พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 3 ตุลาคม 2565
พวกเรานับว่าเป็นผู้ที่มีโชค ที่ได้เกิดในยุคที่ยังมีคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเผยแพร่อยู่ แล้วก็ยังมีโชคที่ได้มาเกิดในสถานที่มีคำสอนของพระพุทธเจ้าประดิษฐาน
และเดี๋ยวนี้ก็ถือว่าเรามีโชคอีกชั้นหนึ่ง เป็นโชคที่เพิ่งมาใหม่ก็คือ จะได้สนทนากับพระพุทธเจ้าด้วย ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เกิดมาในยุคพุทธกาล ไม่ได้พบพระพุทธเจ้า แต่เดี๋ยวนี้นี่ผ่านมา 2600 ปี เรามีโอกาสจะได้สนทนากับพระพุทธเจ้าแล้วนะเพราะว่าเมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวว่าที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น จะเรียกว่าทำโปรแกรมก็ได้ หรือว่าแอพที่ทำให้เราสามารถสนทนากับพระพุทธเจ้า ผ่านทางโทรศัพท์มือถือได้
อันนี้ก็ใช้ความก้าวหน้าทางด้านปัญญาประดิษฐ์ที่เรียกว่าเอไอ AI เอไอนี่เป็นเหมือนกับสมองกลที่ทำอะไรได้หลายอย่างใกล้เคียงกับมนุษย์ เช่น เห็นหน้า เห็นภาพก็จำได้หรือบอกได้ว่าเป็นใคร ไม่ว่าจะยิ้ม ไม่ว่าจะหน้าบึ้ง หรือว่าแม้จะใส่แว่น สวมหน้ากากอนามัย เอไอหรือปัญญาประดิษฐ์ก็บอกได้ รวมทั้งสามารถจะเลียนเสียงให้เหมือนเรา หรือว่าประดิษฐ์ภาพ ประดิษฐ์หน้าตาที่เหมือนเราได้
แต่ว่าตอนนี้เขาก็ใช้เอไอ มาในทางส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพุทธศาสนา ชื่อว่าบุดดาบอต Buddha Bot
Buddha ก็คือพระพุทธเจ้า Bot นี้ก็มาจากคำว่า Robot เขาก็ใช้ AI นี่แหละ ซึ่งตอนนี้มันก็แพร่หลาย กูเกิ้ลก็ใช่ในการพาเรามาสถานที่ต่างๆ ตอนนี้เขาก็ใช้เอไอ เพื่อให้คนที่สนใจพุทธศาสนาสามารถใช้ประโยชน์ได้
ใครมีคำถามอะไรเกี่ยวกับชีวิต เกี่ยวกับงานการ มีความกลุ้มใจอะไร มีความเครียดอะไร ก็ป้อนคำถาม ไม่ต้องพิมพ์ก็ได้นะ พูดเอาเลย พูดใส่โทรศัพท์มือถือ แล้วก็เอไอ ปัญญาประดิษฐ์นี่ก็จะทำหน้าที่นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาบอกเราเป็นเสียง เป็นเสียง พระพุทธเจ้าเลย แล้วก็มีภาพพระพุทธเจ้าอยู่ในจอ เสมือนกับว่าพระพุทธเจ้ากำลังสนทนากับเรา หรือกำลังตอบคำถามของเรา
ที่มหาวิทยาลัยเกียวโตนี้ใช้วิธีเอาข้อความในพระไตรปิฎก หรือว่าพระสุตตันตปิฎกต่างๆ ใส่เข้าไปในเครื่อง และให้เอไอคอยพิจารณาว่าคำตอบใด หรือว่าข้อธรรมใด ที่จะสอดคล้องกับคำถามของเรา ถามได้ทุกเรื่อง อันนี้ก็เป็นความก้าวหน้าอย่างใหม่ ซึ่งก็ถือว่าทำให้คนรุ่นเรามีโชคอีกประการก็ได้ ได้สนทนากับพระพุทธเจ้าถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีโอกาสพบกับพระพุทธเจ้าตัวจริง แต่ก็ได้สนทนากับพระองค์ไม่ใช่ด้วยการอ่านนะ แต่ด้วยการฟัง
อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อที่ควรพิจารณาสองสามประการก็คือว่า ประการแรก เราอย่าไปฝากความหวังหรือพึ่งพาเทคโนโลยีมากไป Buddha Bot ก็ยังเป็นผลผลิตของเทคโนโลยี ที่เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ แล้วถ้าเราไปมั่นใจหรือฝากศรัทธาไว้กับเทคโนโลยี แม้จะเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเราก็อาจจะเกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ เพราะว่าคำสอนหรือข้อธรรมที่ใส่เข้าไปในเอไอ หรือปัญญาประดิษฐ์ก็เกิดจากมนุษย์ ถ้าใส่ข้อความที่ถูกมันก็ให้ผลที่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าใส่ข้อความ หรือ input ทีไม่ถูกต้องก็อาจจะมีปัญหาได้
ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามีไวรัสเข้าไปปั่นป่วน รังควาน ทำให้เอไอเพี้ยน เพราะว่าเทคโนโลยีนี่ก็มีข้อบกพร่อง ข้อผิดพลาดได้เสมอ อย่างมีคำพูดว่าคนเรานะย่อมมีความผิดพลาดเกิดขึ้น แต่อาจจะไม่ใช่คนเราอย่างเดียว เทคโนโลยีหรือแม้แต่คอมพิวเตอร์เอไอนี้ก็ผิดพลาดได้ มันมีบั๊ก มันมีช่องว่างที่ไวรัสมัลแวร์สารพัดจะเข้าไปปั่นป่วน
เพราะฉะนั้น เราถามอะไรไป คำตอบที่ได้อาจจะไม่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ได้ ยังไม่นับถึงคนที่ประสงค์ร้ายที่สามารถจะมาแฮ็ก หรือว่ามาควบคุมบงการเทคโนโลยีที่เราใช้อยู่ก็ได้
สมัยพุทธกาล มีคราวหนึ่งพระองค์ไปแสดงธรรมให้กับอุบาสกคนหนึ่ง เป็นคหบดีชื่อ สูรอัมพัฏฐ แสดงธรรมเรื่องขันธ์ห้าว่าไม่เที่ยง ว่าเป็นทุกข์ ว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน สูรอัมพัฏฐพิจารณาใคร่ครวญก็เกิดปัญญาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา พระพุทธเจ้าก็กลับมา หาสูรอัมพัฏฐใหม่แต่จริงๆ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตัวจริง เป็นมารที่ปลอมตัวมา มารนี้แปลงร่างได้
สูรอัมพัฏฐสงสัยว่าพระพุทธเจ้ามาทำไมนะเพราะว่า เพิ่งเสด็จไปเมื่อสักครู่ พระพุทธเจ้าจำแลงก็บอกว่า ที่เมื่อกี้สอนว่าขันธ์ทั้งห้าล้วนแต่ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เมื่อกี้เราพูดผิด ยังมีขันธ์บางอย่าง ที่มันเที่ยง มันเป็นสุข แล้วก็เป็นตัวตน ถ้าเป็นคนทั่วไปก็เชื่อนะ พระพุทธเจ้าพูดอะไรมาก็เชื่อ เพราะศรัทธาอยู่แล้ว แต่ว่าสูรอัมพัฏฐไม่เชื่อ บอกว่าพระพุทธเจ้านี่พูดคำไหนคำนั้น ย่อมไม่กลับคำหรือว่าคำสอนที่สำคัญ
สงสัยนี่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตัวจริง นี่เป็นมารหรือเปล่า ก็เลยถามเลย ท่านเป็นมารใช่ไหม ปรากฏว่ามารพอรู้ความจริง รู้ว่าเขารู้อุบาย มารก็ยอมแพ้เปิดเผยตัวตนที่แท้ ว่าเป็นมารแล้วก็หนีไป มารสามารถที่จะแปลงร่างเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ทำให้เข้าใจผิดหรือเกิดมิจฉาทิฎได้
มาในยุคนี้ เทคโนโลยีนี่แม้จะดียังไงก็อาจจะเปิดช่องให้ผู้ประสงค์ร้ายมาบงการ ควบคุมให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ตามวัตถุประสงค์ของเขา อย่างที่เดี๋ยวนี้ก็มีเฟคนิวส์เยอะ แล้วก็มีการเติมแต่งวิดีโอเหมือนกับว่าเรากำลังพูดอย่างโน้นอย่างนี้ ทั้งที่ไม่ใช่ตัวเราหรอก แต่ว่าเอไอประดิษฐ์ขึ้นมาเอง
ฉะนั้นเดี๋ยวนี้เราไม่ใช่มีศรัทธาอย่างเดียว ศรัทธาอย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้วิจารณญาณหรือมีปัญญาด้วย เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะมี Buddha Bot ก็อย่าไปคิดว่าคำตอบที่เราได้จะเป็นของแท้เสมอไป มันอาจจะเป็นของเทียมก็ได้ หรืออาจจะเกิดจากความผิดพลาด หรืออาจเกิดจากการปรุงแต่งก็ได้
แล้วประการต่อมาคือว่าพระพุทธเจ้าเวลาพระองค์แสดงธรรม พระองค์ก็แสดงธรรมโดยพิจารณาผู้ฟัง ผู้ฟังต่างกันพระองค์ก็แสดงธรรมต่างกัน ไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่ว่าความลึกซึ้งต่างกัน อย่างเช่นคนบางคนที่ยังมีความเชื่อเรื่องตัวตนอยู่ พระพุทธเจ้าก็สอนว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่สอนต่อไปว่า บุคคลที่มีตนฝึกไว้ดีแล้วย่อมมีที่พึ่งที่หาได้ยาก
แต่บางทีพระพุทธเจ้าสอนว่า ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีสัตว์ตัวตน บุคคล เรา เขา บางคนก็สงสัย อ้าว พระพุทธเจ้าตรงนี้พูดว่ามีตัวมีตนต้องฝึกตนเอาไว้ แต่ตรงนี้บอกว่าไม่มีตัวไม่มีตน ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ขัดแย้งกันหรือเปล่า ไม่ขัดแย้งหรอก จะขึ้นอยู่กับผู้ฟังว่า มีความเชื่อความเข้าใจระดับไหน ถ้ายังมีความเชื่อเรื่องตัวตน พระพุทธเจ้าจะสอนว่าให้ฝึกตัวฝึกตนเอาไว้ แต่ถ้าเริ่มมีปัญญาหน่อยอย่างปัญจวัคคีย์ พระพุทธเจ้าก็เลยบอก ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนนะ มีแต่ขันธ์ห้า ขันธ์ห้าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
หรือในหลายที่พระพุทธเจ้าสอนให้ทำดีทำดี ให้มีศีล ให้มั่นคงในธรรม แต่ในอีกที่หนึ่งก็บอกว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น คนบางคนพอไปเข้าใจแบบนี้ก็เลยคิดว่าความดีไม่ต้องทำก็ได้ ที่จริงพระพุทธเจ้าจะสอนเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่นกับคนที่มีการพัฒนาในระดับหนึ่งแล้วนะ คือเป็นคนดีแล้วพระองค์ก็มาสอนให้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งก็คือว่า ไม่ยึดดีไม่ติดดี คือไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมะ
แต่คนที่ยังมีนิสัยเกกมะเหรกเกเร พระพุทธเจ้าก็สอนต้องให้มีธรรมะ ให้ใฝ่ดี ให้รู้จักกตัญญูพ่อแม่ เพราะฉะนั้น คำสอนพระพุทธเจ้ามีอิทธิพล มีความหมายได้ เพราะว่าพระองค์พิจารณาจากระดับที่แตกต่างกันของผู้ฟัง
แต่ว่าเครื่อง Buddha Bot ไม่รู้หรอกนะคนฟังเป็นใคร มันไม่รู้ภูมิหลัง ฉะนั้นคำตอบที่ให้ไป คนที่มีภูมิหลังแตกต่างกันก็อาจจะตีความ หรือเข้าใจแตกต่างกันไปได้ คนเราจึงต้องมีครูบาอาจารย์ เพราะครูบาอาจารย์ก็จะรู้ว่าลูกศิษย์คนนี้เขามีภูมิหลังอย่างไร คนบางคนเกียจคร้านก็ต้องสอนให้ขยัน แล้วลูกศิษย์บางคนขยันมากไป ก็ต้องสอนให้รู้จักหย่อน รู้จักพักผ่อนซะบ้าง สอนไม่เหมือนกัน บางคนสอนให้ขยัน แต่บางคนกระตุ้นให้รู้จักผ่อนคลายบ้าง ทำน้อยๆ หน่อย
เพราะฉะนั้น คำสอนพระพุทธเจ้าจะมีประโยชน์ก็ขึ้นอยู่กับระดับของผู้ฟังด้วย แต่เครื่องเอไอไม่รู้หรอกว่าคนฟังเป็นใคร ก็ตอบไปตามข้อมูลที่ได้ ซึ่งคนฟังก็อาจจะเอาไปใช้ในทางที่ผิดก็ได้ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาแล้วก็ระมัดระวังเอาไว้.