่ก็ไม่เที่ยง ตอนที่เกิดทุกขเวทนามาก ท่านก็พิจารณาสังขารจนเห็นไตรลักษณ์เลย ปัญญาเกิด แล้วก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ก่อนที่จะสิ้นลม
         นับเป็นเคสที่ประหลาดมาก คือเป็นพระอรหันต์หลังจากที่ฆ่าตัวตาย แต่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์เพราะฆ่าตัวตายนะ แต่ก็เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า ถ้าติดในความสงบ มันก็เป็นโทษมากเลย ถึงขั้นที่จะฆ่าตัวเองได้ เพื่อไม่ให้ต้องเจอกับภาวะที่เสื่อมจากฌาน
         เพราะฉะนั้นแม้ความสงบเป็นของดี มันช่วยทำให้เราไม่ติดสุขที่หยาบๆ เป็นอิสระจากกามสุข แต่ความสงบนี่ ติดเมื่อไหร่ก็เป็นทุกข์เมื่อนั้น ของดีถ้าหากว่าเรายึดมันเมื่อไหร่ ดีมันก็กลายเป็นเสียไปเลย ความคิดที่ถูก ถ้ายึดเข้าไว้ ก็กลายเป็นความคิดที่ผิดไปเลย
         อย่างที่หลวงพ่อเฟื่อง โชติโกท่านบอก ความเห็นของเราแม้จะถูก แต่ถ้ายึดเข้าไว้มันก็ผิด คนไม่ค่อยเข้าใจนะ สิ่งดีๆ ถ้าปฏิบัติไม่ถูก มันกลายเป็นโทษไปเลย อันนี้เขาเรียกว่าทำผิดในสิ่งที่ถูก สิ่งที่ถูกถ้าไปปฏิบัติไม่ถูก ก็กลายเป็นผิดไปเลย
         ต้องระวังทำผิดในสิ่งที่ถูก ก็คือยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ดี แม้ความสงบจะเป็นสิ่งที่ดี ช่วยทำให้เป็นอิสระจากกามสุข สุขที่หยาบได้ แต่พอไปยึดเข้าไว้ มันก็ผิดไปเลย เพราะมันสามารถจะทำให้เกิดทุกข์ได้.

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service