พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 30 กันยายน 2565
เมื่อวานได้พูดถึงเรื่องพุทธศาสนากับท่าทีต่อความสุข แม้พระพุทธเจ้าจะตรัสสอนเรื่องทุกข์ไว้มากมาย แต่พระองค์ก็ไม่ได้สอนให้ปฏิเสธความสุข โดยเฉพาะสำหรับปุถุชนคนทั่วไป
มีคำสอนเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติต่อความสุขข้อหนึ่งคือ ไม่สละหรือปฏิเสธความสุขที่ชอบธรรม ความสุขที่เกิดจากทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ด้วยความสุจริต ด้วยสัมมาอาชีวะเป็นต้น อันนี้เป็นความสุขที่ชอบธรรม ที่เราไม่ควรปฏิเสธหรือสละทิ้ง
แต่พระองค์ก็สอนต่อไปด้วยว่า อย่าสยบหมกมุ่นในความสุขนั้น แม้เป็นความสุขที่ชอบธรรมก็ตาม อันนี้เป็นคำสอนที่เรียกว่าเป็นทางสายกลาง คือไม่ปฏิเสธความสุขที่ชอบธรรม แต่ก็อย่าไปหมกมุ่น หรือหลงใหลมัวเมาในสุขนั้น เพราะถ้าเกิดหลงใหลมัวเมาในสุขนั้น มันก็จะนำไปสู่ความยึดติดในสุข ที่เราเรียกว่า ติดสุข
ติดสุขมันไม่ดีอย่างไร หลายคนก็อาจจะสงสัย เพราะความสุขนี้มันก็ชวนให้เพลิดเพลิน ชวนให้ยินดี แล้วการติดสุขนี่มันมีโทษ มันเสียหายอย่างไร
จริงๆ ถ้าพิจารณาดู หากคนเราหลงใหลมัวเมาจนติดในความสุขนั้น เช่น ติดในความสะดวกสบาย ติดอาหารที่อร่อย ติดความบันเทิง ติดการละเล่นแล้ว การที่คนเราจะมีความเพียรในการสร้างความเจริญงอกงามให้กับชีวิตมันก็ยาก เพราะการทำความเพียร การสร้างสรรค์ความเจริญให้กับชีวิต มันก็ต้องเจอความยากลำบากบ้าง
อย่าว่าแต่อะไรเลยนะ แม้กระทั่งการเรียน คนเราจะมีความขยันหมั่นเพียรในการเรียนได้ มันก็ต้องไม่กลัวความยากลำบาก แต่ถ้าเกิดติดความสะดวกสบายหรือติดรสชาติอันเอร็ดอร่อยแล้ว ความเพียรจะเกิดขึ้นได้อย่างไร การสร้างหรือพัฒนาชีวิตตนให้เจริญงอกงามจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
แล้วยิ่งกว่านั้นคือ มันสามารถพาเราไปสู่ความเสื่อมได้ง่าย อย่างเช่นคนที่ติดเกม ติดการละเล่น ติดแม้กระทั่งความบันเทิง เช่น ดูหนังฟังเพลง ถ้าเกิดหมกมุ่นอยู่กับมันมากๆ การงานก็ไม่เป็นอันต้องทำแล้ว มีคนจำนวนไม่น้อยที่ติดเกมจนกระทั่งงานการไม่สนใจ อันนี้คือผู้ใหญ่นะ ถ้าเป็นเด็กก็ยิ่งแล้วใหญ่ พอติดเข้าไปมันก็ไม่คิดที่จะเรียนหนังสือ หรือไม่คิดที่จะทำอะไร ชีวิตก็จมอยู่ในความเสื่อม
การติดสุขนี่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตหลายอย่าง หลายคนก็รู้ว่าการปฏิบัติธรรมเป็นของดี แต่พอมีเพื่อนชวนมาปฏิบัติธรรมที่วัด เช่นที่วัดป่าสุคะโตก็ไม่เอา เพราะมันไม่สะดวกสบาย ไม่สบายเหมือนบ้าน อยู่บ้านนี่สบาย มีเครื่องปรับอากาศ มีเครื่องทำน้ำอุ่น มีเตียงที่นุ่ม นี่ขนาดสนใจการปฏิบัตินะ แต่พอจะให้มาอยู่วัดนี่ไม่เอาแล้ว อันนี้เพราะอะไร เพราะติดสุข
บางคนรู้ว่าการปฏิบัติธรรมเป็นของดี การทำสมาธิเป็นของดี แต่ติดโทรศัพท์มือถือ เพราะโทรศัพท์มือถือมันให้ความสนุกสนานเร้าใจ นอกจากความเจริญจะเกิดขึ้นได้ยากแล้ว มันยังฉุดให้เราเข้าสู่ความเสื่อม อย่างที่ว่าไม่เป็นอันทำงานทำการ
ยิ่งกว่านั้นคือ มันสามารถจะชักนำให้เราทำชั่วหรือทำบาปก็ได้ โดยเฉพาะการติดสุขที่เกิดจากทรัพย์ หรือสุขที่เกิดจากตำแหน่งหน้าที่ยศศักดิ์ พอติดแล้วมันก็สามารถจะชักชวนหรือล่อหลอกให้เราทำชั่ว เช่น ทุจริตเพื่อให้ได้มีเงินเยอะๆ จะได้มีความสะดวกสบาย มีกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพง มีรถราคาแพง มีบ้านหลังใหญ่ อันนี้ก็เป็นผลจากการติดสุข
แล้วที่สำคัญคือ ไม่เพียงแต่มันจะเป็นอุปสรรคต่อความเจริญ หรือชักนำให้เราไปสู่ความเสื่อม ความตกต่ำของชีวิต หรือทำให้เราทำชั่วได้ง่าย แม้บางคนจะไม่มีนิสัยในทางนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนก็คือ เกิดความทุกข์
เมื่อติดสุข โอกาสที่จะเกิดความทุกข์ก็ตามมาอย่างแน่นอน เพราะอะไร เพราะว่าสุขหรือสิ่งที่ให้ความสุขกับเรานี่มันไม่เที่ยง ไม่ว่าจะเป็นสุขที่เกิดจากทรัพย์ สุขที่เกิดจากตำแหน่งยศศักดิ์อัครฐาน หรือสุขที่เกิดจากคำสรรเสริญเยินยอชื่นชม พวกนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ตอนที่มันยังอยู่ก็สุขดี แต่พอมันเสื่อมสลายหายไปก็เป็นทุกข์ขึ้นมาเลย
บางคนพอสูญเสียทรัพย์จะเป็นเพราะเศรษฐกิจวิกฤติ หรือเป็นเพราะหุ้นราคาตก หรือเป็นเพราะถูกโกงก็แล้วแต่ บางทีถึงกับฆ่าตัวตายเลยก็มี เพราะทนไม่ได้กับการสูญเสีย
ตำแหน่งก็เหมือนกันนะ ตำแหน่งหน้าที่ ตอนที่ได้ตำแหน่งหน้าที่สูงๆ มาก็มีความสุข ปลาบปลื้ม แต่พอสูญเสียมันไปเพราะหมดวาระหรือเพราะเกษียณ หรือเพราะมีคนแย่งไป ชีวิตก็ตกต่ำย่ำแย่ อันนี้ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจนเราเห็นเป็นอาจิณเลย
ที่จริงไม่ใช่เฉพาะความสุขที่เกิดจากทรัพย์ ความสุขที่เกิดจากยศ หรือความสุขที่เกิดจากคำสรรเสริญนะ แม้กระทั่งความสุขที่ดูจะเป็นความสุขแบบธรรมดาๆ เป็นความสุขที่พึงประสงค์ อย่างที่เราเรียกว่า ‘โลกียสุข’ เช่น การมีงานการที่ดีมั่นคง การมีครอบครัวที่อบอุ่น หรือการมีสุขภาพดี พวกนี้มันก็เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขซึ่งผู้คนก็ปรารถนา มันอาจจะไม่หวือหวาเหมือนกับความสุขที่เรียกว่า ‘กามสุข’ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความสุขที่เกิดจากทรัพย์ ความสุขที่เกิดจากการเสพ ซึ่งต้องมีทรัพย์ มีเงินมีทองเป็นเครื่องมารองรับ อันนั้นมันหวือหวา เป็นความสุขที่หยาบ เป็นความสุขที่ร้อนแรง
แต่ความสุขที่มันดูเหมือนหล่อเลี้ยงจิตใจ เช่น การมีครอบครัวที่อบอุ่น การมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่น การมีมิตรสหายที่ดี มีการงานที่มั่นคง มีสุขภาพดี พวกนี้มันเป็นความสุขที่อยู่กับเรา จนเราอาจจะไม่รู้เลยว่า มันเป็นความสุขที่มีคุณค่าต่อชีวิตของเรามาก
แล้วบางทีมันอยู่กับเรา จนกระทั่งเราไม่คิดว่าเราติดมัน แต่พอมันเริ่มแปรเปลี่ยนไป เช่น สุขภาพเริ่มไม่ดี มีปัญหาเรื่องการกิน มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย มีปัญหาเรื่องการนอน มีปัญหาเรื่องการเดิน แค่นี้หลายคนก็รู้สึกแย่แล้ว มันไม่ใช่แค่ทุกข์ทางกายอย่างเดียวนะ มันทุกข์ทางใจด้วย อันนี้ก็เป็นผลจากการติดสุขอย่างหนึ่ง เป็นการติดสุขที่เราไม่รู้ตัว
ไม่เหมือนกับการติดของกิน ติดความเอร็ดอร่อย ติดความบันเทิงเริงรมย์ อันนี้เราอาจจะพอรู้ได้ว่าติดมัน คือรู้ได้ตอนที่ขาดมันไปแล้ว พอขาดมันเมื่อไหร่ก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมา แต่เราอาจจะไม่เฉลียวใจว่า ความสุขจากการที่มีสุขภาพดี ความสุขจากการมีครอบครัวที่ดี อันนี้ก็สามารถจะก่อทุกข์ให้กับเราได้ ถ้าหากว่าเราติดมัน
อย่างที่เมื่อวานนี้ได้พูดว่า เทวดาสนทนากับพระพุทธเจ้า เทวดาบอกว่า “มีโคก็สุขเพราะโค มีลูกก็สุขเพราะลูก” พระพุทธเจ้าก็ตรัสแย้งว่า “มีโคก็ทุกข์เพราะโค มีลูกก็ทุกข์เพราะลูก” คือลูกก็ให้ความสุขกับพ่อแม่ แต่ถ้าไปติดความสุขนั่นเมื่อไหร่ พอลูกแปรเปลี่ยนไป เช่นลูกอาจจะไม่เชื่อฟังพ่อแม่ หรือลูกเจ็บป่วยขึ้นมา หรือถึงกับเสียชีวิต คนเป็นพ่อแม่นี่ทุกข์มากเลย
บางคนมีสามีหรือภรรยาที่ดีมาก รักกันยืนยาวมาสามสิบ สี่สิบ ห้าสิบปี ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันเลย นับเป็นโชคมาก เป็นความสุขที่หาได้ยาก แต่พอคนใดคนหนึ่งตายไป คนที่ยังอยู่นี่แย่เลย ยิ่งมีความสุขจากชีวิตคู่ที่ดีมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นทุกข์มากเท่านั้นเมื่อคนใดคนหนึ่งตายจากไป
อันนี้เรียกว่า “สุขเพราะอะไรก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น” สิ่งที่ให้ความสุขกับเรา ก็สามารถจะให้ความทุกข์กับเรา หรือทำให้เราทุกข์ได้ ถ้าเราไปยึดติดในสุขนั้น
เช่นเดียวกัน คำยกย่องสรรเสริญ เวลาได้รับเราก็ปลื้มนะ แต่ก็ให้รู้ไว้เถอะนะว่า อีกไม่นานความทุกข์ก็จะตามมา ความเสียใจก็จะตามมา เพราะว่าพอคำสรรเสริญนั้นหายไป พอมันกลายเป็นคำต่อว่า จะทุกข์ขึ้นมาทันทีเลย
เคยมีคนถามว่าทำยังไง เวลามีคนต่อว่าแล้วเราจะไม่เศร้าโศกเสียใจ ไม่คับแค้น คำตอบก็คือเวลาคนชมก็อย่าไปดีใจ อย่าไปหลงใหลมาก เพราะถ้าเราไปดีใจหลงใหลในคำชม พอเจอคำตำหนิมันก็จะทุกข์ขึ้นมาทันทีเลย
สุขและทุกข์นี่เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน โดยเฉพาะถ้าหากเราไปยึดติดถือมั่นกับสุข ความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายมาก เมื่อความสุขหรือสิ่งที่ให้ความสุขกับเรามันแปรเปลี่ยนไป ไม่ว่าอะไรก็ตาม
เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ควรจะยึดติดในความสุข ซึ่งก็ไม่ใช่ง่ายนะ เพราะว่าความยึดติดบางอย่าง เรายึดติดโดยไม่รู้ตัว
อย่างที่พูดไปเมื่อสักครู่ว่า สุขเพราะสุขภาพดี หรือสุขเพราะมีครอบครัวที่ดี มีคนใกล้ตัวที่มีน้ำใจ ไม่ว่าจะเป็นคู่ครองหรือมิตรสหาย อันนี้เป็นความสุขที่ผู้คนติดโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวก็ตอนที่เจ็บป่วยแล้ว หรือมารู้ตัวเอาตอนที่คนคนนั้น หรือคนใกล้ตัวเกิดล้มหายตายจากไป หรือเกิดมีอันเป็นไปขึ้นมา ถึงตอนนั้นจึงรู้ว่าเราขาดเขาไม่ได้ ที่ขาดไม่ได้เพราะความยึดติดในสุขที่เกิดจากคนเหล่านั้น หรือเกิดจากความสัมพันธ์กับคนเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเราเตือนใจอยู่เสมอว่า อะไรๆ ก็ไม่เที่ยง สุขที่เรามี ไม่ว่าสุขที่เกิดจากการเสพ สุขที่เกิดจากรูปกระทบตา เสียงกระทบหู รสกระทบลิ้น หรือพูดง่ายๆ ก็คือสุขที่เกิดจากรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส พวกนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เมื่อเราเตือนใจตัวเองไว้เสมอ มันก็ทำให้เราไม่ไปหลงในความสุขเหล่านั้น
เปรียบไปก็เหมือนกับปลา ถ้าหากเจอเหยื่อแล้วรีบฮุบก็อาจจะโดนเบ็ดแทงได้ เพราะเหยื่อมันซ่อนเบ็ดเอาไว้ คนส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนั้นนะ ความสุขที่เกิดจากกาม ความสุขที่เกิดจากรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือกามสุข ถ้าคนเราตระหนักว่ามันมีโทษ คือนอกจากมันไม่เที่ยงแล้ว มันก็ยังมีโทษ เป็นสุขที่เจือไปด้วยโทษ เราจะไม่ไปหลงในความสุขเหล่านั้น
กามสุขนี่เขาก็ถือว่าเป็นกามคุณ หมายความว่ามันก็มีคุณประโยชน์ ประโยชน์คือมันให้ความสุขกับเรา แต่มันก็เจอไปด้วยโทษ มันเหมือนกับเหยื่อที่เอาไว้ล่อปลา แต่ข้างในมันซ่อนเบ็ดเอาไว้ ปลานี่มันไม่รู้นะ ตอนที่มันงับเหยื่อ มันก็ดีใจ แต่สักพักก็โดนเบ็ดทิ่มเอา อันนี้ก็เปรียบเหมือนกับคนที่เพลินในสุข โดยเฉพาะกามสุข สุดท้ายก็ต้องเจอความทุกข์
ความทุกข์ที่ว่า ส่วนหนึ่งก็เกิดจากความไม่เที่ยงของสุขหรือสิ่งที่ให้ความสุขกับเรา พอมันแปรผันไปก็เสียใจ เศร้าโศก คร่ำครวญ แต่ที่จริงมันมีทุกข์ก่อนหน้านั้นแล้ว คือตอนที่ไปแย่งหรือแสวงหา ตอนที่แสวงหาก็เหนื่อยนะ เพราะมันต้องแย่งกับคนอื่น ได้มาแล้วก็ต้องคอยรักษา อันนี้ก็เหนื่อยอีกแบบหนึ่ง แต่รักษายังไงสุดท้ายมันก็เสื่อมไป สลายไป คราวนี้แหละทุกข์เลย เสียใจ โศกเศร้า อาจจะโดนน้ำท่วม อาจจะโดนไฟไหม้ หรือมีคนโขมยไป
แต่ถ้าหากเราเตือนใจของเราอยู่เสมอว่า สุขที่เราได้มานี่มันเจือไปด้วยทุกข์นะ แล้วแถมยังเป็นสิ่งไม่จีรังยั่งยืนด้วย การเตือนใจแบบนี้ก็ทำให้เราไม่ไปหลงยึดติดกับมันมากเกินไป เพราะมีการเผื่อใจเอาไว้
ขณะเดียวกัน ก็ต้องหมั่นสังเกตความรู้สึกของเราเวลาเกิดความยินดีขึ้นมา เวลาได้รับสิ่งเสพ เวลาได้รับสิ่งที่ปรารถนา เกิดความสุขขึ้นมา มันมีความยินดี มันมีความเพลิดเพลิน ก็เห็นมัน เช่น เวลาได้กินอาหารอร่อย เวลาได้ฟังเพลงเพราะ เวลามีลมเย็นๆ พัด มันก็เกิดความรู้สึกยินดีเพลิดเพลิน อันนั้นเป็นธรรมดาสำหรับปุถุชน แต่อย่างน้อยก็ให้เห็นมัน รู้ทันมันด้วยสติ
ที่เรียกว่า ‘เห็น’ คือเห็นความยินดี พอเห็นแล้วมันก็ไม่เข้าไป ‘เป็น’ อันนี้คือสิ่งที่ช่วยทำให้เราไม่เข้าไปหลงติดในความสุขนั้น
ทีแรกใช้ปัญญาพิจารณาว่า ความสุขที่เราเสพ ความสุขที่เรามีมันไม่เที่ยง สุขที่เกิดจากทรัพย์ สุขที่เกิดจากยศ สุขที่เกิดจากผู้คน ใช้ปัญญาพิจารณาว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันเจือไปด้วยทุกข์ แต่ก็ไม่ปฏิเสธมัน อย่างที่ได้พูดไว้ตั้งแต่แรกว่า เราไม่ควรสละหรือปฏิเสธความสุขที่ชอบธรรม แต่พอได้มันมาแล้วหรือเสพมันไปแล้ว ก็ให้มีความรู้ทันในอารมณ์ยินดีที่เกิดขึ้น อันนี้เรียกว่ารู้ทันด้วยสติ
นอกจากรู้เท่าทันด้วยปัญญาแล้ว ให้รู้เท่าทันด้วยสติ พอรู้ทันด้วยสติแล้วก็ไม่ไปหลงติดในความสุขนั้น ไม่ใช่ว่าเราปฏิเสธความสุขนะ แต่เราไม่ไปจมอยู่ในความสุขถ้าเรามีสติ อันนี้คือสิ่งที่เราควรฝึกอยู่เสมอ
ประการต่อมาคือ บางอย่างมันเป็นสุขที่เกิดขึ้นกับเราแบบยืนพื้น มันไม่ได้เกิดขึ้นเป็นชั่วครั้งชั่วคราวอย่างการกินอาหารอร่อย ฟังเพลงเพราะ หรือดูหนัง แต่มันเป็นความสุขที่เรียกว่ายืนพื้นก็ได้นะ อย่างความสุขเพราะมีสุขภาพดี ตั้งแต่จำความได้ก็มีสุขภาพดีมาตลอดเลย จนกระทั่งบางคนไม่รู้ว่ามันคือความสุขอย่างหนึ่ง มารู้ว่าเป็นความสุขก็ตอนที่เจ็บป่วย แต่รู้ตอนนั้นมันก็สายไปแล้วเพราะไปยึดติดในสุขนั้น พอร่างกายแปรผันไป ความมีสุขภาพดีหายไป ความทุกข์ก็เกิดขึ้นทันที
หรือการมีความสุขเพราะมีคนรักอยู่ใกล้ เช่น พ่อแม่ ลูกหลาน มิตรสหาย การที่เขาอยู่กับเรามาตลอด ทำให้หลายคนไม่รู้ว่านี่คือความสุข แต่พอเขาจากไปจึงรู้ว่า เราเคยมีความสุขแท้ๆ แต่ตอนนี้เราสูญเสียความสุขนั้นไปแล้ว มารู้ว่าเป็นความสุขก็ต่อเมื่อสูญเสียคนเหล่านั้นไปแล้ว แต่ถึงตอนนั้นก็สายไปแล้วเพราะไปยึดติดในสุขนั้น
แต่ถ้าเราเตือนใจอยู่เสมอ อันนี้ต้องเตือนด้วยการเจริญมรณสติ ว่าเราเองในที่สุดก็ต้องตาย แล้วก่อนที่จะตาย ร่างกายก็ต้องเสื่อมไป ต้องแก่ต้องเจ็บต้องป่วย คนที่เรารักที่เขาให้ความสุขกับเรา ให้ความอบอุ่นกับเรา ให้ความยินดีกับเรา เขาก็ต้องจากไปเช่นเดียวกัน
ถ้าเตือนใจด้วยมรณสติอย่างนี้อยู่เสมอ มันก็ทำให้เราไม่ไปหลงใหลเพลิดเพลินกับความสุขที่มีจนลืมตัว หรือทำให้เราเผื่อใจว่าสุขที่มีมันก็ชั่วคราวนะ สักวันหนึ่งเราก็จะต้องเจอกับความทุกข์ การที่เรารู้ว่าจะต้องเจอกับความทุกข์ ความโศก ความเศร้าล่วงหน้า มันทำให้เรายอมรับได้ง่ายขึ้นเมื่อมันเกิดขึ้น และถ้าเรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ยอมรับอารมณ์ความโศกความเศร้าที่เกิดขึ้นได้ เราก็จะไม่หมดเนื้อหมดตัวไปกับอารมณ์เหล่านั้น ไม่ไปถูกอารมณ์เหล่านั้นบีบคั้นย่ำยี หรือทิ่มแทงจิตใจ
ถ้าเราหมั่นเตือนตนด้วยปัญญา เพื่อรู้เท่าทันในความไม่เที่ยงของความสุขที่มีหรือสิ่งที่ให้ความสุขกับเรา รวมทั้งมีสติรู้ทันอารมณ์เพลิดเพลินยินดีเมื่อมีความสุขเกิดขึ้น รวมทั้งหมั่นเตือนตนอยู่เสมอว่า สิ่งที่เรามีในวันนี้ วันหน้าก็จะหมด มันก็ช่วยทำให้เราไม่เผลอหมกมุ่นในความสุขมาก ก็จะทำให้เราไม่ติดในสุข
ถ้าเราไม่ติดสุขแล้ว ก็เรียกว่าเราเป็นนายเหนือความสุข เพราะถ้าเราติดสุขเมื่อไหร่ ความสุขก็เป็นนายเรา แต่ถ้าเรารู้เท่าทันความสุข ไม่ติดสุข เราก็สามารถจะมีใจเป็นอิสระได้มากขึ้น แล้วเมื่ออนิจจัง ความไม่จีรังยั่งยืนแสดงตัวออกมา เราก็ไม่ทุกข์จนกระทั่งหมดเนื้อหมดตัวหรือคร่ำครวญ แต่สามารถที่จะยกจิตเหนือความทุกข์ เหนือความโศก และสามารถที่จะเรียนรู้ถึงสัจธรรมความจริงของชีวิตได้.