พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 25 กันยายน 2565
พวกเราที่ศึกษาพุทธศาสนามาบ้างคงจะทราบดีว่า หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานมีการทำปฐมสังคายนา คือการสังคายนาครั้งแรกในพุทธศาสนา ผู้ที่มีเป็นกำลังผลักดันที่สำคัญ แล้วก็เป็นประธานการสังคายนาครั้งนั้น คือพระมหากัสสปะ พระมหากัสสปะเป็นพระสาวกท่านสำคัญเลยทีเดียวในพุทธศาสนา แล้วก็มีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือท่านชอบธุดงค์
มีเรื่องเล่าว่า ตอนที่พระมหากัสสปะยังทำความเพียรเพื่อการพ้นทุกข์ วันหนึ่งท่านเดินเข้าเมืองเพื่อมาบิณฑบาต แล้วก็คงจะทราบดีว่า ในเมืองนั้นมีชายคนหนึ่งเป็นโรคเรื้อน เลยเดินไปที่บ้านของชายคนนั้น ซึ่งที่จริงมันก็ไม่ใช่บ้านมันก็คงเหมือนจะเป็นเพิง ชายคนนั้นกำลังกินอาหารอยู่ พอเห็นพระมหากัสสปะมายืนอยู่หน้าบ้าน ก็เกิดศรัทธา
ตัวเองไม่มีอะไรนอกจากข้าวที่กำลังกินอยู่ เลยหยุดกินเลย แล้วก็นำข้าวนั้นหย่อนใส่บาตรพระมหากัสสปะ พระมหากัสสปะก็เปิดบาตร พอชายคนนั้นหย่อนเข้าลงไป ปรากฏว่านิ้วนี่ข้อนิ้วหลุดลงไปในบาตรเลย เพราะว่าโรคเรื้อนข้อนิ้วเปราะอยู่แล้ว มีแผลพร้อมที่จะหลุดได้ทุกเมื่อ
ข้อนิ้วหล่นลงไปในบาตรพร้อมกับข้าว แต่พระมหากัสสปะไม่มีท่าทีตกใจ หรือแสดงความรังเกียจเลย กลับหยุดที่ชายคานั่นแหละ อยู่ที่เพิงแล้วก็อาศัยเพิงของชายคาคนที่เป็นโรคเรื้อนนั่นแหละ เป็นที่นั่งฉันอาหาร อาหารก็ไม่มีอะไร มีแต่ข้าวที่ชายโรคเรื้อนนั้นใส่ พระมหากัสสปะไม่มีความรังเกียจข้าวของชายคนนั้นเลย ทั้งๆที่ เป็นข้าวที่หย่อนมาจากมือที่เป็นโรคเรื้อน เแถมมีข้อนิ้วตกลงมาด้วย
อันนี้เป็นเพราะว่า พระมหากัสสปะท่านรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของชายคนนั้น แล้วท่านเองไม่มีความรังเกียจ หรือดูหมิ่นของที่โยมถวายอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นจีวร เสนาสนะ จะเป็นคนรวยคนจน ท่านก็ให้ค่าเสมอกัน แม้จะเป็นของคนจนก็ไม่ได้รังเกียจ
เหตุการณ์นี้ก็คล้ายๆกับ ที่พระพุทธองค์ได้เคยแสดงให้โยมคนหนึ่งได้เห็น มีคราวหนึ่งนางทาสีคนหนึ่งทำงานให้กับเศรษฐีทั้งวันทั้งคืนเลย คือตำข้าว คงจะมีงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง นางก็ตำข้าวตั้งแต่เช้าจรดเย็นจรดค่ำก็ยังไม่เสร็จ ตำจนกระทั่งสว่างเลย พอตำเสร็จก็มีรำเยอะ ก็เอารำมาผสมกับข้าวแล้วก็ปั้น ได้แค่ปั้นสองปั้น แล้วก็นำไปย่างเป็นข้าวจี่ปั้น ย่างก็ทำให้มันแข็งแห้งพอที่จะพกติดตัว
ตั้งใจว่าข้าวจี่ปั้นนี่จะเอาไปกินที่บ้าน ระหว่างที่เดินกลับบ้าน เผอิญเจอพระพุทธเจ้ากับพระอานนท์กำลังเสด็จไปบิณฑบาต แล้วก็มีเศรษฐีคนหนึ่งนิมนต์เอาไว้ พระองค์กับพระอานนท์กำลังเดินไปที่บ้านเศรษฐีคนนั้น บังเอิญเจอนางทาสีคนนี้ชื่อนางปุณณทาสี
นางปุณณทาสีเห็นพระพุทธเจ้าก็อยากจะใส่บาตร แต่ตัวเองไม่มีอะไรเลย นอกจากข้าวจี่ปั้นก้อนสองก้อนที่พกติดตัวมา เลยนิมนต์แล้วก็ถวายข้าวจี่ปั้น พระพุทธองค์เปิดบาตรแล้วก็รับข้าวจี่ของนางปุณณทาสี เสร็จแล้วพระองค์ก็เดินต่อ เพื่อไปยังบ้านของเศรษฐีตามที่นิมนต์
นางปุณณทาสีเห็นพระพุทธเจ้าเดินตรงไปที่บ้านเศรษฐี ก็คิดในใจว่า อาหารของบ้านเศรษฐีเป็นอาหารปราณีต เป็นอาหารที่น่ากินยิ่งกว่าข้าวจี่ที่เราถวาย ชะรอยพระพุทธองค์คงจะโยนทิ้งข้าวจี่ของเรากลางทาง เพื่อที่จะได้ไปฉันอาหารของบ้านเศรษฐี
พระพุทธเจ้าทรงทราบ ทรงมีญาณหยั่งรู้ความคิดของปุณณทาสี ก็เลยหยุดตรงนั้นเลย บอกให้พระอานนท์ปูลาดอาสนะ แล้วพระองค์ก็ประทับนั่งตรงริมทางนั่นแหละ ต่อหน้านางปุณณทาสีเลย แล้วก็ฉันข้าวจี่ปั้นของนาง นางก็ปลาบปลื้มมากเลย
แต่เท่านั้นไม่พอ พระองค์เรียกนางปุณณทาสีมา แล้วก็ตรัสเป็นโอวาทว่า สมบัติมหาศาลของคนตระหนี่ แม้จะมีมากมายเพียงไรเป็นแสนเป็นล้าน ก็ไม่ประเสริฐเท่ากับทานแม้เพียงเล็กน้อย ของผู้ที่มีน้ำใจมีเมตตามีศรัทธาที่ถวาย เพราะว่าสมบัติของผู้ตระหนี่นั้น นอกจากจะไม่ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์แล้ว ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ตกเป็นของคนอื่น
ในขณะที่ทานแม้เพียงเล็กน้อย ของผู้มีศรัทธาผู้มีเมตตา เป็นประโยชน์เกื้อกูลผู้อื่น แล้วก็เป็นบันไดไปสู่สวรรค์ ไปสู่สุคติด้วย
นางปุณณทาสีฟังก็เกิดการความปลาบปลื้มและเกิดปีติ แล้วก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน แต่ในบางสำนวนบอกว่า นางบังเอิญตายในเช้าวันนั้นเพราะถูกงูกัด พอตายก็ไปสู่สุคติ ไปสู่สวรรค์ที่เพรียบพร้อมไปด้วยอาหารทิพย์แล้วก็ทรัพย์ทิพย์ อันเป็นอานิสงส์กับทานที่ถวายในเช้านั้น
พระพุทธเจ้าทรงเป็นแบบอย่าง ของผู้ที่ไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง จะเป็นคนรวยคนจน พระองค์ก็ให้คุณค่าเสมอกัน ไม่ได้มีความรังเกียจอาหารของคนยากคนจนเลย แม้ว่าจะมีเศรษฐีมาศรัทธา มาถวายอาหารให้กับท่าน พระองค์ก็ไม่ได้ให้ค่ามากไปกว่าอาหารของคนยากคนจน
อันนี้จะเรียกว่าเป็นคุณธรรม ที่พระองค์ได้ทรงแสดงเป็นแบบอย่าง แล้วพระมหากัสสปะก็ได้แสดงให้เป็นแบบอย่างเช่นเดี่ยวกัน
ในฝ่ายพระ นักบวช ก็ให้ไม่ให้มีความรังเกียจดูหมิ่นอาหารของคนยากคนจน ในขณะเดียวกัน ผู้ที่มีศรัทธาเมื่อจะถวายทาน ก็ให้ไม่มีความรังเกียจหรือแบ่งแยกกันว่า ผู้ที่จะมารับทานเป็นพระสูงศักดิ์อัครฐาน หรือว่าจะเป็นพระที่มีคุณวิเศษอย่างไร แม้จะเป็นพระธรรมดาสามัญ หรือแม้แต่เป็นเณร ก็ให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน
สมัยที่อาตมาบวชใหม่ๆ อยู่ที่วัดทองนพคุณ ที่นั่นเราต้องออกไปบิณฑบาตเอง ไม่มีสาย แล้วพระหนุ่มเณรน้อยก็ต้องเดินไปตามซอกซอยต่างๆ บางวันก็ได้บ้าง บางวันก็ไม่ได้เลยก็มี แล้วแถวนั้นคือคลองสานก็มีวัดเยอะ วัดสุวรรณ วัดเศวต วัดทองนพคุณ วัดทองธรรมชาติ แต่ละวัดนี่พระเณรเป็นร้อย เพราะว่าสมัยนั้นเป็นสำนักเรียน มีพระเณรมาเรียนเยอะ
พระเณรจำนวนมากบางทีไม่มีอะไรฉัน ไม่เหมืยนพระผู้ใหญ่ พระเปรียญ พระราชาคณะมีโยมนิมนต์ บางทีผูกปิ่นโตไว้เลย เพราะฉะนั้นไม่มีคำว่าขาดแคลน แต่ว่าพระหนุ่มเณรน้อยนี่บางทีก็ไม่มีอะไรฉัน ต้องไปหาเอา แล้วจุดที่พวกเรามักจะไปกันคือแถวย่านที่เป็นสวน หลังถนนเจริญนครเจริญรัตน์สมัยก่อนเป็นสวนอยู่เลย หลังตึกแถวจะเป็นสวน
แถวนั้นมีพระเณรเยอะ เพราะอะไร เพราะว่ามีโยมอยู่ 2-3 คนอายุมากทั้งนั้นแหละ คุณลุงบ้างคุณยายบ้าง ใส่บาตรทุกวัน แล้วของก็ไม่มีอะไรมาก มีข้าวกับผลไม่ หรือขนมเล็กๆน้อยๆ บางทีก็ไข่ แต่ว่าทำเยอะ ข้าวถวายพระเณรคนละทัพพี คนละทัพพี แล้วก็เตรียมมาเป็นร้อยเลย สามารถจะใส่ได้วันละนับร้อย ไม่มีอะไรมาก มีแค่ข้าวสวยกับไข่ต้ม 1 ฟอง แต่ว่าพระเณรก็ไปกัน
แล้วโยม 2-3 คนนี่ก็ถวายทุกวัน ลองคิดดูข้าวถวายพระเณรเป็นร้อย ไข่ต้มเป็นร้อยก็ต้องเตรียม แต่ว่าท่านทั้ง 2-3 คนนี่ก็ทำทุกวัน อาตมาก็อาศัยโยมกลุ่มนี้มีอาหารใส่บาตร ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะเอาอาหารบิณฑบาตจากไหน ยังดีหน่อยที่คณะนี้เขาฉันรวม ถึงแม้เราได้อาหารบิณฑบาตน้อย แต่ว่าก็ยังมีฉัน แต่ว่าบางคณะบางวัดต้องช่วยตัวเองนะพระเณร
มานึกดูโยมทั้ง 3 คนนี่ก็มีน้ำใจเ พราะว่าพระที่มารับบาตรหรือว่าเณร ก็เป็นพระเล็กๆ พรรษาก็น้อย ไม่ใช่เป็นพระผู้ใหญ่ ไม่ใช่เป็นพระราชาคณะ แต่โยมไม่รังเกียจเลย พร้อมที่จะอุปถัมภ์ แม้จะเป็นอาหารเล็กๆน้อยๆ แต่ก็มีความหมายมาก
ตลอดเวลาที่บวชอยู่ที่วัดทองนพคุณ ถ้าบิณฑบาตก็ต้องไปตรงนี้แหละ เณรก็เหมือนกัน ไปก็ไปเข้าแถวกัน แล้วโยมก็ต้องรีบทำเวลา ใส่บาตรก็ใส่ๆๆๆๆๆๆๆ ไม่มีการไหว้ เพราะไม่งั้นไม่ทัน ดูเหมือนกับว่าจะไม่ค่อยเรียบร้อยอากัปกริยานะ เพราะว่าทำเร็วมากเลย แต่ว่าน้ำใจนี่งามมาก
อันนั้นก็คือเหตุการณ์เมื่อ 40 ปีที่แล้ว จะหาโยมแบบนี้จะว่าไปก็ยาก เพราะเดี๋ยวนี้โยมมักจะนิยมถวายกับพระที่มีชื่อเสียง เป็นเจ้าอาวาส เป็นพระราชาคณะ พระหนุ่มเณรน้อยไม่ค่อยสนใจ อันนี้เป็นการเลือกที่รักมักที่ชัง ทำให้พระหนุ่มเณรน้อยจำนวนมากก็เดือดร้อนเหมือนกัน
การที่บ้านเมืองเรามีโยมแบบนี้ ก็ทำให้พระหนุ่มเณรน้อยจำนวนมาก สามารถจะมีอาหารเรียกว่าประทังชีวิต แล้วก็สามารถจะมีกำลังในการศึกษาปฏิบัติ จนกระทั่งกลายเป็นพระผู้ใหญ่ เป็นครูบาอาจารย์ได้ อันนี้เรียกว่าเป็นบุคคลที่ปิดทองหลังพระก็ได้.